บทที่ 234 ผู้เลี้ยงแกะแห่งมวลดารา

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 234 : ผู้เลี้ยงแกะแห่งมวลดารา

ความเงียบปกคลุมในป่า

เอลฟ์ทุกตนต่างมีสีหน้าตะลึงอึ้งเหมือน ๆ กันหมดจนน่าประหลาดใจ ดวงตาของพวกเขาเหม่อมองภาพที่ไม่น่าเชื่อราวกับเรื่องเพ้อฝันที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขา

นี่เราเป็นใคร?

เราอยู่ที่ไหน?

แล้วเรามาทำอะไรที่นี่?

มีเพียงคำถามเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งทั้งสามนี้ที่อ้อยอิ่งอยู่ในใจของพวกเขา เมื่อทุกสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลดูจะพังทลายลงในพริบตา

สัตว์ประหลาดยักษ์ระดับภัยพิบัติกลายมาเป็นเจ้าเหมียวน้อยไร้ทางสู้ และกำลังเดินไปเดินมาอย่างเชื่อง ๆ

ไฟป่าที่โหมกระหน่ำกลืนกินทั้งป่าและทุกสิ่งที่ขวางหน้าก็หายวับไปในทันที

เรื่องที่บ้าที่สุดคือการเปลี่ยนต้นไม้และพื้นดินที่ไหม้เกรียมกลับไปเป็นสิ่งแวดล้อมเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์นี่แหละ มันราวกับว่ามีใครสักคนเอาภาพวาดดินแดนแห้งแล้งที่แขวนบังทิวทัศน์ดั้งเดิมอยู่ออก เหมือนเมื่อครู่ทั้งหมดเป็นเพียงภาพหลอน แล้วปัจจุบันเป็นความจริง

พวกเขาในตอนนี้เคลือบแคลงในชีวิตเอลฟ์ของพวกเขาแล้ว เพราะการรับรู้ทุกสิ่งของพวกเขาดูจะโดนโยนออกนอกหน้าต่างไปแล้ว

ทว่าเรื่องเหล่านี้คงไม่มีทางเป็นภาพลวงตาไปได้ เพราะบาดแผลที่พวกเขาได้รับ รวมไปถึงสัญลักษณ์ความเป็นผู้นำบนชุดของพวกเขายังอยู่ที่เดิมอยู่เลย

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งสั้น ๆ เสียงโหวกเหวกโกลาหลก็ตามมา

“ก…เกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านหญิงซิลเวอร์มาเหรอ?”

“นี่มันปาฏิหาริย์!”

“ฮ่า ๆๆๆๆ ตระกูลไอริสจงรุ่งเรืองตราบนิรันดร์!”

“ฮ่า ๆๆๆ…!”

“ต…ตะกี้นี้ พวกเจ้า… พวกเจ้าได้ยินอะไรไหม?”

“ได้ยินอะไร?”

“ใช่! ใช่! ข้าก็คิดอยู่ว่าทางฝั่งธิดาเทพมีเสียงอะไรที่อธิบายไม่ถูกออกมา มัน…อู้อี้ฟังไม่ชัด เหมือนมีใครพูด หรือเป็นเสียงพูดหลาย ๆ เสียงซ้อนกันน่ะ พอข้าพยายามจับใจความ หัวข้าก็ปวดเหมือนจะระเบิดทุกที แต่ข้าก็อดไม่ได้ที่จะพยายาม…”

“อำนาจระดับนี้เหลือเชื่อมาก หรือมันเป็นฝีมือของระดับเหนือนภา?”

“ไม่หรอก ข้าเกรงว่ามันจะยิ่งกว่านั้นอีก…”

บทสนทนาในลักษณะนี้ดังขึ้นในหมู่เอลฟ์ทั่วไปหมด

เหล่าผู้อาวุโสเอลฟ์ที่ตื่นตระหนกอยู่ที่แท่นพิธีต่างออกมาสำรวจพื้นที่รอบ ๆ อย่างตื่นตะลึง สงสัยว่าพวกเขาฝันไปหรือเปล่า

ด้วยสีหน้าคลุมเครือ โดริสสำรวจคนในตระกูลของเธอที่ง่วนกับการหารือกัน ในตอนนี้เธอตรวจไม่เจอการมีอยู่ของหลินเจี๋ยแล้ว

เขาคงทำในสิ่งที่เขามองว่าจำเป็นแล้วไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ เพิ่มเติม การทำตามใจที่แสดงออกมานี้เป็นนิสัยเดียวกับเหล่าตัวตนระดับสูงกว่าพวกนั้นไม่มีผิด

ทว่าก็เหมือนแต่ก่อน เธอยังคงสัมผัสถึงสายตาที่มองมาทางเธอได้

นี่ทำให้เธอรู้ว่าเจ้าของร้านหนังสือผู้ลึกลับยังไม่จากไป

วจนะแห่งพระเจ้า ตรัสให้มีแสงสว่าง

แล้วแสงสว่างก็อุบัติ

จู่ ๆ คำเหล่านี้ก็ปรากฏในใจของโดริส

โดริสจ้องป่าที่กลับมาสงบอย่างเคย ฟังเสียงบรรเลงประสานแห่งธรรมชาติ วิหคขับขาน มวลแมลงส่งเสียง ใบไม้ขยับไหว เธอยังคงสัมผัสได้ถึงความร้อนที่หลงเหลือในสายลมค่ำคืนในขณะที่พยายามสงบตัวเองลง

นี่คือปาฏิหาริย์แล้ว…

“เขาเป็นผู้ได้รับพรของท่านหญิงซิลเวอร์จริง ๆ เหรอ?”

ในครั้งแรกที่โดริสมาหาหลินเจี๋ยที่ร้านหนังสือ เธอก็สงสัยอย่างนี้เช่นกัน

ในตอนนั้น เธอเคลือบแคลงในความเป็นนักธุรกิจของเขา และกังวลว่าเขาจะหลอกขายของปลอมหรือของคุณภาพต่ำให้กับเธอ

แต่ตอนนี้ เธอรู้สึกว่าหลินเจี๋ยอาจจะเป็นใครที่มีฐานะเทียบเท่าท่านหญิงซิลเวอร์ที่หลบซ่อนจากประวัติศาสตร์อยู่ก็ได้

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โดริสก็มองไปในทิศที่สายตามองมาด้วยความตั้งใจจะแสดงความขอบคุณด้วยวาจา

ทว่าผู้อาวุโสตนหนึ่งก็เดินเข้ามาขัดจังหวะเธอ

ความรู้สึกเหมือนถูกมองหายไปทันที ครั้งนี้มันหายไปจริง ๆ

“ธิดาเทพเอ๋ย ที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เอลฟ์ตนอื่น ๆ ต่างเงียบเสียงลงเมื่อคำถามนี้ถูกถามออกมา

พวกเขาเองก็อยากรู้ใจจะขาดแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

โดริสสูดหายใจลึก ๆ เรียบเรียงความคิดและปรับท่าทีของเธอ แล้วเธอก็ประกาศออกมาด้วยท่าทางของธิดาเทพ “ท่านหญิงซิลเวอร์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ควบคุมหิมะและน้ำแข็ง ได้จุติจากแดนนิมิตของนาง และได้ประสาทพรแก่ผู้ถูกเลือกแห่งดวงดาว”

เธอสะกดกลั้นความคิดอื่น ๆ ของเธอที่แล่นอยู่ในใจ

ไม่ว่าผู้ได้รับพรจะเป็นตัวตนในระดับใด แต่ในเมื่อเขาเต็มใจจะมาช่วยพวกเธอ มันหมายความว่าเขาเต็มใจจะมาช่วยตระกูลไอริส

นี่คือทางเดียวที่ตระกูลเธอจะรอดได้!

พวกเธอต้องคว้ามันไว้ให้แน่น!

“ก่อนหน้านี้ เขาได้มอบสัญลักษณ์ความเป็นผู้นำให้กับเราเพื่อต่อต้านแดนนิมิต เหมือนที่เหล่าแม่มดบรรพกาลสร้างกำแพงสูงเพื่อแยกแดนนิมิตออกไป สัญลักษณ์ความเป็นผู้นำนี้ก็ปกป้องเราจากสัตว์มายามิให้ทำร้ายเราด้วย”

เหล่าเอลฟ์ตั้งใจฟัง และคำพูดของธิดาเทพของพวกเขาดูราวกับว่าพวกเขาสามารถสัมผัสกับเจตจำนงของแม่มดบรรพกาลได้

ใช่แล้ว ทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกราวกับประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ในอดีต เหล่าแม่มดบรรพกาลแยกแดนนิมิตไว้หลังกำแพงสูง แล้ววันนี้ สัญลักษณ์ความเป็นผู้นำก็ไล่พวกสัตว์มายาออกไป

“และตอนนี้ เขาก็ยืนอยู่ข้าง ๆ พวกเราที่นี่…”

เสียงโหวกเหวกเริ่มดังในหมู่เอลฟ์เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น

ผู้อาวุโสผู้หนึ่งถามด้วยเสียงสั่น ๆ “ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือพลังของผู้ได้รับพรผู้ยิ่งใหญ่เหรอ?”

โดริสนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อสังเกตเห็นว่าดอกไอริสที่ยอดคทาของเธอเริ่มเรืองแสงออกมาจาง ๆ แล้วดอกไอริสดอกที่สองก็เบ่งบาน ตามด้วยดอกที่สาม…

เหล่าดอกไม้สั่นไหวเป็นจังหวะสอดคล้องกับสายลม ราวกับท่านหญิงซิลเวอร์กำลังแสดงความเห็นด้วยและยอมรับในคำพูดของเธอ

เหล่าเอลฟ์มองภาพนี้อย่างตื่นเต้น

โดริสหลับตาลง ด้วย ‘ลางบอกเหตุ’ ที่ปรากฏขึ้นนี้ เธอจึงประกาศออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “เขาคือผู้ดับเพลิงทำลายล้างแล้วคืนแสงแห่งชีวิตกลับมาเพื่อปกป้องเหล่าผู้ศรัทธาและถือกุญแจสู่ทุกความรู้ เขาคือผู้ถือครองอำนาจแห่งมิติและเวลาในมือ และมีความสามารถข้ามผ่านขอบเขตระหว่างชีวิตและความตายได้”

“นามแห่งเขามิเป็นที่รู้ และเขาก็มิใช่ผู้ได้รับพรที่ดวงดาราเลือกสรร ทว่าเขาคือผู้เลี้ยงแกะที่บ่มเพาะดวงดารามาแล้วมิรู้กี่รุ่นกี่สมัย”

ในขณะที่เธอกำลังร่ายมนตร์ เงาบนพื้นก็เริ่มเต้นระริกราวกับบางอย่างกำลังถูกปลุกให้ตื่น

เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของเอลฟ์ดังขึ้น

“พริสซิลล่า…จ…เจ้าตายแล้วนี่?!”

เหล่าเอลฟ์ที่เพิ่งโผล่มาจากในป่าดูงุนงงพอ ๆ กัน “ข้าก็ไม่รู้… ข้าจำได้ว่าตายในสงคราม แต่ข้าไม่รู้ว่าจากนั้นเกิดอะไรขึ้น แล้วจู่ ๆ ข้าก็ฟื้นสติขึ้นมากะทันหันเลย…”

“นั่นมันยอดไปเลย! นี่ต้องเป็นฝีมือผู้ได้รับพรผู้ยิ่งใหญ่แน่ ๆ เขาตอบรับคำภาวนาของธิดาเทพแล้วคืนชีพให้พวกเจ้า!”

ดวงตาของโดริสเบิกกว้างจากความช็อกและไม่เชื่อสายตา

ผู้เลี้ยงแกะ…แห่งมวลดารา

เธอคงเป็นคนเดียวที่รู้ว่าบทสนทนานี้ยกฐานะของเจ้าของร้านหนังสือได้มากเพียงไร

ธิดาเทพแห่งเอลฟ์จ้องมองคนในตระกูลของเธอที่กลับมา เธอไม่สามารถหยั่งถึงหลักเหตุผลเบื้องหลังมันได้อีกต่อไปแล้ว…เธอปราดเปรื่องพอจะรู้ว่าถ้าเธอขุดคุ้ยไปมากกว่านี้ เธออาจได้พบในสิ่งที่เธอไม่ควรพบก็ได้

ยิ่งเธอรู้มากแค่ไหน ก็จะยิ่งอันตราย

ดังนั้นเธอจึงเผยรอยยิ้มปลาบปลื้มแล้วเข้าร่วมกับเหล่าผู้คนที่ปลื้มปีติของเธอเพื่อเสริมขวัญกำลังใจ

“ข้าจะไปเยือนร้านหนังสืออีกครั้งในเร็ววัน ข้าแน่ใจว่าครั้งนี้ข้าคงได้รับการยอมรับจากท่านหญิงซิลเวอร์ได้แล้ว”

“ส่วนตอนนี้ เราคงต้องจัดการเรื่องของเราเองให้ลงตัวก่อน…”

โดริสออกคำสั่งให้ทุกคนทำงานของตนเองอย่างรู้งาน ทว่าเมื่อเธอกลับมายังแท่นบูชาเพื่อตรวจสอบฐานที่มั่นของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ เธอกลับชะงักไป

เงาต่าง ๆ บนพื้นหยุดเต้นระริกและหยุดลง แสดงตนเองเป็นสิ่งที่เหมือนกับลายมือที่เขียนด้วยหมึก

“ด้วยความยินดี”

รุ่งเช้า

หลินเจี๋ยลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วบิดขี้เกียจไปหนึ่งคำรบ ก่อนที่จะชื่นชมแสงอาทิตย์อันอบอุ่นสว่างไสวนอกหน้าต่าง

อารมณ์ของเขาวันนี้ดูค่อนข้างดีกว่าปกติ

ชายหนุ่มลูบคางด้วยรอยยิ้มแล้วพึมพำ “เมื่อฝันร้ายกลายเป็นฝันดี โดริสต้องมีความสุขมากแน่ ๆ”