บทที่ 248 เป็นบ้าสักครั้ง
บทที่ 248 เป็นบ้าสักครั้ง
ฝ่ามือร้อนผ่าวของลู่เฉินสัมผัสไปบนหลังของเธอและลูบไล้ช้า ๆ
หลังจากนั้นเขาก็ประทับริมฝีปากลงบนไหล่ของซูโย่วอี๋ราวกับจะกลืนกินมันลงไป
จนซูโย่วอี๋ทนไม่ไหวกับการหยอกล้อแบบนี้ “ลู่เฉิน อย่า เดี๋ยวคนอื่นเห็น”
แต่ลู่เฉินกลับไม่ยอมหยุดและยังคงไล่ริมฝีปากลงไปถึงกระดูกสันหลัง จนสุดท้ายเขาก็จูบลงที่เอวของซูโย่วอี๋
ในที่สุดก็สวมเสื้อผ้าจนเสร็จ แต่รอยเขียวช้ำที่ไหล่ของซูโย่วอี๋นั้นปรากฎให้เห็นเด่นชัด
ซูโย่วอี๋จ้องไปยังลู่เฉินด้วยความโกรธและอาย “ทีนี้จะทำยังไงเนี่ย?”
ลู่เฉินยกยิ้ม เขาหยิบอายไลเนอร์สีแดงขึ้นมาและลากเส้นบนไหล่ของเธอ จากนั้นรอยฟกช้ำนั้นก็กลายเป็นรูปผีเสื้อที่กำลังสยายปีก
นอกจากจะไม่ได้ทำลายภาพรวมในการแต่งหน้าแต่งตัวของซูโย่วอี๋ แต่ยังเป็นการเพิ่มเสน่ห์ชวนฝันให้เธอด้วย
ซูโย่วอี๋สงสัย “คุณวาดรูปเป็นด้วยเหรอ?”
“ขอแค่คุณต้องการ ก็ไม่มีอะไรที่แฟนของคุณทำไม่ได้หรอก”
เหมยเหมยรออยู่ด้านนอกประตูอย่างร้อนรน ในใจก็อยากจะเข้าไปเพื่อเตือนเรื่องเวลา แต่ก็กลัวรบกวนเวลาส่วนตัวของพวกเขาสองคน
ดีที่ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออก เหมยเหมยรีบเข้าไปในทันที “ประธานลู่ พี่ซู งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้วค่ะ”
ณ อาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
ภายนอกอาคารนี้มีพรมแดงที่ยาวทอดไปจนถึงถนน ทั้งสองข้างทางรายล้อมไปด้วยกล้องขนาดเล็กใหญ่ นักข่าวและฝูงชนยืนล้อมรอบพรมแดงอย่างแออัด
ทุกครั้งที่มีรถขนาดใหญ่มาจอด ผู้คนก็จะยืดคอของพวกเขาเพื่อมองดูว่าคนดังคนไหนมาถึงแล้ว
มีเสียงกรี๊ดและเสียงโห่ร้องดังขึ้น
จนกระทั่งรถขนาดใหญ่ที่ลู่เฉินและซูโย่วอี๋นั่งมาค่อย ๆ จอดอย่างช้า ๆ พนักงานต้อนรับเปิดประตูอย่างไม่เร่งรีบเพื่อรับแขกคนสำคัญ
ลู่เฉินก้าวออกมาจากรถก่อน จากนั้นก็หมุนตัวและยื่นมือขวาไปให้กับคนในรถ
ผู้คนต่างส่งเสียงวุ่นวาย
[กรี๊ด! ประธานลู่มาแล้ว!]
[ประธานลู่ดูดีมากเกินไปแล้ว ไม่ใช่แค่หุ่นดีเท่านั้น ขาก็ยาวถึงสองในสาม ไหล่ก็กว้าง ไหนจะคอยาวระหง หลัง เอว ก้น ขาเรียวยาว งานดีมากค่า]
[นี่ ไม่มีใครสังเกตเห็นมือของประธานลู่เหรอ ดูดีมากเลย เป็นส่วนของร่างกายที่ฉันชอบที่สุดเลย]
[ฉันล่ะอิจฉาซูโย่วอี๋จริง ๆ ความอิจฉาทำให้ฉันเปลี่ยนไป]
[ฉันหลงเขาเข้าเต็มเปา มีคนที่รูปร่างหน้าตาดีขนาดนี้อยู่บนโลกจริง ๆ เหรอ]
[สามี จุ๊บ ๆ ๆ บอกเขาไปว่าฉันรักเขา]
[ประธานลู่ใส่อะไรก็ดูดีหมดเลย]
จนกระทั่งซูโย่วอี๋จับมือกับลู่เฉินและก้าวลงมาจากรถ ผู้คนในที่นี้ก็เงียบไปหลายวินาที ก่อนจะเริ่มถกเถียงกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง
[พูดเลยว่าดูคนอื่นมาตั้งเยอะ แต่ซูโย่วอี๋เป็นคนที่สง่างามน่าดึงดูดมากที่สุด]
[เสื้อผ้าก็ธรรมดา แต่ทำไมเธอใส่แล้วถึงได้สวยมากขนาดนี้ ถ้าเป็นฉันใส่ก็คงจะเหมือนคุณป้าที่มาขอซื้อประกัน]
[ช่างเอาแต่ใจตัวเองจริง ๆ ไม่ต้องสนใจค่าของความสวยเลย]
[ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ควรจะอิจฉาซูโย่วอี๋หรืออิจฉาประธานลู่ดี ต่อไปถ้าสองคนนี้มีลูก ลูกคงจะหน้าตาดีมากแน่ ๆ]
ลู่เฉินโอบเอวของซูโย่วอี๋และเดินตรงไปยังด้านหน้า
เสียงของความอิจฉาแผ่ซ่านไปจนทั่ว
[เป็นคู่ที่เหมาะสมจริง ๆ ดูสิว่าการโอบเอวนั้นดูเป็นธรรมชาติมากแค่ไหน]
[ฉันอยากจะเป็นเอวนั้นจริง ๆ]
[ฉันหวังจะเป็นนิ้วมือนั้น]
[อ่า ผีเสื้อบนไหล่ของโย่วโย่วน่ารักมากเลย]
[สวยมาก ใครวาดกันนะ]
กล้องเริ่มจับภาพผีเสื้อบนไหล่ของซูโย่วอี๋ในระยะใกล้
พอเดินผ่านพรมแดงมาและเข้าไปยังล็อบบี้ เสียงดังวุ่นวายของผู้คนก็เริ่มเบาลง
ทันทีที่ลู่เฉินปรากฏตัวที่หน้าประตู หุ้นส่วนทางธุรกิจต่างก์เข้ามาทักทายมากมาย แต่ละคนล้วนใส่ชุดสูทและรองเท้าหนัง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างชื่นชม
ลู่เฉินเดินเข้าไปในกลุ่มผู้คน แต่มือก็ยังคงโอบซูโย่วอี๋เอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ซูโย่วอี๋ไม่ค่อยสนใจเรื่องการพูดคุยแลกเปลี่ยนด้านธุรกิจเท่าไหร่ จึงขยับเข้าไปใกล้หูของลู่เฉินและกระซิบเบา ๆ “ฉันขอไปเดินเล่นนะคะ”
ลู่เฉินจึงยอมปล่อยมือออก
ล็อบบี้ถูกตกแต่งเป็นส่วนต้อนรับ ตรงกลางมีวงดนตรีที่กำบังบรรเลงเพลงอยู่ โต๊ะด้านข้างเต็มไปด้วยของหวานและเครื่องดื่มนานาชนิด
ซูโย่วอี๋เดินวนดูรอบ ๆ ในบางครั้งสายตาของผู้คนก็จับจ้องมาที่เธอ ซูโย่วอี๋ก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ
เธอหยิบแก้วไวน์ผลไม้ขึ้นมาจิบ รสชาติเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยดีแฮะ ซูโย่วอี๋จึงดื่มเข้าไปอีกสองอึก
“ที่รัก ทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ?”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมองจึงพบว่าซูหยินมาแล้ว
“เธอบอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?”
ซูหยินยักไหล่ “เธอดูกังวลขนาดนั้น ฉันจะทำใจปล่อยให้เธอมาเผชิญหน้ากับคุณนายลู่คนเดียวได้ยังไง”
ซูโย่วอี๋ยิ้ม
หลังจากนั้นคนที่เธอคุ้นเคยเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งฮันเจ๋อหยาง ฮันเอินจี ไป๋เสิ่นเฉียว คนที่ซูโย่วอี๋รู้จักก็เริ่มมีเพิ่มมากขึ้น
จนรวมตัวกันเป็นกลุ่มคนที่เธอรู้จัก
ระหว่างรอให้งานเลี้ยงอาหารค่ำเริ่มขึ้น ซูโย่วอี๋ก็มักจะรู้สึกถึงสายตาที่คอยจับจ้องดูเธออยู่ตลอด
เธอขมวดคิ้วและมองไปรอบ ๆ เธอพบว่ามีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังจ้องมาที่เธอ
อย่างตรงไปตรงมา…
เมื่อเห็นว่าซูโย่วอี๋รู้ตัวแล้ว เขาก็ไม่ได้ละสายตาไปจากเธอเลย
“เขาเป็นใครน่ะ”
ซูหยินและคนอื่น ๆ มองไปตามสายตาของซูโย่วอี๋ ไม่คาดคิดว่าชายคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วไวน์
แต่ฮันเจ๋อหยางก้าวออกมาด้านหน้าสองก้าวและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง “พี่ใหญ่”
พี่ใหญ่?
ผู้ชายที่เอาแต่จ้องมองมาคนนี้คือพี่ชายคนโตของฮันเจ๋อหยางเหรอ?
ในใจของซูโย่วอี๋เริ่มรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ฮันเจ๋อเหยียนมองไปยังฮันเจ๋อหยาง “คนนี้คือซูโย่วอี๋งั้นเหรอ?”
ฮันเจ๋อหยางรีบตอบกลับในทันที พี่ชายคนโตคนนี้ดูผิดปกติไปเล็กน้อย
หากได้เห็นผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกับแม่แท้ ๆ ของตัวเองแล้วจะไม่ตกใจได้อย่างไรกันล่ะ?
“อืม ผมจะแนะนำให้รู้จัก”
“ซูโย่วอี๋เป็นรุ่นน้องในบริษัทของผม พึ่งถ่ายละครเรื่องรักในฝันด้วยกันมา ตอนนี้ละครกำลังดังมาก ๆ เลยล่ะ”
ฮันเจ๋อเหยียนมองซูโย่วอี๋อย่างครุ่นคิด “อืม ฮั่วเสวียนดังมาก แต่แกไม่ดัง”
ฮันเจ๋อหยางกระแอมขึ้นมา
อะไร เขาก็แค่ไม่ได้ดังมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดังสักหน่อย?
เขาเป็นถึงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเลยนะ
ดีที่ฮันเจ๋อหยางคุ้นชินกับความปากร้ายของพี่ชายคนโตของตัวเองอยู่แล้วจึงไม่ได้โกรธอะไร “ซูโย่วอี๋ นี่คือพี่ชายคนโตของฉัน ประธานมูลนิธิฮันคนปัจจุบัน ฮันเจ๋อเหยียน”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ”
ฮันเจ๋อเหยียนไม่ได้รบกวนอะไรมาก เขาแค่กล่าวคำทักทายนิดหน่อยและก็หมุนตัวเดินจากไป ก่อนจะพาตัวฮันเจ๋อหยางไปด้วย
“พี่ใหญ่ พี่มาหาผมมีธุระอะไรเหรอ?”
พวกเขาไม่ได้มีเรื่องงานที่ต้องติดต่อกัน ทุก ๆ วันฮันเจ๋อเหยียนมักจะยุ่งตลอดจนแทบไม่ได้เจอหน้ากัน จึงทำให้พี่น้องทั้งสองมีเวลาส่วนตัวเช่นนี้น้อยมาก
ฮันเจ๋อเหยียนลูบแก้วไวน์แดงในมือเบา ๆ “ซูโย่วอี๋กับแม่ของพวกเราหน้าตาเหมือนกันมาก แกไม่สงสัยอะไรสักนิดเลยเหรอ?”
“สงสัยอะไร? คนบนโลกใบนี้ที่หน้าตาเหมือนกันก็ใช่ว่าจะไม่มีสักหน่อย พี่ใหญ่ พี่คิดมากไปเองหรือเปล่า?”
ฮันเจ๋อเหยียนวางแก้วไวน์ลง “โชคดีที่แกไม่ได้เข้าบริษัท ไม่งั้นคนแบบแกคงถูกคนอื่นหลอกแล้วก็ยังช่วยเหลือคนพวกนั้นอยู่”
ฮันเจ๋อหยาง “…”
“พี่ใหญ่ พี่จะพูดเรื่องอะไรก็พูด แต่อย่าเอาแต่พูดเรื่องผมได้มั้ย?”
ฮันเจ๋อเหยียนไม่พูดอะไรอ้อมค้อมอีก “ฉันสังเกตดูซูโย่วอี๋แล้ว ไม่ใช่แค่หน้าตาเหมือนกันนะ แม้แต่เรื่องที่ชอบก็เหมือนกัน ชอบกินของหวาน ไม่ชอบกินส้ม เมื่อกี้นี้ฉันเห็นตอนที่เธอกินส้มเข้าไป ใบหน้าเครียดขึ้นมาเลย”
ท่าทางเหมือนกับตอนที่คุณนายฮันกินส้มไม่มีผิด
ฮันเจ๋อเหยียนไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องบังเอิญ เขาต้องการหลักฐาน
“แกกับเธอสนิทกันขนาดนี้ หาโอกาสเอาเส้นผมของเธอมาให้ได้นะ”
น้ำเสียงของฮันเจ๋อหยางประหลาดใจ “พี่ใหญ่ พี่คงไม่ได้คิดที่จะ…?”
“ตรวจดีเอ็นเอ”
เรื่องที่ฮันเจ๋อหยางเดาเอาไว้ในใจกลายเป็นเรื่องจริง เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันไร้สาระ “พี่ใหญ่ นี่มันอุกอาจมากเกินไป หลักฐานอะไรก็ไม่มี ก็แค่หน้าตาเหมือนกันแล้วก็เรื่องกินส้ม พี่ก็เลยสงสัยว่าเธอเป็นลูกสาวของแม่พวกเรางั้นเหรอ?”
“พี่อย่าลืมสิว่าเอินจีก็ยังอยู่ ถ้าเกิดว่าซูโย่วอี๋เป็นลูกสาวของแม่ แล้วเอินจีล่ะ? หรือจะบอกว่าอุ้มมาผิดคน?”
ฮันเจ๋อเหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“พี่ใหญ่ พี่บ้าไปแล้วจริง ๆ”
พูดจบฮันเจ๋อหยางก็ต้องการที่จะออกไป เพราะไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อไปแล้ว
“เจ๋อหยาง อย่าลืมเรื่องที่ฉันบอกไป ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเรื่องที่ฉันเดาจะถูกต้อง 100% ฉันก็แค่อยากได้หลักฐาน ถึงแกไม่อยากเห็น แต่ถ้าเกิดว่าเธอเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของแกจริง ๆ ล่ะ?”
ฮันเจ๋อหยางสบตาพี่ชาย ใจที่แน่วแน่ในตอนแรกเริ่มหวั่นไหว “ได้ ผมจะเป็นบ้าเป็นเพื่อนพี่ดูสักครั้ง”