บทที่ 247 คุณใส่เป็นใช่ไหม

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 247 คุณใส่เป็นใช่ไหม?

บทที่ 247 คุณใส่เป็นใช่ไหม?

ฮัวจิงสงบสติลงอย่างรวดเร็ว “เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ คุณควรจะดูแลร่างกายให้ดีก่อน”

อวิ๋นจิ้งหว่านมองใบหน้าของผู้ชายตรงหน้าเพราะอยากจะเห็นร่องรอยของความสำนึกผิดและความทุกข์ของเขาบ้าง แต่มันกลับไม่มีเลย

เขาแค่เพียงต้องการเอาใจเธอ มันช่างแตกต่างจากความรู้สึกในวันที่เขาเผชิญหน้ากับซูหยิน

อวิ๋นจิ้งหว่านรู้สึกหมดแรง เธอถอดรองเท้าแล้วล้มตัวลงนอน ฮัวจิงเดินเข้ามาและห่มผ้าให้เธออย่างอ่อนโยน

ก่อนจะไป เขายังปิดหน้าต่างให้อีกด้วย

“คุณรีบพักผ่อนนะ”

ไฟถูกปิดลง

อวิ๋นจิ้งหว่านมองดูแผนหลังของเขาที่ค่อย ๆ ไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ ผ่านแสงจันทร์จนกระทั่งประตูถูกปิดลง

เหลือเพียงแค่เธอคนเดียวอีกแล้ว

มันช่างโดดเดี่ยวจริง ๆ

อวิ๋นจิ้งหว่านค่อย ๆ ลูบหน้าท้องแบนราบของเธอด้วยดวงตาอันโศกเศร้า

ลูกแม่ ลูกจะโทษแม่บ้างหรือเปล่า?

โทษที่เธอขี้ขลาด แม้แต่ลูกก็ไม่สามารถปกป้องเอาไว้ได้ แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับยังใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

แม่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ

เป็นอีกคืนที่เธอนอนไม่หลับ จนแสงแดดแรกยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้อง อวิ๋นจิ้งหว่านเห็นการ์ดสีทองแดงตกอยู่ที่พื้น

เธอลุกขึ้นมาจากเตียงนอนด้วยอาการวิงเวียนและปวดหัวราวกับหัวจะแตก กว่าจะหยิบการ์ดใบนั้นมาได้ก็แสนจะยากเย็น เธอเปิดดูก็พบว่ามันไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นการ์ดเชิญให้ไปงานเลี้ยงอาหารค่ำการกุศลที่ตระกูลลู่ส่งมา

อวิ๋นจิ้งหว่านดูอยู่สักพักก็เก็บการ์ดเชิญไว้ในลิ้นชักตรงโต๊ะเครื่องแป้ง

งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศลที่จะจัดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ทำให้ซูโย่วอี๋ทำการบ้านมามากพอแล้ว เธอทำความเข้าใจในความชอบของคุณนายลู่จากอินเทอร์เน็ตอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า แม้แต่ทรงผมก็ทำตามแบบที่คุณนายลู่ชื่นชอบ

แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยังรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย

เธอขึ้นมายังบ้านของซูหยินและเปิดประตูออก ซูโย่วอี๋พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเป็นทุกข์ “ช่วยฉันด้วย”

“เป็นอะไรไปที่รัก”

ซูหยินดึงเธอเข้ามาในบ้าน “นั่งลงก่อนแล้วค่อย ๆ พูด”

ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว “ก็เรื่องงานเลี้ยงการกุศลในคืนวันพรุ่งนี้ ฉันรู้สึกกังวลไม่หายเลย”

“เพราะคุณนายลู่เหรอ?”

ซูโย่วอี๋พยักหน้า

ซูหยินรินน้ำร้อนแก้วหนึ่งให้เธอ “กลัวว่าคุณนายลู่จะทำให้เธอลำบากใจเหรอ?”

“ไม่ใช่”

“เห็นได้ชัดว่าคุณนายลู่ไม่ชอบฉัน ที่ฉันกังวลก็คือถ้าเกิดว่าคุณนายลู่ทำอะไรให้ฉันลำบากใจ ลู่เฉินจะทะเลาะกับเธอหรือเปล่าต่างหาก”

เดิมทีความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ดีอยู่แล้ว

ซูหยินปิดปากและยิ้ม “นี่ไม่ได้เป็นการแสดงให้เห็นเหรอว่าลู่เฉินใส่ใจเธอ?”

ซูโย่วอี๋กลอกตา “ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีแบบนี้มาพิสูจน์สักหน่อย เธอช่วยฉันคิดหน่อยสิว่าต้องทำยังไงถึงจะหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นได้?”

“ง่าย ๆ”

“ตราบใดที่เธอสามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ลู่เฉินก็ไม่ต้องมาออกหน้าให้ ดังนั้นพรุ่งนี้เธอคือกุญแจสำคัญ”

ซูโย่วอี๋มองสายตาแน่วแน่ของซูหยิน ในใจเริ่มรู้สึกเชื่อมั่นขึ้นมา

“อืม ที่เธอพูดก็ถูก ฉันจะคอยพึ่งพาลู่เฉินตลอดไม่ได้ ฉันควรที่จะคิดหาวิธีด้วยตัวเอง”

ซูหยินโอบไหล่ของซูโย่วอี๋และมองเธอด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์ “ฉันมีไอเดีย”

หืม?

“ถ้าเธอรับมือคุณนายลู่ไม่ได้จริง ๆ ก็แสดงความอ่อนแอออกมา ร้องไห้ออกมาเลย ผู้หญิงเข้มแข็งอย่างคุณนายลู่ไม่รังแกผู้หญิงที่อ่อนแอหรอก”

ซูโย่วอี๋อ้าปากขึ้นเล็กน้อย “เธอจะให้ฉันร้องไห้เนี่ยนะ?”

“นี่มันเกินไปหรือเปล่า?”

ซูหยินพูดอย่างไม่แคร์ “ก็แค่ให้ลองดู เธอไม่รู้เหรอว่าตอนที่เธอร้องไห้มันทำให้คนอื่นสงสารมากแค่ไหน ไม่แน่นะ บางทีคุณนายลู่อาจจะใช้เคล็ดลับนี้ก็ได้?”

“แต่เธอห้ามทำให้ลู่เฉินเห็นเด็ดขาด”

ไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนกับการเติมน้ำมันลงไปในไฟ

หลังจากที่ซูโย่วอี๋กลับมาบ้าน เธอก็คิดทบทวนไปมาและก็รู้สึกว่าคำแนะนำของซูหยินนั้นไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ จะมีใครที่ไหนที่เจอครอบครัวของแฟนวันแรกก็ร้องไห้ออกมาเลยกัน?

เช้าวันอังคาร เหมยเหมยมารับซูโย่วอี๋ไปบริษัทเพื่อแต่งตัว ห้องแต่งหน้าส่วนตัวมีทีมโมเดลลิ่งอันดับต้น ๆ ของเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์อยู่ด้วย

หลังจากที่หัวหน้าทีมโมเดลลิ่งอย่างปีเตอร์เห็นซูโย่วอี๋ตัวจริงก็พูดชมขึ้นมา “คุณซู รูปร่างหน้าตาของคุณสามารถแต่งหน้าให้สวยได้ง่าย ๆ เลยนะคะ การแต่งหน้าแบบลุคสาวมั่นดูเรียบง่ายไปเลย”

งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศลที่ตระกูลลู่เป็นเจ้าภาพนี้หรูหราราวกับงานแฟชั่นวีค มีคนมาร่วมงานกันร้อยกว่าคน ทั้งนักข่าว คนดัง นักการเมือง นักธุรกิจรายใหญ่ และดารานักแสดง เบื้องหน้าคือการกุศล แต่เบื้องหลังคือการประชันความหรูหรา

การแต่งหน้าแบบลุคสาวมั่นนั้นค่อนข้างดูเรียบง่ายมากเกินไปอย่างที่เขาว่าจริง ๆ นั่นแหละ

ซูโย่วอี๋ยิ้มอย่างเกรงใจ “งั้นรบกวนคุณปีเตอร์ด้วยนะคะ”

เมื่อปีเตอร์เห็นว่าเธอตัดสินใจแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรมากและเริ่มทำผมในทันที ส่วนเรื่องอาหารการกิน เหมยเหมยเป็นคนนำมาให้เธอถึงในห้องแต่งหน้า

เมื่อใกล้จะหกโมงลู่เฉินก็เข้ามา

ซูโย่วอี๋นั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้าและกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย

ปีเตอร์ตะโกนอย่างตกใจ “สวัสดีค่ะ ประธานลู่”

ลู่เฉินมองไปยังซูโย่วอี๋ในกระจก เขาเห็นการแต่งหน้าที่เน้นโครงหน้าชัดเจน ขับให้ใบหน้าที่เย็นชาอยู่แล้วนั้นเฉียบคมมากยิ่งขึ้น

เขาหยิบนิตยสารขึ้นมาและนั่งรอให้เธอแต่งตัวเสร็จที่อีกฝั่งหนึ่ง

ผ่านไปไม่นาน ปีเตอร์เดินเข้าไปตรงหน้าของลู่เฉิน “ประธานลู่คะ คุณซูแต่งหน้าทำผมเรียบร้อยแล้วค่ะ”

ลู่เฉินพยักหน้า “รบกวนคุณด้วยนะครับ”

ปีเตอร์และผู้ช่วยรีบกลับไปอย่างรวดเร็ว

เหมยเหมยหยิบชุดสีดำที่ตัดเย็บอย่างประณีตขึ้นมา มันเป็นชุดที่ไม่ได้หรูหรามากเกินไป แต่รายละเอียดนั้นประณีตมาก เป็นชุดชั้นยอดที่เผยให้เห็นถึงรูปร่างสง่างามของผู้หญิงได้เป็นอย่างดี

ดูเป็นลุคสาวมั่นและดูอ่อนหวานเหมือนหญิงสาวในเวลาเดียวกัน

“พี่ซู พี่จะเปลี่ยนชุดเลยไหมคะ?”

ซูโย่วอี๋กำลังจะพยักหน้า แต่ลู่เฉินก็พูดขึ้นมา “วางไว้ตรงนั้น พวกเรามากินข้าวกันก่อน”

เหมยเหมยมองทั้งสองคนด้วยความลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมวางชุดนั้นลงและแยกตัวออกไป

ซูโย่วอี๋มองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนัง “ใกล้จะไม่ทันเวลาแล้วนะ พวกเรารีบไปกันเลยเถอะ”

น้ำเสียงของลู่เฉินแน่วแน่ “ไม่เป็นไร คุณกินเยอะ ๆ หน่อยสิ ไม่งั้นเดี๋ยวจะหิวเอานะ”

เมื่อกินข้าวเสร็จก็เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ซูโย่วอี๋ไม่กล้ารอช้า เธอหยิบชุดและตรงไปยังห้องแต่งตัวทันที

เธอถอดเสื้อผ้าออก ติดสติกเกอร์ที่หน้าอกตามคำแนะนำ ตอนที่เตรียมจะใส่ชุด เธอพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องการคนช่วย

ไม่อย่างนั้นทรงผมที่ทำมาทั้งวันก็คงจะศูนย์เปล่า

เธอเปิดประตูห้องแล้วชะโงกหัวออกไปและพูดด้วยน้ำเสียงเขินอาย “ลู่เฉิน คุณ… ช่วยฉันใส่ชุดหน่อยได้ไหม?”

มุมปากของลู่เฉินยกยิ้มขึ้นมา “ได้สิ”

ห้องแต่งตัวนั้นถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ ตอนที่ลู่เฉินเข้าไปซูโย่วอี๋ก็ใช้ชุดสีดำปิดหน้าอกของตัวเองเอาไว้ แต่ส่วนของไหล่และกระดูกไหปลาร้าไม่มีอะไรบดบังเอาไว้เลย

ดวงตาของลู่เฉินเป็นประกายขึ้น

เขาก้าวไปทีละก้าวเพื่อไปหยุดตรงหน้าของซูโย่วอี๋ “ผมต้องทำยังไงบ้าง?”

เขามองเห็นรายละเอียดของเสื้อผ้าได้อย่างชัดเจน ด้วยเพราะแสงไฟในห้องแต่งตัวนั้นสว่างมาก สว่างเสียจนซูโย่วอี๋สามารถมองเห็นถึงความผิดปกติในดวงตาของลู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ช่วยฉันใส่เสื้อหน่อย อย่าให้โดนผม”

ลู่เฉินยื่นมือออกไปหยิบเสื้อในมือของซูโย่วอี๋ แต่กลับถูกซูโย่วอี๋ดึงไว้แน่น

“ถ้าคุณไม่เอาให้ผม ผมจะช่วยคุณใส่ยังไงล่ะ”

ซูโย่วอี๋ก้มหน้าลงมองที่หน้าอกของตัวเองและพูดด้วยเสียงอู้อี้ “คุณไปข้างหลัง”

“อืม”

ลู่เฉินเดินอ้อมไปด้านหลัง ซูโย่วอี๋จึงค่อย ๆ ปล่อยชุดออกจากหน้าอกของตัวเองและส่งมันให้กับเขา

แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว

จนซูโย่วอี๋ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น “คุณใส่เป็นใช่ไหม?”

ลู่เฉินสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย “เป็น”

เขาเพียงแค่มองจนเพลินไปหน่อยก็เท่านั้น

เพราะหลังของซูโย่วอี๋สวยมากจริง ๆ

กระดูกหัวไหล่ของเธอคล้ายปีกผีเสื้อ เพียงขยับแขนก็ทำให้เขาเห็นถึงความสง่างามของผิวหนังและกล้ามเนื้อขาวกระจ่างใส