ตอนที่ 208

My Disciples Are All Villains

เจียงอาเฉียนไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นเขากลับทำอะไรไม่ได้ คราวนี้เองก็เป็นเช่นกัน ในตอนนี้มหาวายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกยืนอยู่ตรงหน้า แถมยังมีศิษย์วายทั้งสามคนอยู่เช่นกัน ถ้าหากตัวเขาทำผิดใจปรมาจารย์คนนี้จริงๆ ใครก็ตามก็คงจะสามารถจัดการเขาได้อย่างง่ายดาย

เจียงอาเฉียนได้แต่หัวเราะอย่างเขินอายออกมาก่อนที่จะโค้งคำนับลู่โจว “ท่านผู้อาวุโส…ข้าเจียงอาเฉียน เจียงอาเฉียนแห่งโลกที่กว้างใหญ่แห่งนี้”

“เจ้าน่ะเจ้าเล่ห์ซะจริงนะ” ลู่โจวได้หันไปมองโต๊ะหินก่อนที่จะเหลือบมองไปที่เจียงอาเฉียน

“ท่านผู้อาวุโส…นี่คือการร่วมมือกัน! ท่านไม่คิดหรอว่าพวกเราจะทำงานด้วยกันได้ดีน่ะ? “

“ข้าไม่คิดแบบนั้น”

เมื่อลู่โจวกลับไปที่เจดีย์ลอยฟ้า ตัวเขาก็ได้คำนวณอะไรบางอย่างขึ้น ตัวเขาได้ใช้การ์ดกรงผนึกกักขังทั้งหมด 3 ใบในการจับเยี่ยนซาน แม้ว่ามันจะเป็นการ์ดที่ตัวเขามีอยู่แล้วแต่ถึงแบบนั้นราคาการ์ดในตอนนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นมาแล้ว พลังวรยุทธของลู่โจวอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น การจับเยี่ยนซานได้ไม่ได้ทำให้ลู่โจวได้รับแต้มบุญอีกด้วย ในสถานการณ์ตอนนี้การที่จะเสียแต้มบุญไปโดยเปล่าประโยชน์ถือว่าเป็นความเสียหายที่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวเขาก็ว่าได้

เจียงอาเฉียนได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “วันนี้ท่านไม่สามารถที่จะตำหนิข้าได้หรอกนะ ถ้าหากท่านต้องการจะตำหนิใครสักคน ท่านก็ควรจะโทษศิษย์คนที่เจ็ดของท่านอย่างสีวู่หยา เขาคนนั้นนั่นแหละเป็นผู้สร้างเรื่องทั้งหมดจากเงามืด”

“สิ่งที่ข้ารู้มีเพียงเจ้าที่เรียกข้ามายังที่แห่งนี้” ลู่โจวได้พูดขึ้น

เจียงอาเฉียนพูดไม่ออก ตัวเขาผิดเต็มๆ เจียงอาเฉียนได้แต่เหลือบมองไปที่ฮั๊วยู่จิงด้วยความกลัวและความกังวลใจ ในตอนนั้นเองเขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ “ข้ามีอะไรบางอย่างที่จะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นได้ ท่านผู้อาวุโส”

“อะไรกันล่ะ? “

เจียงอาเฉียนเดินไปที่ฮั๊วยู่จิงก่อนที่จะพูดขึ้น “ฮั๊วยู่จิง…ตอนแรกข้าวางแผนจะพาเจ้าออกจากพระราชสำนักก็เพื่อที่จะไขว่คว้าอิสรภาพเป็นของตัวเอง แต่ในตอนนี้ข้าจะให้เจ้าได้เลือกเส้นทางที่สดใสยิ่งกว่านั้น”

“ฮะ? “

“เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าซะ” เจียงอาเฉียนได้พูดขึ้น

หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ได้จะดูแคลนนางหรอกนะ แต่ทักษะที่นางมีในตอนนี้…นางก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสาวกคนงานทั่วไปในศาลาปีศาจลอยฟ้า แม้แต่โจวจี้เฟิงเองยังเก่งกาจกว่านางด้วยซ้ำไป”

ฮั๊วยู่จิงรู้สึกไม่พอใจที่ทุกคนพูดเหมือนกับว่านางไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ฮั๊วยู่จิงได้รับการฝึกฝนอยู่ที่สำนักลั่วตั้งแต่เด็ก นางไม่ชอบทั้งดาบ, กระบี่ หรือแม้แต่การใช้เพลงหมัด นางได้ตกหลุมรักกับการใช้ธนูอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฮั๊วยู่จิงก็ไม่สามารถที่จะหยุดใช้ธนูได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดแล้วนางจึงได้เป็นหนึ่งในสามเทพแห่งมือธนูไปในที่สุด นางได้เข้าร่วมกับทางพระราชสำนักหลังจากที่ออกจากสำนักลั่วมา ฮั๊วยู่จิงได้รับใช้พระราชสำนักตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ในที่สุดนางก็ได้กลายเป็นมือสามมือธนูที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นฮั๊วยู่จิงก็ยังเด็กจนเกินไป นางไม่ได้มีประสบการณ์หรือแม้แต่ยุทธวิธีในการต่อสู้กับศัตรูในแนวหน้ามาก่อน นั่นคือสาเหตุที่ทำให้นางกลายเป็นเทพแห่งมือธนูลำดับที่สามไป

“สาวกคนงานอย่างงั้นหรอ? ไม่มีทาง…” ฮั๊วยู่จิงได้พูดขึ้น

“เจ้าจะเถียงอย่างงั้นสินะ? เจ้าต้องการที่จะประลองกับข้าดูไหมล่ะ? ข้าน่ะไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง แต่อย่าร้องไห้หลังจากที่พ่ายแพ้ไปก็แล้วกัน” หมิงซี่หยินยกมือขึ้น ในตอนนั้นเองเคียวพื้นพิภพก็ได้ปรากฏอยู่ในมือของหมิงซี่หยิน

เมื่อนางเห็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ ฮั๊วยู่จิงก็ได้ถอยหลังกลับไป นางรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็นอย่างชัดเจน หลังจากที่นางถูกหมิงซี่หยินโจมตีก่อนหน้านี้ เป็นธรรมดาที่นางจะเกรงกลัวเขา

เจียงอาเฉียนได้พูดขัดขึ้นมาซะก่อน “ท่านหมิงซี่หยิน ท่านอย่าได้ประมาทนางจะดีกว่า แม้ว่าฮั๊วยู่จิงจะเป็นหญิงสาว แต่ถึงแบบนางก็มีพรสวรรค์ในการใช้ธนู น่าเสียดายที่นางก็แค่เดินตามคนผิดก็เท่านั้น” เจียงอาเฉียนได้หันไปพูดกับฮั๊วยู่จิง “ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้วละก็ แสดงความสามารถให้กับพวกเขาได้เห็นซะสิ”

“ข้าไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า” ฮั๊วยู่จิงปฏิเสธออกมาตรงๆ

“…ทำไมกันล่ะ? “

“ให้ข้าได้ถูกทางพระราชสำนักลงโทษดีกว่าที่จะให้เข้าร่วมกับพวกฝ่ายอธรรม”

เจียงอาเฉียนได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจไปด้วย “เชื่อข้าซะเถอะ…ที่พระราชสำนักน่ะมีแต่ความขัดแย้งแก่งแย่งชิงดี แม้ว่าท่านหญิงเจดจะสูงส่งเพียงใดแต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ถูกเวทมนตร์คาถาควบคุมตัว ม่อหลี่น่ะอันตรายเกินไป อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะกลับไปที่สำนักลั่ว? “

ฮั๊วยู่จิงรู้สึกยกย่องเจียงอาเฉียนขึ้นมา แม้ว่าชายคนนี้จะดูไร้ยางอายแต่เขากลับดูฉลาดปราดเปรื่อง “แล้วท่านเป็นใครกัน? “

“นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก…” เจียงอาเฉียนได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินไปมา

หมิงซี่หยินในตอนนี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาได้เดินไปที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะเตะไปที่เขา “หยุดนอกเรื่องได้แล้ว เจ้าน่ะก็เป็นแค่องค์ชายเท่านั้น รีบๆ พูดเข้าเรื่องได้แล้ว! “

“…”

เจียงอาเฉียนได้ตบไปที่บั้นท้ายของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าน่ะคือองค์ชาย เอาล่ะเชื่อข้าได้แล้วรึยัง? “

“ท่าน…ท่านคือองค์ชายแน่หรอ? ” ฮั๊วยู่จิงที่ได้ยินแบบนั้นเบิกตากว้าง

“…ข้าเป็นเพียงผู้ไร้ชื่อเสียงก็เท่านั้น” เจียงอาเฉียนได้เดินไปที่ข้างๆ ฮั๊วยู่จิงก่อนที่จะกระซิบอะไรบางอย่าง

บางมีฮั๊วยู่จิงยังเด็กจนเกินไป หลังจากที่ฟังแบบนั้นนางก็ได้แต่พยักหน้าก่อนที่จะเดินไปหาลู่โจว ฮั๊วยู่จิงได้พูดออกมาด้วยความเคารพ “ข้า ฮั๊วยู่จิงอยากที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้า ได้โปรดยอมรับข้าด้วยเถอะท่านผู้อาวุโส”

ลู่โจวได้มองไปที่ฮั๊วยู่จิง ตัวเขาได้ลุกขึ้นก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะยังไม่คุณสมบัติพอหรอกนะ”

ฮั๊วยู่จิงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก นางได้พลิกฝ่ามือข้างขวาก่อนที่จะยกมือข้างซ้ายขึ้น ในตอนนั้นเองคันธนูรวมไปถึงลูกธนูพลังลมปราณก็ได้ปรากฏขึ้นบนมือของนาง ลูกศรพลังงานได้ปรากฏอยู่ที่ระหว่างนิ้วกลางที่นางมี

ฮั๊วยู่จิงได้หันไปยิงธนูใส่นกที่เกาะอยู่บนต้นไม้สูงนอกเจดีย์ลอยฟ้า

พรึ๊บ!

ลูกธนูได้พุ่งผ่านอากาศก่อนที่จะเจาะทะลุเป้าหมายไป นกตัวนั้นได้ตกลงจากต้นไม้ไปในทันที

หมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อต่างก็ตกตะลึงกับการแสดงฝีมือนี้

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เหล่าสาวกทั้งหมดจะเห็นใครสักคนสร้างอาวุธขึ้นมาจากพลังลมปราณที่มี

แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวที่ได้เหลือบมองไปที่ฮั๊วยู่จิงก่อนที่จะพูดออกมา “อ่อนแอเกินไป”

ฮั๊วยู่จิงไม่อยากที่จะยอมแพ้ นางได้โค้งคำนับลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ได้โปรดให้ข้ายืมอาวุธด้วยท่านผู้อาวุโส”

โดยปกติแล้วการใช้พลังลมปราณควบแน่นจนกลายเป็นอาวุธในการโจมตีมักจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับใช้อาวุธจริงๆ

ลู่โจวได้ยกมือขึ้นมา ในตอนนั้นเองธนูฟากฟ้าก็ได้ปรากฏขึ้นบนโต๊ะ

ฮั๊วยู่จิงหยิบธนูคันโปรดก่อนที่จะเดินไปยังขอบของเจดีย์ลอยฟ้าอีกครั้ง นางกำลังหาเป้าหมายต่อไป…

เมื่อนางได้ง้างธนูขึ้นมา สีหน้าของฮั๊วยู่จิงก็ได้เปลี่ยนไปจนมีแต่ความสงบ นางรู้สึกได้ถึงความมั่นใจที่กำลังกลับมา คราวนี้ฮั๊วยู่จิงได้ใช้มือขวาง้างสายธนู หลังจากนั้นนางก็ได้ปล่อยพลังลมปราณออกไปให้กลายเป็นลูกธนู ลูกธนูพลังลมปราณที่ถูกสร้างขึ้นมีความคมกว่า, เรียวบางกว่า และยังดูแข็งแกร่งมากกว่าลูกธนูพลังลมปราณที่ถูกสร้างขึ้นจากครั้งที่แล้ว ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเทพแห่งมือธนู นอกเหนือจากฝีมือการใช้ธนูเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทุกอย่างที่นางมี สายตาที่ดีเองก็จำเป็นที่จะต้องใช้ในการยิงธนูเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในวิสัยทัศน์ของนางล้วนแต่เป็นเป้าหมาย ฮั๊วยู่จิงได้ปล่อยสายธนูออกไป

พรึ๊บ!

ลูกธนูพลังลมปราณลูกแรกถูกยิงเข้าไปในป่า

ลูกธนูลูกนี้เองทำให้นกที่อยู่ในป่ากว่าหลายสิบตัวตื่นตกใจ

ฮั๊วยู่จิงรีบดึงสายธนูขึ้นมาใหม่ คราวนี้นางได้ยิงลูกธนูพลังลมปราณกว่าหลายสิบลูกออกไป ลูกธนูทั้งหมดพุ่งใส่นกที่กำลังตื่นตกใจ

“ยิงได้ดี! ” เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้กล่าวชมเชยก่อนที่จะปรบมือขึ้น

แปะ! แปะ! แปะ!

มีเพียงแค่เสียงปรบมือเท่านั้นที่กำลังดังอยู่ ในตอนนี้ที่เจดีย์ลอยฟ้าต่างก็เงียบกริบ เสียงปรบมือแบบโทนเดียวของเจียงอาเฉียนทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกอึดอัดด้วยกันทั้งหมด

หมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อต่างก็จ้องมองไปที่เจียงอาเฉียนอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาได้จ้องมองไปที่ชายคนนี้ราวกับได้เห็นคนบ้า

“เอาล่ะ ท่านผู้อาวุโส ท่านจะต้องยอมรับแล้วล่ะว่านั่นเป็นการยิงธนูที่ดี” เจียงอาเฉียนได้พูดออกมา

ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น “ทักษะการยิงธนูที่แท้จริงจะตื่นขึ้นหลังจากการต่อสู้จริง…เจ้าน่ะมีพรสวรรค์ แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ยังไม่เฉียบแหลมพอ เจ้าน่ะยังอยู่อีกไกลกว่าที่จะเข้าร่วมกับพวกเราศาลาปีศาจลอยฟ้าได้…”

เมื่อพูดจบ ลู่โจวก็ได้โบกมือของตัวเองก่อนที่จะเรียกธนูฟากฟ้ากลับไป “เจียงอาเฉียน ข้าจะเห็นกับเรื่องที่เจ้าช่วยข้าหาเศษเสี้ยวฟากฟ้าในวันนี้ แต่เจ้าเองก็อย่าลืมคำมั่นสัญญาระหว่างเราซะล่ะ”

“ท่านผู้อาวุโส ขอให้เดินทางปลอดภัย”

ในตอนนั้นเองสัตว์ขี่ในตำนานของลู่โจวก็ได้ปรากฏตัวขึ้น วิซซาร์ด สัตว์ขี่ในตำนานได้บินมาจากท้องฟ้า

ลู่โจวได้กระโดดขึ้นไปบนหลังของมันอย่างคล่องแคล่ว หยวนเอ๋อเองก็ตามไปติดๆ เช่นกัน

หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อดูจากสถานการณ์ทั้งหมดดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องบินกลับกันไปเองอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาเองก็เหนื่อยเป็นเช่นกัน

วิซซาร์ดได้บินผ่านหมู่เมฆไปก่อนที่จะกลับไปยังทิศทางที่มาจากเมืองอันยาง

หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงก็ออกบินเช่นกัน

ฮั๊วยู่จิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง นางเองไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อไป

เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “ตามพวกเขาไปซะ เจ้าน่ะไม่มีที่ให้ไปแล้ว…จำสิ่งที่ข้าพูดเอาไว้ให้ดี พระราชสำนักและสำนักลั่วไม่มีที่สำหรับเจ้าอีกต่อไป สำนักฝ่ายธรรมะทั้งหมดก้คงจะเป็นเช่นกัน…เจ้าน่ะไม่เหลือทางเลือกอะไรอีกต่อไปนอกซะจากร่วมมือกับศาลาปีศาจลอยฟ้า”

“ค่ะ” ฮั๊วยูจิงตอบรับก่อนที่จะบินตามพวกเขาทั้งหมดไป ฮั๊วยู่ขิงเดิมทีเป็นเพียงแค่มือธนู เพราะแบบนั้นนางจึงไม่ได้มีความเร็วในการบินที่มากมายอะไร บางทีสิ่งนี้เองอาจจะเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเอง

หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้หันไปมองที่ด้านหลัง ในตอนนั้นเองพวกเขาก็มองเห็นฮั๊วยู่จิง

หมิงซี่หยินได้หยุดบินก่อนที่จะหันมาพูด “ท่านอาจารย์บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่มากพอที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าได้…”

“ข้าต้องการพิสูจน์ว่าตัวข้ามี” ฮั๊วยู่จิงได้พูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว

“เจ้าไม่กังวลว่าจะถูกฆ่าเอาอย่างงั้นหรอ? “

ฮั๊วยู่จิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ตกใจ นางไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้ทั้งสองคนมากเกินไป นั่นคือเหตุผลที่ทำให้นางตัดสินใจบินตามอยู่อย่างห่างๆ

ในตอนนั้นเองวิซซาร์ดก็ได้ออกบินไปด้วยความเร็วสูงสุด มันได้ทิ้งทั้งสามคนเอาไว้ที่ด้านหลังอย่างไม่เห็นฝุ่น

ลู่โจวได้นั่งอยู่ที่หลังของวิซวาร์ด ตัวเขากำลังเหลือบมองดูสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว

“ท่านอาจารย์ นั่นอะไรกันน่ะ? ” หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังรถม้าลอยฟ้าที่กำลังลอยอยู่เหนือชายป่าอีกด้าน

ลู่โจวได้สั่งให้วิซซาร์ดชะลอความเร็วลง

หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็รีบพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น “นั่นมันรถม้าลอยฟ้าของคนที่ให้ของขวัญกับศิษย์ก่อนหน้านี้นิ! “

นั่นมันไม่ใช่รถม้าลอยฟ้าของศิษย์คนที่เจ็ดสีวู่หยาอย่างงั้นหรอ?

“ศิษย์พี่เจ็ดจะอยู่ที่นั่นไหมคะ? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกมาอย่างสงสัย

ลู่โจวจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในหลายวันที่ผ่านมา ตัวเขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “เจ้าศิษย์ทรยศ”

วิซซาร์ดได้เปลี่ยนเส้นทางการบิน มันได้บินตรงไปที่ชายป่าแห่งนั้น

เมื่อหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงเห็นแบบนั้น พวกเขาเองก็หยุดมองเช่นกัน

ฮั๊วยู่จิงเองก็ทำเช่นเดียวกัน

พลังของวิซซาร์ดดูเด่นชัดจนเกินไป เมื่อมันเข้าใกล้รถม้าลอยฟ้า ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่อยู่แถวนั้นต่างก็สังเกตเห็น

“หนีเร็ว! “

รถม้าลอยฟ้ารีบหันเปลี่ยนทิศทาง

แต่น่าเสียดาย…

ลู่โจวได้พูดขึ้น “จะหนีอย่างงั้นหรอ? ” ตัวเขาได้ชูมือขึ้นมา ในตอนนั้นเองการ์ดคลื่นพลังสายฟ้าก็ได้ถูกใช้ เป้าหมายของตัวเขาก็คือรถม้าลอยฟ้าคันนั้นนั่นเอง

เมื่อการ์ดวิเศษถูกใช้งาน ในตอนนั้นก็ได้มีสายฟ้าฟาดลงมาจากท้องฟ้า

เปรี๊ยง!

รถม้าลอยฟ้าที่ถูกพลังสายฟ้าหยุดตัวลง เสียงแตกหักได้ดังมาจากรถม้า

แคร๊ก!

รถม้าลอยฟ้าคันนั้นได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่จะตกลงสู่พื้นไป

ฮั๊วยู่จิงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างดี นางได้แต่ตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น นางรู้ดีอยู่แล้วว่าลู่โจวสามารถจับสุดยอดหัวขโมยอย่างเยี่ยนซานได้ด้วยเคล็ดวิชาลับ แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่ได้เห็นว่าแท้จริงแล้วเยี่ยนซานถูกจับตัวกลับมาได้ยังไง แต่ในตอนนี้นางก็ได้แต่เฝ้ามองดูคลื่นพลังสายฟ้า มันเป็นพลังสายฟ้าฟาดที่ตกลงมาจากท้องฟ้า มันเป็นพลังจากธรรมชาติที่แม้แต่เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายก็ไม่อาจที่จะควบคุมได้ ยิ่งไปกว่านั้นลู่โจวยังสามารถใช้เคล็ดวิชานี้ได้จากในระยะไกล เมื่อเทียบกับการยิงธนูหลายลูกที่ฮั๊วยู่จิงมี พลังการยิงธนูของนางดูเหมือนจะเทียบไม่ติดเลย

หมิงซี่หยินได้อุทานออกมาด้วยความสะใจ “ไม่มีใครหยุดท่านอาจารย์ได้แน่ถ้าหากท่านตัดสินใจเคลื่อนไหว ศิษย์น้องเจ็ด ดูเหมือนว่าเจ้าน่ะสูญเสียของที่ล้ำค่าไปในวันนี้ซะแล้วแหละ”

ต้วนมู่เฉิงกอดอกก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากศิษย์น้องเจ็ดอยู่ที่รถม้าลอยฟ้าจริง ข้าไม่คิดว่าเจ้านั่นจะหนีรอดไปได้”

ด้วยพลังที่วิซซาร์ดมี แม้ว่าสีวู่หยาจะมีปีกงอกแต่ถึงแบบนั้นเขาก็คงไม่รอดเงื้อมมือของผู้เป็นอาจารย์แน่ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้สีวู่หยาคงจะมีโอกาสรอดน้อยกว่าเยี่ยนซานที่เพิ่งจะโดนจับตัวไปด้วยซ้ำ

“ศิษย์น้องเจ็ดเสี่ยงตัวเองจนเกินไป…ข้าคิดว่าศิษย์น้องกล้าพอที่จะยืนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากเจดีย์ลอยฟ้าแน่” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างสนุกปาก

วิซซาร์ดยังคงบินต่อไป ผู้ฝึกยุทธหลายคนตัดสินใจที่จะกระโดดลงมาจากรถม้าลอยฟ้า มีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับต่ำเท่านั้นที่พยายามกลางม่านพลังขึ้นมา ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังต่ำกว่าขั้นมหาราชครูจะไม่สามารถบินไปไหนมาไหนได้ในอากาศ เพราะแบบนั้นพวกเขาได้แต่ตกลงไปกับรถม้าลอยฟ้า

“เจ้าศิษย์ทรยศ โผล่หัวออกมาซะ! ” น้ำเสียงของลู่โจวดังก้องไปทั่วป่า การเดินทางของเขาในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ได้แต้มบุญอะไรมากนัก แต่ถ้าหากจับสีวู่หยาไปได้ การเดินทางในครั้งนี้จะต้องกลับมาคุ้มค่าแน่

ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็สั่นไปด้วยความกลัว พวกเขาได้หนีไปทั่วทุกทิศทางด้วยความตื่นตกใจ ผู้ที่เป็นเจ้าสำนักของพวกเขาได้ย้ำนักย้ำหนาว่าให้อยู่ห่างจากจีเทียนเด๋า สิ่งนี้ถือเป็นกฎของสำนักแห่งความมืด ในตอนนี้ทุกๆ คนต่างก็คิดเป็นสิ่งเดียวกัน มีเพียงความคิดที่จะต้องหนีให้เร็วที่สุดเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตรอดได้

ไม่มีใครตอบกลับลู่โจวแม้แต่คนเดียว

ลู่โจวได้เหลือบมองไปที่ผู้ฝึกยุทธที่กำลังหนี ไม่มีใครที่มีพลังวรยุทธมากกว่าขั้นศักดิ์สิทธิ์เลย

สีวู่หยาศิษย์คนที่เจ็ด เป็นผู้ที่ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ ตัวเขาได้รับสืบทอดสุดยอดเคล็ดวิชาอย่างกาพย์การุญรวมไปถึงได้รับพัดขนนกยูงมา ถ้าหากสีวู่หยาไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งมากพอตัวเขาก็คงจะควบคุมเหล่าสาวกสำนักแห่งความมืดทั้งหมดไม่ได้แน่

“หยวนเอ๋อ”

“ค่ะ ท่านอาจารย์”

หยวนเอ๋อในตอนนี้รู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลัง นางได้กระโดดลงจากหลังของวิซซาร์ดไปก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่ฝูงผู้ฝึกยุทธที่ไม่ต่างอะไรกับฝูงแกะ สายสะพายนิพพานได้เริงระบำอยู่ที่กลางอากาศในขณะที่หยวนเอ๋อเคลื่อนไหว

ผู้ฝึกยุทธที่วิ่งหนีได้ไม่เร็วมากพอต่างก็ถูกสายสะพายพันธนาการเอาไว้

มีผู้ฝึกยุทธหลายคนพยายามที่จะลุกขึ้นสู่ แต่หยวนเอ๋อก็สามารถจัดการกับพวกเขาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว พลังของอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มความสามารถ

หยวนเอ๋อเป็นผู้ที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้ที่อ่อนแอกว่า ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้นางยังได้รับอนุญาตมาจากผู้เป็นอาจารย์ แม้ว่าจะมีโอกาสจัดการกับคู่ต่อสู้แต่หยวนเอ๋อก็ไม่ได้ลงมือฆ่าใครไป

ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้าด้วยความยินดี ‘ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเติบโตไปในทางที่ดีแล้วสินะ หยวนเอ๋อ’

หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต คงจะไม่มีเหตการณ์แบบนี้แน่

ไม่นานหลังจากนั้นหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงก็ตามลู่โจวทัน

เมื่อหมิงซี่หยินเห็นสถานการณ์ ตัวเขาก็รีบกลืนน้ำลายก่อนที่จะถามออกมา “ศิษย์พี่สาม ท่านคิดว่าศิษย์น้องเล็กจะทรมานพวกเราในอนาคตไหม? “

ต้วนมู่เฉิงจำภาพที่หยวนเอ๋อเพิ่งจะได้สายสะพายนิพพานใหม่ๆ ได้ดี “ข้าไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ…ศิษย์น้องเล็กน่ะเติบโตขึ้นแล้ว”

“ข้าเองก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงร้องอันโหยหวนดังขึ้นมาจากทั่วทุกทิศทาง

ผู้ฝึกยุทธหลายคนได้ถูกหยวนเอ๋อจับเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย นางได้โยนทุกคนที่จับได้ไปกองรวมกันไว้โดยใช้สายสะพายนิพพานผูกทุกคนเข้าด้วยกัน

ลู่โจวได้ลอยลงมาช้าๆ วิซซาร์ดที่ลงมาถึงพื้นได้คำถามก่อนที่จะยืนรอลุ่โจวอยู่บนพื้น

“ท่านอาจารย์ ให้ศิษย์ทรมานพวกเขาดีไหม? ศิษย์รับรองว่าจะต้องรู้ที่อยู่ของศิษย์พี่เจ็ดแน่! ” หยวนเอ๋อได้พูดออกมา

ลู่โจวได้โบกมือก่อนที่จะส่งสัญญาณให้หยวนเอ๋อกลับมา

หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถอยไปที่ด้านข้าง

ลู่โจวได้พูดขึ้นในขณะที่เอามือไขว้หลังอยู่ “ข้าจะถามคำถามพวกเจ้าเพียงแค่คำถามเดียวเท่านั้น ถ้าหากตอบไม่ตรงคำถามแล้วละก็…พวกเจ้าจะต้องชดใช้สถานหนัก”

กลุ่มผู้ฝึกยุทธทั้งหมดสั่นไปทั้งตัว พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับมหาวายร้ายที่ชั่วรายที่สุดในใต้หล้า แถมคนคนนี้ยังเป็นอาจารย์ของเจ้าสำนักของพวกเขาอีกด้วย เจ้าสำนักของพวกเขาเคยพูดเอาไว้ เขาได้พูดว่าให้ร่วมมือกับปรมาจารย์คนนี้ไปโดยห้ามต่อต้าน

“สีวู่หยาอยู่ที่ไหนกัน? “

“ทะ…ท่านผู้อาวุโส…พวกเรา…มาที่นี่ก็เพราะมาตามคำสั่งเท่านั้น ท่านเจ้าสำนักมักจะทำตัวลึกลับมาโดยตลอด…พะ…พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าท่านเจ้าสำนักอยู่ที่ไหนกันแน่ พวกเราล้วนแต่พูดความจริง”

“แล้วทำไมพวกเจ้าถึงต้องซ่อนตัวด้วย? “

“ท่านเจ้าสำนักให้สั่งให้พวกเราคอยสังเกตการณ์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่มอบของขวัญให้กับท่านหยวนเอ๋อไป”

ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เท่ากับว่าสีวู่หยาได้วางแผนทุกอย่างมาหมดแล้ว แล้วเป้าหมายที่แท้จริงของเขาคืออะไรกัน?

หมิงซี่หยินได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องเจ็ดได้จากพวกเราไปนานแล้ว ทำไมเจ้านั่นยังกล้าที่จะใช้ศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นเหมือนกับเบี้ยล่างแบบนี้กัน ศิษย์ขออาสาที่จะไล่ล่าเจ้านั่นเอง ศิษย์สาบานว่าจะจับศิษย์น้องไม่รักดีคนนี้กลับมาให้ได้! “

“ข้ากลัวว่าเจ้าอาจจะไม่เหมาะที่จะทำแบบนั้น” ลู่โจวได้พูดออกมาในขณะที่เอามือไขว้หลังเช่นเดิม

ไม่เพียงแต่เรื่องของปัญหาของพลังวรยุทธ ในแง่ของการวางแผนเองหมิงซี่หยินก็มีความฉลาดหลักแหลมเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ไม่มีความฉลาดหลักแหลมที่เทียบเท่ากับสีวู่หยาได้