บทที่ 215 สามีภรรยาสวี

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 215 สามีภรรยาสวี

บทที่ 215 สามีภรรยาสวี

“โอ้ เช่นนั้นก็ดี!” ท่านป้าจางถึงค่อยวางใจลง “อย่างนั้นพรุ่งนี้ให้ฉือโถว พากู้หนิงผิงกับกู้เสี่ยวอี้มาอยู่ที่บ้านข้าก็ได้ เจ้าไปแล้วจะได้หายห่วง” เข้าไปในเมืองไป ๆ กลับ ๆ ก็เสียเวลาไปแล้วหนึ่งวันเต็ม แต่ถ้าฝากกู้หนิงผิงกับกู้เสี่ยวอี้ไว้ที่นี่ นางก็สามารถดูแลได้เป็นอย่างดีเช่นกัน กู้เสี่ยวหวานเองก็จะได้วางใจลงหน่อย หลังจากเกิดเรื่องเมื่อครั้งก่อน ท่านป้าจางเองก็ได้เปิดหูเปิดขึ้นเยอะเช่นกัน

กู้เสี่ยวหวานกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะท่านป้าจาง พรุ่งนี้ข้าจะพาพวกเขาไปด้วยกันนี่แหละ”

“ในเมืองมันไกลมากนะ ไปกลับก็ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน เสี่ยวอี้จะทนได้หรือ” ท่านป้าจางรู้สึกกังวลเล็กน้อย

“เสี่ยวอี้อยากไป ท่านพี่พาเสี่ยวอี้ไปด้วยนะ!” กู้เสี่ยวอี้ได้ยินคำที่ท่านป้าจางพูด ก็กลัวว่าพี่สาวจะไม่พาตัวเองไปในเมืองด้วย นางรีบกอดขากู้เสี่ยวหวานและออดอ้อนทันที

ครั้นเห็นกู้เสี่ยวอี้ทำท่าทางน่ารักน่าชังเช่นนั้นก็ชวนให้คนยิ้มออกมา

กู้เสี่ยวหวานโอบน้องสาวแล้วพูดว่า “ข้าต้องพาเจ้าไปด้วยแน่นอน!”

เมื่อกู้เสี่ยวอี้ได้ยินว่าพี่สาวจะพาตัวเองไปด้วยแน่นอน ก็ดีใจแล้ววิ่งไปข้างหน้าฉือโถวที่กำลังตัดแผ่นไม้ไผ่

“อย่างนั้นก็ได้ พาไปอยู่ข้างกายก็วางใจได้เช่นกัน” ท่านป้าจางก็พอจะเดาความหมายของกู้เสี่ยวหวานออก

ระหว่างที่พูดคุยอยู่นั้น ท่านลุงจางก็สานตะกร้าเสร็จอีกหนึ่งชิ้น มือของท่านลุงจางไม่หยุดเคลื่อนไหวเลย ตามความเร็วนี้ก็น่าจะสานได้เสร็จทันเวลาแน่นอน

กู้เสี่ยวหวานคิดจะรอให้ท่านลุงจางสานเสร็จดีแล้วค่อยนำกล่องตะกร้าสานกลับไป แต่เพราะว่ายังไม่ได้ทานอะไรเลย ท่านป้าจางที่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว จึงบอกให้สามพี่น้องอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเสียที่นี่ เดิมทีท่านป้าจางยังว่าจะให้ฉือโถวไปส่งพวกเขากลับบ้าน ทว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ยอมรับ ท่านป้าจางก็ได้แต่เลยตามเลย

ให้ฉือโถวเดินไปส่งพวกกู้เสี่ยวหวานใกล้ ๆ ก่อนจะกลับไป

ก่อนจะกลับกู้เสี่ยวหวานยังเตือนท่านลุงจางก่อนไปว่า “ท่านลุงจาง ท่านไม่ต้องสานตะกร้าใบใหญ่นั่นแล้ว ท่านทำตามที่ท่านสานในวันนี้ ทำได้เท่าไรก็เท่านั้น ข้ารับรองว่าข้าสามารถขายมันหมดได้อย่างแน่นอน”

คำพูดไม่กี่คำของกู้เสี่ยวหวานนี้ ท่านป้าจางได้ยินก็ซาบซึ้งใจมาก เจ้าเด็กคนนี้รู้จักทดแทนบุญคุณ ตัวเองมีธุระไปในเมืองแท้ ๆ แต่ก็ยังไม่ลืมครอบครัวนาง

ในใจทั้งซาบซึ้ง ทั้งรู้สึกเกรงใจ เด็กคนนี้ไปในเมืองเพื่อไปเจรจาการค้า ทำไมนางถึงรู้สึกไม่วางใจเลย

“เสี่ยวหวาน หากเจ้าขายไม่ได้ก็ให้มันแล้วไปเถอะ อย่าให้คนอื่นรังแกเจ้าได้ เข้าใจหรือไม่” เรื่องขายหน่อไม้ครั้งก่อน ท่านป้าจางยังคงจำได้ขึ้นใจ นางไม่อยากให้เด็กหญิงคนนี้ได้รับความกดดันจนเกินไปนัก แม้คำพูดของกู้เสี่ยวหวานจะทำให้นางรู้สึกพึงพอใจในผลลัพธ์ ทว่าหากไม่เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ล่ะก็ พวกเขาก็ทำอันใดไม่ได้ เพียงแค่ทำเหมือนสานของเล่นไปก็เท่านั้น ขายไม่ออกก็ช่าง นางไม่อยากให้กู้เสี่ยวหวานกดดันจนเกินไป

“วางใจเถิด ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง พวกท่านเชื่อใจข้า หากข้าบอกว่าจะทำ มันจะต้องขายออกอย่างแน่นอน!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

ระหว่างทางกลับบ้าน กู้เสี่ยวหวานกับกู้หนิงผิงช่วยกันถือกล่องคนละใบสองใบ มองกล่องสานในมืออันละเอียดประณีตแล้ว กู้หนิงผิงก็พูดว่า “ท่านพี่ ท่านว่ากล่องไม้ไผ่นี้จะสามารถขายได้จริงหรือ”

“ได้แน่นอน ข้าเคยหลอกลวงเจ้าด้วยหรือ” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างมั่นคง

ของสิ่งนี้ทั้งละเอียดประณีตและดูดี หากวางไว้ในยุคสมัยปัจจุบันแล้วล่ะก็ จะต้องมีแต่คนแย่งซื้อเป็นแน่

กู้หนิงผิงเห็นพี่สาวตัวเองมั่นใจขนาดนี้ก็พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “ท่านพี่ หากขายได้จริง ครอบครัวของพี่ฉือโถวคงมีรายได้เพิ่มอีกทางหนึ่งแล้ว”

แน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีความตั้งใจของกู้เสี่ยวหวานก็คือเรื่องนี้

กู้เสี่ยวหวานย่อมไม่อาจพูดความคิดของตัวเองออกไปทั้งหมดได้ เพราะว่านางไม่กล้าคุยโวโอ้อวดเช่นกัน

ความคิดของกู้เสี่ยวหวานก็คือ นางจะร่วมมือทำการค้ากับร้านค้าในเมือง ท่านลุงจางมีหน้าที่จัดการผลิตกล่องไม้ไผ่ในระยะยาว ถ้าสามารถร่วมมือกันจนมีความสัมพันธ์ในระดับหนึ่งแล้ว ต่อมาพวกเขาก็จะทำการรับรองให้กับท่านลุงจาง ขอเพียงร้านค้าไม่ปฏิเสธ ครอบครัวของท่านลุงจางก็จะมีรายได้ที่มั่นคง

เรื่องเหล่านี้พวกท่านป้าจางท่านลุงจางย่อมไม่รู้ความคิดของกู้เสี่ยวหวาน หากรู้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะตะลึงจนทำหน้าแบบไหน

กู้เสี่ยวหวานคิดว่า หากคู่ค้าตกลงร่วมมือด้วยกันแล้ว นางค่อยบอกท่านลุงจาง ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะทำให้พวกเขากังวลเปล่า ๆ

ครั้นกลับไปถึงบ้านก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว พวกกู้เสี่ยวหวานนอนพักกลางวันครู่หนึ่ง กู้เสี่ยวหวานจึงคิดจะทำธัญพืชอบแห้งไปกินระหว่างเดินทางเข้าเมืองเสียหน่อย

พรุ่งนี้ต้องไป ๆ กลับ ๆ อย่างต่ำต้องนั่งบนรถม้าเจ็ดชั่วยาม ถึงตอนนั้นก็น่าจะหิวแล้ว กู้เสี่ยวหวานไม่อาจเอาเปรียบอาจารย์สวีได้เช่นกัน พวกเขานั่งรถม้าของคนอื่นย่อมต้องเตรียมขนมติดไม้ติดมือไปบ้าง ไม่อาจทำให้คนอื่นคิดว่าตัวเองคิดแต่จะเอาผลประโยชน์ไม่ได้

เมื่อพูดว่าจะทำก็คือต้องทำ แต่จะทำอะไรนี่สิ ต้องทั้งอิ่มท้องและอร่อย กู้เสี่ยวหวานต้องสิ้นเปลืองสมองคิดไม่น้อย

อีกทั้งในตอนนี้ก็ไม่มีวัตถุดิบอะไรให้ตัวเองสามารถเลือกได้มากขนาดนั้นด้วย

กู้เสี่ยวหวานใช้ความคิดเล็กน้อย ในที่สุดก็ทำของทานเล่นออกมาจำนวนหนึ่ง และทุกอย่างยังเป็นจำนวนที่ไว้ให้คนหกถึงเจ็ดคนทานอีกด้วย

ขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังยุ่งวุ่นวาย ในหอหนังสืออวี้ก็ไม่ได้พักอยู่เฉย ๆ

ฮูหยินสวีสั่งคนรับใช้ “เจ้าออกไปซื้อขนมกลับมา จำเอาไว้ว่าต้องซื้อมากหน่อย”

เมื่อคนรับใช้ออกไปซื้อของ สวีเซียนหลินที่กำลังดื่มชาเอ่ยปากถามว่า “เจ้าซื้อขนมมากมายขนาดนั้นไปทำอะไร”

“ก็ไม่ใช่เพื่อลูกชายสุดที่รักของท่านหรอกหรือ!” ฮูหยินสวีขำขันพลางพูดว่า “พรุ่งนี้ต้องเข้าเมืองแล้ว ข้ากลัวว่าถึงตอนนั้นเด็ก ๆ จะหิว ข้าเลยให้ไปซื้อขนมไปวางไว้บนรถม้าด้วย ยังต้องเตรียมน้ำร้อน ผ้าเช็ดหน้า เบาะรองพวกนั้นด้วย”

สวีเซียนหลินได้ฟังก็หัวเราะ วางแก้วชาในมือลง ขมวดคิ้วมุ่นถามว่า “โอ้ เฉิงเจ๋อของเราเริ่มจะรู้เรื่องรู้ราวกับเขาแล้วหรือ?”

“ก็ไม่ใช่หรือเจ้าคะ!” ฮูหยินสวีแม้ปากจะด่าว่า แต่ในใจยินดีอย่างยิ่ง “เด็กคนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เดาว่าคงเพราะครอบครัวกู้สี่คนนี้น่าสงสารเกินไป เฉิงเจ๋อจึงคิดอยากช่วยเหลือพวกเขา”

“ใช่แล้ว ครอบครัวกู้ช่างน่าสงสารเสียจริง แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาจะต้องเติบใหญ่ได้เป็นอย่างดีแน่นอน” พอสวีเซียนหลินพูดถึงครอบครัวกู้ เขาก็เอ่ยชม “เจ้าดูพี่สาวคนโต ฉลาดหลักแหลม ช่างพูดช่างเจรจามีความคิดความอ่าน แล้วก็เจ้ารอง สุขุม กล้าหาญ เรียนเก่งใช้ได้ เท่านี้เด็กน้อยตระกูลกู้จะต้องมีอนาคตอย่างแน่นอน”

ฮูหยินสวีเองก็ตอบรับหนึ่งคำ พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ใกล้จะถึงเวลาของมื้อเย็นแล้ว ท่านพักก่อนเถอะ ไว้ข้าเตรียมกับข้าวเสร็จแล้วจะเรียก”

สวีเซียนหลินตอบอืม สายตาเบนไปที่กระดาษบนโต๊ะ

บนกระดาษเขียนอะไรบางอย่างไว้สองบรรทัด ทั้งแข็งแกร่งและทรงพลัง

มีทุ่งนาอุดมสมบูรณ์นับพันก็มีข้าวกินเพียงสามมื้อต่อวัน มีบ้านนับหมื่นก็สามารถนอนได้เพียงสามชุ่นเท่านั้น

…………………………………………………………………………………………………………..