ตอนที่ 207

My Disciples Are All Villains

การคาดการณ์นี้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกๆ คน

สาวใช้ทั้งสองคนตกใจมากจนล้มลงไปกับพื้น สาวใช้ทั้งสองได้แต่สั่นไปทั้งตัว ในขณะเดียวกันทั้งทหารทั้งหลายที่มาด้วยก็ได้แต่ลุกลี้ลุกลน

ฮั๊วยู่จิงเป็นหนึ่งในเทพแห่งมือธนูทั้งสามของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ นางมีสถานะเดียวกับหลี่ชิง หนึ่งในสี่อัศวินดำและเฉินซู่หนึ่งในลูกน้องของม่อหลี่

ทั้งหลี่ชิงและเฉินซู่ต่างก็ได้ตายไปหมดแล้ว ฮั๊วยู่จิงเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ในตอนนี้นางเพิ่งถูกหมิงซี่หยินโจมตีใส่ไป!

หมิงซี่หยินได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ากล้าเล่นลูกไม้กับพวกเราอย่างงั้นหรอ? ข้าจะเป็นผู้เอาชีวิตเจ้าเอง…” เคียวพื้นพิภพได้ปรากฏขึ้นบนมือของหมิงซี่หยิน

ท่านหญิงเจดที่เห็นแบบนั้นสีหน้าซีดเซียว นางรีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว “ท่านผู้อาวุโส ช้าก่อน! “

ลู่โจวได้วางคันธนูของฮั๊วยู่จิงเอาไว้บนโต๊ะก่อนที่จะพูดต่อไป “ปล่อยนางไปซะ”

หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงรีบถอยกลับมาอย่างเชื่อฟัง

ฮั๊วยู่จิงเดินโซซัดโซเซ นางรับบาดเจ็บสาหัสหลังจากที่ถูกโจมตีเข้าไป

โชคดีที่หมิงซี่หยินยังไม่ลงมือปิดฉาก

ท่านหญิงเจดรีบพูดขึ้น “รีบกลับมาซะ”

แม้ว่าฮั๊วยู่จิงจะดูเหมือนไม่เต็มใจเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นนางก็บินกลับไปที่เจดีย์ลอยฟ้าแต่โดยดี นางได้เหลือบมองไปที่ลู่โจว, หมิงซี่หยิน และคนอื่นๆ อย่างประหม่า

ท่านหญิงเจดได้ลุกยืนก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับลู่โจว “ข้าไม่มีทางเลือก…ข้ามีเพียงแต่ต้องทำเท่านั้น”

“เจ้ากำลังจะสารภาพออกมาเองงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้ถามขึ้น

ท่านหญิงเจดได้ถอนหายใจก่อนที่จะตอบกลับมา “อันที่จริงแล้วเยี่ยนซานเป็นคนของข้าเอง…” คำตอบของนางทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกคลี่คลายออกมา

เนื่องจากเยี่ยนซานเป็นคนของท่านหญิงเจด เพราะแบบนั้นการที่เขาจะไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล การที่ฮั๊วยู่จิงชิงโจมตีออกไปก่อนเป็นเพราะนางอยากที่จะฆ่าปิดปากนั่นเอง

ลู่โจวได้ส่งสัญญาณให้กับหยวนเอ๋อ

หยวนเอ๋อได้เหวี่ยงแขนของตัวเองก่อนที่จะดึงสายสะพายนิพพานกลับมา สายสะพายในตอนนี้ได้พันล้อมตัวของเยี่ยนซานเอาไว้ “ท่านอาจารย์…ให้ศิษย์หักขาเจ้านี้เลยดีไหมคะ? “

เยี่ยนซานที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ตัวสั่น

หยวนเอ๋อไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเพื่อหาคำตอบ เมื่อนางยังเห็นลู่โจวเงียบอยู่นางก็ได้หันกลับไปที่เยี่ยนซาน

ลู่โจวเหลือบมองไปที่เยี่ยนซานก่อนที่จะพูดออกมา “พูดซะ”

เยี่ยนซานสั่นไปทั้งตัว เขาได้โค้งคำนับท่านหญิงเจดก่อนที่จะพูดออกมา “เศษเสี้ยวฟากฟ้าอีกสามชิ้นอยู่ที่ท่านหญิงเจด…โปรดอภัยให้กับข้าด้วยท่านหญิง! อภัยให้กับข้าด้วย! “

ถ้าหากเยี่ยนซานไม่ได้โกหก เท่ากับว่ามีชิ้นส่วนเศษเสี้ยวฟากฟ้าอยู่ที่พระราชสำนักอีกสี่ชิ้นด้วยกัน…ลู่โจวได้รับเศษเสี้ยวฟากฟ้ามาจากเจียงอาเฉียนมาแล้วชิ้นหนึ่ง เพราะแบบนั้นจึงไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้อีก

ท่านหญิงเจดได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสฮั๊ว คันธนูของฮั๊วยู่จิงถูกทำมาจากเศษเสี้ยวฟากฟ้า…ข้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับก็เพราะไม่อยากให้ท่านเข้าใจพวกเราผิดไปมากกว่านี้ ข้าไม่รู้เลยว่าเยี่ยนซานจะใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่มีให้กับข้าเพื่อที่จะเข้าใกล้ถุงมือไหมยักษ์แบบนี้ได้”

เหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายต่างก็จ้องมองไปที่ธนูที่อยู่บนโต๊ะด้วยความตกใจ ในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านอาจารย์คนนี้ถึงต้องโจมตีฮั๊วยู่จิง ลู่โจวสังเกตเห็นเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วนั่นเอง

ลู่โจวยังคงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

ท่านหญิงเจดได้พูดต่อไปอย่างเร่งรีบ “ถ้าหากข้าต้องการที่จะเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ ไหนเลยข้าจะมาที่เจดีย์ลอยฟ้าในวันนี้ได้ การทำแบบนี้ไม่เท่ากับว่ารถหาที่หรอกหรอ? “

เจดีย์ลอยฟ้าได้ถูกความเงียบเข้าครอบนำอีกครั้ง

แม้แต่เสียงของลมหายใจเองก็ไม่มีใครที่จะกล้าปล่อยออกมา

ฮั๊วยู่จิงได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากเรื่องไม่เป็นแบบนั้นข้าก็คงจะไม่ทำกับเยี่ยนซานเช่นนี้”

ในตอนที่ลูกศรพลังงานพุ่งไปที่หยวนเอ๋อ ในตอนนั้นเป็นการโจมตีของฮั๊วยู่จิงนั่นเอง

ฮั๊วยู่จิงได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจะคืนธนูคันนี้ให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าในทันทีเอง! “

การจะสร้างอาวุธขึ้นมาอย่างถูกต้อง เศษเสี้ยวฟากฟ้า 2 ชิ้นสามารถที่จะหลอมรวมกันจนกลายเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้ แน่นอนว่านอกจากเศษเสี้ยวฟากฟ้าแล้วยังต้องใช้วัตถุดิบเสริมเพิ่มเติมอื่นๆ อีกด้วย วัตถุดิบพวกนั้นล้วนแต่เป็นของหายากด้วยกันทั้งหมด

ลู่โจวไม่คาดคิดว่าเศษเสี้ยวฟากฟ้าถึง 3 ชิ้นจะสามารถสร้างธนูระดับโลกได้แบบนี้ มันเป็นอะไรที่เสียของจริงๆ ตัวเขาได้โบกแขนก่อนที่จะเก็บคันธนูไป

“ติ้ง! ได้รับธนูฟากฟ้า จำเป็นจะต้องขัดเกลาเพื่อที่จะกู้คืนเศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้ง 3 ชิ้นได้”

ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้เหลือบมองไปที่ภารกิจที่มี ภารกิจในการรวบรวมเศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้ง 8 (7/8) ภารกิจในการเก็บรวบรวมเศษเสี้ยวฟากฟ้าเป็นอะไรที่ง่ายกว่าที่ตัวเขาคาดคิดเอาไว้มาก แม้ว่าผู้คนภายนอกจะมองเศษเสี้ยวฟากฟ้าว่าเป็นของหายากหรือเป็นเหมือนกับสมบัติล้ำค่าก็ตาม แต่สำหรับสายตาของจีเทียนเด๋ามันก็ไม่ได้ต่างจากขยะ เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงคิดมาโดยตลอดว่าการจะหาของทั้งหมดได้จะต้องเป็นเรื่องยาก

ในตอนนี้เหลือเศษเสี้ยวฟากฟ้าที่จะต้องตามหาเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

ลู่โจวได้มองไปที่เยี่ยนซานก่อนที่จะพูดขึ้น “เยี่ยนซาน ข้าจะให้โอกาสไว้ชีวิตเจ้า”

เมื่อเยี่ยนซานได้ยินแบบนั้น ตัวเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะโค้งคำนับลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างสุดเสียง “กรุณาชี้แนะข้าด้วย ท่านผู้อาวุโส! ข้าจะทำทุกอย่างเอง! “

“ข้าน่ะชอบคนที่มีรู้สถานการณ์มากกว่าสิ่งอื่นใด” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “เนื่องจากเจ้าเป็นคนมอบเศษเสี้ยวฟากฟ้าให้กับสำนักแห่งความบริสุทธิ์ไป เพราะแบบนั้นเจ้าจะต้องไปหาเศษเสี้ยวฟากฟ้ากลับคืนมา”

เยี่ยนซานที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับผงะ

เมื่อเห็นเยี่ยนซานกำลังสับสน หมิงซี่หยินก็ได้พูดขึ้น “ถ้าหากเจ้าไม่ไป…ข้าคิดว่าพวกเราคงจะได้กลิ่นเลือดสดๆ กันอีกแน่” เมื่อพูดจบหมิงซี่หยินก็ได้ยืดแขนยืดขาขึ้น

เมื่อได้ยินแบบนั้นเยี่ยนซานก็ตัวสั่น ตัวเขาไม่กล้าที่จะปฏิเสธได้เลย “ข้าจะไป ข้าจะเป็นคนทำเอง…”

ที่สำนักแห่งความบริสุทธิ์มียอดฝีมือมากมายหลายคน การที่จะไปเอาเศษเสี้ยวฟากฟ้าคืนมาได้คงจะเป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลย แม้ว่าเยี่ยนซานจะมีฝีมือในการขโมยของมากแค่ไหนแต่ตัวเขาก็ไม่สามารถที่จะขอของที่ขโมยมาแล้วกลับคืนมาได้ ถ้าหากไม่ได้ถูกกรงผนึกกักขังพันธนาการเอาไว้ ลู่โจวก็คงจะต้องใช้ความพยายามและเวลาอย่างมากไปกับการจับหัวขโมยอย่างเยี่ยนซาน

เยี่ยนซานได้พูดออกมาอย่างหวาดกลัว “ท่าน…ท่านผู้อาวุโส ข้าจะกลับไปที่สำนักแห่งความบริสุทธิ์เอง…แต่ข้า…เอ่อช่วยข้ากู้คืนพลังวรยุทธกลับมาจะได้ไหม? “

หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ ศิษย์อยากที่จะพูดอะไรหน่อย”

“พูดมาสิ”

“เยี่ยนซานมีทักษะในการขโมย ถ้าหากพวกเราปลดพันธนาการพลังวรยุทธให้กับเจ้านั่นจริง การจะจับเจ้านั่นมาอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ แม้ว่าเจ้านี้จะรับปากช่วยเหลือท่านอาจารย์ก็ตาม แต่ยังไงซะหัวขโมยก็ยังเป็นหัวขโมย ยังไงซะพวกเราก็เชื่ออะไรเจ้านี่ไม่ได้หรอก” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาต่อ “แต่ถึงแบบนั้นทักษะของเขาก็ยังอยู่แม้จะถูกพันธนาการพลังวรยุทธเอาไว้ ศิษย์จะใส่ผนึกพลังลมปราณเอาไว้ที่ตัวของเขาเพื่อไม่ให้เยี่ยนซานได้หนีไปไหนได้เอง”

ลู่โจวพยักหน้า ตัวเขาเห็นด้วยกับหมิงซี่หยิน

หมิงซี่หยินได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะหันไปหาเยี่ยนซาน ตัวเขาได้ยกมือขึ้นมาก่อนที่จะเดินพลังลมปราณ พลังลมปราณสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ได้ก่อตัวขึ้น

ผั๊วะ

หมิงซี่หยินกระแทกฝ่ามือไปที่ตัวของเยี่ยนซาน

อึก!

เยี่ยนซานได้กระอักเลือดออกมาจากปาก

พลังผนึกของหมิงซี่หยินไม่เหมือนกับพลังธรรมดาๆ แม้ว่าพลังผนึกธรรมดาจะสามารถทำให้ผู้ใช้ผนึกพลังวรยุทธของผู้ที่มีพลังอ่อนแอกว่าได้ แต่พลังของหมิงซี่หยินต่างออกไป พลังของเขาได้ฝังตัวอยู่ที่เส้นพลังลมปราณของเป้าหมายโดยตรง การที่จะลบพลังแบบนี้ได้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถึงแบบนั้นตราผนึกนี้ยังมีข้อจำกัดของทางด้านเวลาอยู่ นี่คือข้อบกพร่องของพลังผนึกนั่นเอง

ท่านหญิงเจดถึงกับผงะเมื่อเห็นหมิงซี่หยินใช้พลังผนึกพิเศษบนตัวของเยี่ยนซาน นั่นหมายความว่านางจะไม่สามารถใช้งานเยี่ยนซานไปได้อีกนาน ตราบใดที่เยี่ยนซานถูกพลังผนึก เขาก็จะเป็นเหมือนกับเบี้ยล่างของศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ยังไงก็แล้วแต่ท่านหญิงเจดก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อีกต่อไป สำหรับนางแล้วการที่จะแก้ไขปัญหาที่มีระหว่างศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นอะไรที่สำคัญกว่า ถ้าหากมันจำเป็นจริงๆ ท่านหญิงเจดก็เต็มใจที่จะเสียสละเยี่ยนซาน เพราะแบบนั้นนางจึงไม่ได้โต้แย้งอะไรกับวิธีการแบบนี้

“ท่านอาจารย์…ศิษย์ฝังพลังผนึกได้แล้ว พลังผนึกนี้จะอยู่ได้นานเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น…” หมิงซี่หยินได้พูดขึ้น

ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้า ตัวเขาเหลือบไปที่เยี่ยนซานก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าจะให้เวลาเจ้าเจ็ดวัน”

เยี่ยนซานที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับผงะ “สะ สามเดือนไม่ได้หรอ? จะ เจ็ดวัน…มันไม่ได้สั้นไปหรอกหรอ? “

หมิงซี่หยินได้พูดต่อไป “เจ้าน่ะไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อรองอะไรทั้งนั้น…ถ้าหากเจ้าไม่นำเศษเสี้ยวฟากฟ้ากลับมาภายในเจ็ดวัน ข้าจะตามไปจัดการกับเจ้าเอง ข้าจะหาเจ้าเจอแม้ว่าจะอยู่ไหนก็ตาม ข้าจะขุดหลุมฝังศพให้กับเจ้าถ้าหากเจอเจ้าเยี่ยนซาน ข้าจะถลกหนังของเจ้าก่อนที่จะหั่นมันออกเป็นชิ้นๆ เอง…”

“…”

เยี่ยนซานไม่เคยถูกจับได้มาก่อน ตอนนี้ตัวเขาได้ถูกศาลาปีศาจลอยฟ้าจับได้ เพราะแบบนั้นความมั่นใจทั้งหมดที่มีจึงถูกสั่นคลอน ในตอนนี้มีเพียงอารมณ์เดียวที่หลงเหลืออยู่ สิ่งนั้นก็คือความกลัวนั่นเอง “เจ็ดวัน…ข้าจะทำมันให้ได้ภายในเจ็ดวัน…”

ลู่โจวโบกแขน ในตอนนั้นตาข่ายพลังของกรงผนึกกักขังก็ได้สลายหายไปราวกับมันไม่เคยมีมาก่อน

ท่านหญิงเจดได้มองไปที่เคล็ดวิชาลับก่อนที่จะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “ท่านมีความสามารถจริงๆ ท่านผู้อาวุโส ไม่น่าแปลกเลยที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะยิ่งใหญ่มาถึงทุกวันนี้ได้”

ลู่โจวไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป ตัวเขารู้สึกชินชากับคำเยินยอมามากแล้ว

เมื่อกรงผนึกกักขังหายไป เยี่ยนซานก็รู้สึกได้ถึงพลังลมปราณที่ตัวเขามี ตัวเขาได้รีบโค้งคำนับให้อย่างไม่ลังเล “ข้าจะไปที่…สำนักแห่งความบริสุทธิ์ในทันที”

เพียงแค่เวลาสั้นๆ …เยี่ยนซานผู้ฝึกยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์จะต้องขโมยของจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์กลับมา การจะทำแบบนั้นได้เป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากไม่มีแผนการที่ดีพอ

“ไปได้แล้ว” หมิงซี่หยินโบกมือไล่เยี่ยนซาน

เยี่ยนซานได้กระโดดออกไปจากเจดีย์ลอยฟ้าก่อนที่จะหายตัวไปในป่า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้หายไปจากการจับจ้องของทุกๆ คน

ท่านหญิงเจดได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโส ข้ามีอะไรบางอย่างที่จะต้องทำ ข้าคงจะต้องขอตัวก่อน”

“ช้าก่อน” ลู่โจวลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

ท่านหญิงเจดได้ตกตะลึงเล็กน้อย นางได้ฝืนยิ้มก่อนที่จะตอบกลับมา “มีอะไรอย่างงั้นหรอท่านผู้อาวุโส? “

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้ใช้ความจริงใจเลยนะ” ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ลู่โจวก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จากการสนทนาที่มีต่อท่านหญิงคนนี้ ลู่โจวไม่สามารถที่จะเชื่อใจอะไรได้เลย

“ไม่จริงใจอย่างงั้นหรอ? ” ท่านหญิงเจดได้พูดออกมาอย่างสับสน นางไม่รู้เลยว่าลู่โจวกำลังจะหมายความว่าอะไร

“เจ้าเคยพบกับม่อหลี่มาก่อนไหม? “

“ข้าได้พบกับชายาขององค์ชายองค์ที่สองมาแล้ว แต่ถึงแบบนั้นม่อหลี่เป็นผู้ที่ชอบเก็บตัวเองมากจนเกินไป นางไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากนัก” ท่านหญิงเจดสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเพราะแบบนั้นนางจึงพูดเสริมขึ้น “ไม่ต้องห่วงท่านผู้อาวุโส หัวใจของข้าอยู่ที่องค์จักรพรรดิเท่านั้น ข้าไม่คิดที่จะร่วมมือกับเจ้าพวกนั้นหรอก”

ลู่โจวนิ่งเงียบไปก่อนที่จะมองไปยังแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ

คำพูดของท่านหญิงเจดชัดเจนทุกอย่าง แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่ได้ใช้ความจริงใจอะไรออกมา

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงพูดเยาะเย้ยที่ดังมาจากเจดีย์ลอยฟ้าชั้นแปด “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าท่านหญิงเจดจะยอมแพ้ได้ง่ายขนาดนี้”

เสียงของเจียงอาเฉียนมีเอกลักษณ์กว่าที่คิด เสียงของเขาได้ทำให้คนอื่นๆ อยากที่จะรู้อยากเห็นมากขึ้น แต่โชคร้ายที่ทุกคนไม่สามารถที่จะมองทะลุพื้นลงไปได้

เจียงอาเฉียนได้พูดต่อไป “ท่านผู้อาวุโส…เยี่ยนซานเป็นคนของท่านหญิงเจด ถ้าหากท่านหญิงเจดไม่ได้ให้การสนับสนุนเขา ท่านคิดว่าเจ้านั่นจะกล้ามากพอที่จะขโมยถุงมือไหมยักษ์อย่างงั้นหรอ ถ้าหากปล่อยให้นางลอยนวลไปแบบนี้ข้าเกรงว่าที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องเสื่อมเสียเชื่อเสียงแน่

ลู่โจวดูสงบเยือกเย็น

หมิงซี่หยินพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆ ที่เจ้าพูดได้สมเหตุสมผลแบบนี้ ศาลาปีศาจลอยฟ้าเข้าใจเจ้าผิดมาโดยตลอดสินะ”

ท่านหญิงเจดเข้าใจความหมายในสิ่งที่พูดดี นางได้แต่ก้าวถอยหลังกลับไป สาวใช้รวมไปถึงทหารทั้งหลายเองก็ได้แจ่หลบหลังนาง ฮั๊วยู่จิงเองก็หลบไปอยู่ข้างๆ นางเช่นกัน

บรรยากาศสบายๆ ได้กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง

เจียงอาเฉียนได้พูดต่อไป “ท่านผู้อาวุโส ข้าได้เห็นสิ่งที่ท่านทำได้แล้ว…ท่านจะเลือกที่จะทำต่อไปไหม? “

คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกสับสนกับคำพูดเมื่อครู่นี้

ทันใดนั้นเองสีหน้าของท่านหญิงเจดก็ได้มืดมน นางเริ่มปล่อยควันสีม่วงออกมา สัญลักษณ์ดอกบัวที่ดูคุ้นตาก็เริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าผากของนาง แม้ว่าจะมีสัญลักษณ์แต่นางก็ไม่ได้โจมตีอะไรมา สีหน้าของนางในตอนนี้มีแต่จิตสังหาร

ควันสีม่วงได้กระจายไปรอบๆ …

“ท่านหญิงเจด! “

คนอื่นๆ ได้แต่เสกม่านพลังป้องกันตัวเองขึ้นมา ทุกๆ คนต่างก็กลัวว่าควันสีม่วงจะเป็นควันพิษ

เมื่อควันสีม่วงฟุ้งออกมาเรื่อยๆ สัญลักษณ์ดอกบัวก็เริ่มที่จะจางหายไป สีหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหารเองก็จางหายไปเช่นกัน

ฮั๊วยู่จิงเองก็งุนงงเช่นกัน “นี่มัน…”

ในตอนนั้นเจียงอาเฉียนก็ได้ขึ้นมาจากบันไดชั้นแปดเป็นที่เรียบร้อย ในตอนนี้ใบหน้าของเขามันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ควันสีม่วงทั้งหมดได้กระจายหายไปในอากาศก่อนที่ท่านหญิงเจดจะสลบลง

สาวใช้ทั้งสองต่างก็รีบคว้าตัวนางเอาไว้

ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นไม่ได้ตกใจอะไร

แต่เหล่าศิษย์สาวกทั้งหมดที่เห็นแบบนั้นต่างก็รู้สึกตกตะลึง

ในตอนที่ควันสีม่วงปรากฏขึ้น ทุกๆ คนต่างก็คิดว่าท่านหญิงเจดคงจะใช้สุดยอดเวทมนตร์คาถาสำหรับการต่อสู้ แต่ท่านหญิงเจดกลับหมดสติไป สัญลักษณ์ดอกบัวของนางบนหน้าผากเองก็หายไปเช่นกัน

“เจียงอาเฉียน…เจ้ารู้มาตลอดสินะว่านางถูกควบคุมเอาไว้? ” หมิงซี่หยินถามออกมา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“แน่นอน…แต่ข้าไม่ต้องการที่จะพูดอะไร ข้าอยากที่จะเห็นมันกับตาตัวเองมากกว่า” เจียงอาเฉียนได้สะบัดผมของเขาก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าน่ะไม่ชอบทำตัวโดดเด่นอะไร เพราะแบบนั้นข้าจึงไม่ได้เป็นที่รู้จักเหมือนกับคนอื่นๆ ” เจียงอาเฉียนได้พูดถึงฐานะของการเป็นเจ้าชายที่ตัวเขามี

เหล่าสาวใช้, ทหารทั้งหลาย รวมไปถึงฮั๊วยู่จิงต่างก็จำเจียงอาเฉียนไม่ได้ พวกเขาได้มองเจียงอาเฉียนอย่างไร้ความรู้สึก พวกเขาคิดว่าผู้มาเยือนหน้าใหม่คนนี้จะต้องเป็นคนจากศาลาปีศาจลอยฟ้าเช่นกัน ที่คิดแบบนั้นก็เพราะความไร้ยางอายที่เจียงอาเฉียนมีนั่นเอง

ฮั๊วยู่จิงได้อุทานออกมาด้วยความตกใจ “เจ้ากำลังจะบอกว่าท่านหญิงถูกควบคุมมาโดยตลอดหรอ? “

“ถูกแล้ว” เจียงอาเฉียนได้กลอกตากลับไปที่นาง “ท่านหญิงน่ะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ นางเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเพียงเท่านั้น ที่นางสามารถเดินอยู่ในพระราชสำนักได้เป็นเพราะนางรับใช้ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในใต้หล้า ถ้าหากข้าเป็นม่อหลี่ ข้าก็คงจะไม่ปล่อยให้โอกาสทองแบบนี้หลุดมือไปหรอก”

ฮั๊วยู่จิงได้โซเซไปที่ด้านหลัง นางได้แต่สัมผัสใบหน้ากับเส้นผมของตัวเอง ฮั๊วยู่จิงเองก็กังวลว่าตัวนางจะถูกควบคุมเช่นกัน

หมิงซี่หยินรีบพูดต่อไป “ถ้าหากนางถูกควบคุมจริงๆ ทำไมม่อหลี่ไม่ใช้ท่านหญิงโจมตีพวกเราล่ะ? ท้ายที่สุดแล้วยังไงนางก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิด”

เจียงอาเฉียนได้ยกนิ้วของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าคิดว่าเหตุผลอย่างแรกม่อหลี่คงจะได้รับบาดเจ็บถ้าหากทำไม่สำเร็จ อย่างที่สองเวทมนตร์คาถาที่ปลดปล่อยออกมาจากหุ่นเชิดจะมีพลังเพียงแค่หกส่วนเท่านั้น การที่นางเผชิญหน้ากับท่านผู้อาวุโสโดยตรง ถ้าหากทำแบบนั้นนางก็คงจะเอาชนะไม่ได้แน่ ดังนั้นม่อหลี่จึงเลือกที่จะถอยกลับไปซะเอง เท่านี้นางก็คงจะฟื้นฟูตัวเองกลับมาให้พร้อมใหม่อีกครั้ง ม่อหลี่เป็นคนที่โหดเหี้ยมไร้ปรานี ข้ารู้สึกสงสัยจริงๆ ว่าทำไมนางไม่เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า”

สายตาหลายคู่ได้จับจ้องไปที่เจียงอาเฉียน

‘ข้าพูดผิดอย่างมหันต์ไป! ‘ เจียงอาเฉียนเรียบพูดออกมาใหม่ “เอ่อ…ข้าหมายถึงทำไมนางไม่เลือกเส้นทางแห่งอธรรมแทนที่จะเลือกเส้นทางแบบนี้น่ะ”

ความหมายคำพูดยิ่งชัดเจนมากขึ้น

แม้ว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะเป็นเหมือนกับสำนักฝ่ายอธรรม แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่เคยที่จะทำอะไรน่ารังเกียจแบบนี้

เจียงอาเฉียนได้มองไปที่ท่านหญิงเจดที่กำลังหมดสติก่อนที่จะพูดต่อไป “แล้วพวกเจ้าจะยืนเฉยๆ ทำไมกัน? รีบพาท่านหญิงไปได้แล้ว! “

สาวใช้ทั้งสองรีบพยุงท่านหญิงเจดขึ้นมาก่อนที่จะลงบันไดไป

ลู่โจวไม่ได้หยุดอะไรคนพวกนั้น เขาได้แต่นั่งลงอย่างช้าๆ ก่อนที่จะจ้องมองเหล่าสาวใช้ทั้งหมดพาท่านหญิงจากไป

ฮั๊วยู่จิงเองก็อยากจะจากไปเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นเจียงอาเฉียนก็ได้พูดออกมาก่อน “เจ้าน่ะยังไปไม่ได้”

“ฮะ? “

“อะไรกัน? เจ้าจะกลับไปหาม่อหลี่เพื่อรับใช้นางอีกอย่างงั้นหรอ? “

ฮั๊วยู่จิงตกตะลึง

ลู่โจวจ้องไปที่เจียงอาเฉียนราวกับว่าเขากำลังจ้องมองเหยื่อ “หลิวเฉิน”

เจียงอาเฉียนสั่นไปทั้งตัว ตัวเขาที่ถูกเรียกชื่อจริงได้หันกลับไปหาลู่โจวในทันที