บทที่ 214 งานฝีมือที่สมบูรณ์แบบ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 214 งานฝีมือที่สมบูรณ์แบบ

บทที่ 214 งานฝีมือที่สมบูรณ์แบบ

“เสี่ยวหวาน เจ้าพูดจริงหรือ” ท่านป้าจางรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาสานตะกร้าไม้ไผ่มาหลายสิบปี บางครั้งกว่าจะได้เงินสามร้อยเหรียญก็หลายเดือนเชียวนะ นี่แค่วันเดียวเองหรือ ท่านป้าจางรู้สึกราวกับกำลังฝันอยู่

“ท่านป้าจางเจ้าคะ ขอเพียงพวกท่านทำออกมาได้ดี ต้องทำเงินได้มากขนาดนี้อย่างแน่นอน!” กู้เสี่ยวพูดอย่างเด็ดขาด

“แต่ว่านี่…” แม้ท่านลุงจางจะรู้สึกใจเต้นไม่น้อย หากแต่ยังลังเลอยู่ “ร้านของพวกเขาจะรับหรือ? ไม่มีเหตุผลที่จะซื้อตะกร้าราคาห้าเหรียญเลย คนอื่นซื้อขนมแต่ให้ตะกร้า ข้ากลัวว่าเจ้าของร้านจะไม่ยอมรับน่ะสิ!”

ท่านป้าจางได้ฟังก็รู้สึกเห็นด้วยกับลุงจาง กู้เสี่ยวหวานเองก็ไม่ได้คิดถึงปัญหานี้ ถ้าเป็นร้านปกติย่อมไม่คิดจะทำมาค้าขายแบบเพิ่มต้นทุนแบบนี้หรอก

แต่ขายของทั้งทีก็ต้องทำให้ประณีต แข็งแรง และแปลกใหม่ ดังนั้นของที่ดีที่ต้องการขาย ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนสร้างผลิตภัณฑ์ ต้องไม่ให้เหมือนกับใคร เป็นของที่หาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาด จึงจะสามารถเพิ่มมูลค้าสินค้าได้และมีคนยอมจ่ายเพื่อซื้อมัน

ลุงจางและป้าจางยังคงไม่รู้ แต่กู้เสี่ยวหวานเข้าใจอย่างชัดแจ้ง

ในยุคสมัยนี้ เหล่าลูกค้าที่มาซื้อของดี ๆ ต่างก็ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามเช่นกัน หากบรรจุภัณฑ์ดีก็สามารถเอาไปเป็นของขวัญมอบให้กับคนอื่นได้ อีกทั้งผู้ให้ยังได้หน้าอีกด้วย

กล่องเล็ก ๆ แบบนั้น เปิดฝาแล้วทำออกมาให้ประณีต ถ้าสามารถทำให้มีสีสันหลากหลายเอามาผสมผสานกับตะกร้าไม้ไผ่ได้ก็น่าจะยิ่งดูสมบูรณ์แบบมากขึ้นได้ เช่นนั้นร้านเครื่องประทินโฉมจะยิ่งชอบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

มีสตรีที่ไหนไม่ชอบของสวย ๆ งาม ๆ บ้าง

แน่นอนว่าการเพิ่มสีสันเข้าไปนั้นจะเป็นเรื่องหลังจากนี้ ตอนนี้กล่องไม้ไผ่ยังไม่ได้สานออกมาเลย และนางไม่รู้ว่าลุงจางจะสานออกมาเป็นเช่นไร

กู้เสี่ยวหวานไปที่ชี้รูปภาพ “ท่านลุงจางเจ้าคะ แบบนี้ท่านสามารถสานออกมาได้หรือไม่”

“เด็กคนนี้ เจ้ายังไม่เชื่อท่านลุงจางของเจ้าอีกหรือ!” ลุงจางแกล้งทำเป็นโกรธพลางพูดว่า “เจ้ารอสักครู่ รอให้ข้าสานตะกร้าใบนี้เสร็จก่อน แล้วจะสานให้เจ้าดู” หลังจากเขาสานตะกร้าใบนั้นเสร็จก็วางไว้อีกด้านหนึ่ง หยิบไม้ไผ่ที่ตากจนแห้งดีแล้วใช้มีดเหลาออกเป็นสามส่วน “กล่องใบนี้เล็กนัก ไม่ต้องใช้ไม้ไผ่ใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ เจ้ารอข้าเหลาไม้ไผ่เหล่านี้ก่อนนะ”

ไม้ไผ่ที่ทั้งหนาและแข็งนั้น เมื่ออยู่ในมือของท่านลุงจางก็เหมือนกับเด็กน้อยผู้เชื่อฟังคนหนึ่ง มีดฟันลงไปแบ่งออกเป็นสามเส้น ขนาดความกว้างก็พอดีกัน อีกทั้งยังไม่มีเสี้ยนเลยสักนิดเดียว

กู้เสี่ยวหวานมองแล้วก็อดรู้สึกนับถือไม่ได้ นางพูดชื่นชมว่า “ท่านลุงจาง ฝีมือของท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

“นี่มันยอดเยี่ยมอันใดกัน” ท่านป้าจางคล้ายจะรู้สึกเศร้าใจนิด ๆ ไม่ได้ มองมือของท่านลุงจางที่พลิ้วไหวอย่างมีชีวิตชีวาก็รู้สึกเสียใจ “ท่านค่อย ๆ ทำออกมาทีละนิดก็ได้”

กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าป้าจางหมายความว่าอะไร สานไม้ไผ่เช่นนี้ต้องระมัดระวังมาก มีดต้องแหลมคมเพื่อทำให้ได้ไม้ไผ่ออกมามีขนาดเล็กแหลม เพียงเหม่อลอยเล็กน้อยก็อาจทำให้บาดเจ็บได้ กู้เสี่ยวหวานคิดถึงเรื่องนี้ก็อดที่จะมองมือของท่านลุงจางไม่ได้ นิ้วมือนั้นมีร่องรอยโดนมีดบาดอยู่ประปราย รอยแผลเป็นหนา ๆ ก็มีอยู่ทั่วทั้งฝ่ามือ

ท่านลุงจางระวังสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ในมือ สายตาไม่ละไปจากของบนมือเลย ไม่ดูกระทั่งสายตาของกู้เสี่ยวหวานที่มองตนอยู่ รอจนกระทั่งเขาผ่าไม้ไผ่เสร็จแล้ว จากนั้นค่อยวัดขนาดรูปวาดของกู้เสี่ยวหวาน นิ้วมือก็ขยับอย่างรวดเร็ว ไม่นานกล่องไม้ไผ่ก็ถูกสานจนเสร็จสิ้น ทั้งหมดมีขนาดอย่างที่กู้เสี่ยวหวานต้องการและมีรายละเอียดที่ประณีตอย่างมาก

กู้เสี่ยวหวานมอง นางชอบมากอย่างไม่อาจวางมันลงได้

นางหยิบกล่องไม้ไผ่มองขึ้นมองลง มองซ้ายมองขวา แล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ นี่มันเหมือนกับรูปแบบที่ตัวเองคิดเอาไว้เลย!

งานฝีมือของท่านลุงจางช่างไม่อาจอธิบายได้ ถ้าในยุคของนาง เขาถือว่าเป็นช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งแล้ว

ท่านลุงจางมองท่าทางดีใจของกู้เสี่ยวหวานก็ดีใจเช่นกัน “เป็นอย่างไร ข้าไม่ได้หลอกเจ้าใช่ไหมล่ะ สานเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ไม่เลวเลยเจ้าค่ะ ท่านลุงจาง ท่านสานได้สวยมากเหลือเกิน” กู้เสี่ยวหวานกล่าวชื่นชม

กล่องไม้ไผ่นี้ขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือและมีฝาปิดเข้าด้วยกัน ถ้าร้านขายของออกไปแล้วก็ยังสามารถเก็บไว้ใช้ใส่ของได้ ทั้งขนาดพอเหมาะ ทั้งใช้ประโยชน์ได้ดียิ่งกว่ากระดาษห่อของขวัญเสียอีก

“เจ้าว่าได้หรือไม่” ท่านป้าจางก็ยิ้มเช่นเดียวกับลุงจาง แล้วพูดว่า “ท่านลุงจางของเจ้า ขอเพียงเจ้าต้องการอะไร ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้หรอกนะ”

คำพูดเมื่อครู่ท่านป้าจางคงไม่กล้าที่จะพูด ในหัวของเสี่ยวหวานคนนี้มีของแปลกประหลาดอยู่มากมาย ถ้านางวาดรูปสักรูปหนึ่ง ถ้าเกิดว่าตาเฒ่าไม่สามารถสานออกมาได้คงขายหน้าตาย

“เจ้าค่ะ ท่านลุงจาง ท่านทำตามนี้ สานอีกสักเก้าชิ้นนะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าเดินทางเข้าไปอีกเมือง จะได้ถือโอกาสนำกล่องไม้ไผ่นี้ไปด้วย” กู้เสี่ยวหวานวางกล่องไม้ไผ่ในมือลง แล้วบอกกล่าวว่าพรุ่งนี้นางจะพาเด็กสองคนเดินทางเข้าไปในเมืองด้วยกัน แต่ก็ไม่กล้าเอาของไปมาก แค่เอากล่องไม้ไผ่สิบใบไปขายตามร้านในเมืองก็น่าจะเพียงพอแล้ว ถึงตอนนั้นหากพวกเขาต้องการของมากขึ้นล่ะก็ ค่อยกลับมาบอกให้ท่านลุงจางทำเพิ่มอีกก็ได้

พอได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานต้องเข้าไปในเมือง ท่านป้าจางก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย “ห้ะ? เสี่ยวหวาน เจ้าต้องเข้าไปในเมืองนั้นอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าค่ะ ท่านป้าจาง ข้าจะไปพรุ่งนี้เจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานยิ้มตอบ

“ในเมืองนั่น เจ้าเดินทางหลายชั่วยามเชียวนะ เจ้าไปสักครั้งหนึ่งต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ” ป้าจางเห็นกู้เสี่ยวหวานจะไปในเมืองจริง ๆ ก็กังวลใจไม่น้อยเช่นกัน “พรุ่งนี้ให้ฉือโถวขับเกวียนพาเจ้าไปส่งดีกว่า!”

“ใช่แล้ว เสี่ยวหวาน ในเมืองนั่นน่ะไกลกว่าเมืองหลิวเจียอีกนะ เจ้าเป็นสตรีคนเดียวจะไม่อันตรายไปหน่อยหรือ” ลุงจางเองก็ไม่เห็นด้วยที่กู้เสี่ยวหวานจะไป “ถ้าเจ้าจะไปก็ให้ฉือโถวพาเจ้าไปด้วยกัน”

ป้าจางไม่ได้ถามว่ากู้เสี่ยวหวานจะเข้าไปในเมืองเพื่อทำอะไร เพียงแต่บอกว่าจะให้ฉือโถ่วพาไปด้วย กู้เสี่ยวหวานรู้สึกซาบซึ้งมาก จึงพูดอย่างซึ้งใจว่า “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะท่านป้าจาง ข้ามีธุระนิดหน่อย อาจารย์น้อยสวีก็จะเข้าไปในเมืองเช่นกัน ข้าจึงติดรถม้าเขาไปด้วย”

พอป้าจางได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานจะไปพร้อมกับอาจารย์น้อยสวี ก็วางใจในที่สุด อาจารย์น้อยสวีผู้นี้พวกเขาเคยเจอแล้ว ครั้งแรกตอนที่กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงรู้ว่ากู้เสี่ยวอี้ได้รับบาดเจ็บครั้งนั้น คนคนนั้นแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัว ก็ทำให้ชาวไร่ชาวนาอย่างพวกเขารู้ว่าตัวเองเทียบเขาไม่ติดเลย

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ครอบครัวป้าจางก็รู้สึกซาบซึ้งไม่น้อย กู้เสี่ยวหวานจะเข้าไปในเมืองเองแท้ ๆ แต่กลับไม่ลืมช่วยพวกเขาทำธุรกิจด้วย บุญคุณในครั้งนี้ครอบครัวของป้าจางก็จดจำเอาไว้เช่นเดียวกัน