บทที่ 269 ขอคำอธิบาย

หมู่บ้านตระกูลเฉิน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินสูดลมหายใจเข้า วันนี้ร่างกายของเขาดีขึ้นแล้ว เขาจึงมาดื่มชาเป็นเพื่อนไท่ซ่างหวงก่อน

หัวหน้าสำนักหมอหลวงที่กำลังทำการวินิจฉัยชีพจร ก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “อาการประชวรของไท่ซ่างหวง น่าจะไม่ได้กำเริบมานานแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

จางตงไหลจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว หมู่บ้านตระกูลเฉินเป็นภูมิประเทศที่วิเศษ ทั้งยังมีหมอเทวดา เหมาะแก่การพักผ่อนในยามแก่ยามเฒ่า”

ครั้งนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินต้องการมารับไท่ซ่างหวงกลับวังหลวงให้ได้ มิเช่นนั้นผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าต้องคิดว่าเขาแค่แสดงละครตบตาเป็นแน่ ทว่าเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่เหมาะที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

“เสด็จพ่อพระพลานามัยแข็งแรง ลูกก็วางใจ ช่วงที่ผ่านมาทำให้เสด็จพ่อเป็นกังวล ทั้งยังทำให้ท่านโมโห เป็นความผิดของลูกเองพ่ะย่ะค่ะ”

ค่อยเหมือนคำพูดคนหน่อย ไท่ซ่างหวงจิบน้ำเล็กน้อย “ยังจำคำที่ข้าเคยพูดกับเจ้าก่อนที่เจ้าจะขึ้นครองราชย์ได้หรือไม่ รู้จักใช้คน อยู่ใกล้ขุนนางที่มีคุณธรรม อยู่ให้ไกลจากคนชั่ว”

“ลูกจำได้พ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าจำได้กับผีน่ะสิ

ไท่ซ่างหวงจ้องหน้าเขาไม่พูดไม่จา ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงได้สติขึ้นมาทันที “บางครั้งลูกก็ถูกปิดตาจริง ๆ ยังดีที่มีเสด็จพ่อคอยชี้แนะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเอ่ยจบ ก็สั่งหมอหลวงให้สั่งยาที่ช่วยบำรุงกำลังและทำให้แข็งแรงมีชีวิตชีวา

“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าหมู่บ้านตระกูลเฉินจะดีเพียงใด แต่อย่างไรซะก็ไม่ใช่วังหลวง ที่จะมีคนคอยปรนนิบัติอย่างทั่วถึงนะพ่ะย่ะค่ะ”

ซูเฟยที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย และสะกิดองค์ชายสิบที่สองวันมานี้ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด “ใช่แล้วเพคะ อีกอย่างพวกเด็ก ๆ เองก็ล้วนคิดถึงเสด็จพ่อมากนะเพคะ”

องค์ชายสิบที่ถูกซูเฟยหยิกก็เบ้ปากแล้วเอ่ยขึ้นมา “ข้ารู้สึกว่าหมู่บ้านตระกูลเฉินดีจะตายไป ของว่างของพวกเขาก็อร่อย ของเล่นก็สนุก ยังมีกระดานลื่นด้วย ในวังยังไม่มีของเหล่านี้เลย”

ที่บอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดในโลกล้วนอยู่ในวังไม่จริง เพราะอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินชัด ๆ! น่าสนุกจะตายไป แถมในวังก็มีแต่ข้ารับใช้กับนางกำนัล

ซูเฟยถลึงตาใส่ เจ้าเด็กโง่นี่ หากนางไม่ได้เป็นคนคลอดออกมาเองล่ะก็ ต้องโยนเขาออกไปอย่างแน่นอน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็ถลึงตาใส่เจ้าลูกชายที่ไม่เอาไหนคนนี้ คิดไม่ถึงว่าไท่ซ่างหวงกลับพยักหน้าให้ “อืม เจ้าสิบนี่รู้จักเลือกจริง ๆ ในวังมีคนปรนนิบัติมากก็จริง แต่เจ้ายังแข็งแรงสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ หากกลับไปไม่แน่ว่าอาการป่วยของข้าอาจจะกำเริบขึ้นมาอีกก็เป็นได้ ข้าอยู่หมู่บ้านตระกูลเฉินสบายดีอยู่แล้ว และไม่มีความคิดที่จะกลับไป หากเจ้ารู้สึกว่าที่นี่น่าเบื่อ เจ้าก็กลับไปก่อนเถอะ”

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”

“มีอะไรไม่ได้กัน จู้จี้จุกจิกฟังแล้วน่ารำคาญจริง ๆ” ไท่ซ่างหวงพูดกับเขามากกว่านี้ก็พานให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

องค์ชายสิบเลิกคิ้วขึ้น ดูสิ ท่านรำคาญข้า ปู่ของข้าก็รำคาญท่านเหมือนกัน คราวนี้ก็เสมอกันแล้ว!

หากให้เขาเลือก เขายอมเป็นเชลยอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินเสียยังดีกว่า กลับวังมีอะไรดีกัน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้ว่าทำให้ไท่ซ่างหวงไม่พอพระทัยแล้ว จึงกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ในเมื่อเสด็จพ่อชอบที่นี่ เช่นนั้นลูกมาเยี่ยมบ่อย ๆ ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“อืม เจ็ดถึงแปดวันมาเข้าเฝ้าทีหนึ่ง คงไม่ยากสำหรับเจ้ากระมัง”

ฮ่องเต้เซี่ยเจิน “???”

“เอ่อ แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินอดไม่ได้ที่จะนึกถึงดอกไม้สีแดงดอกใหญ่สองดอกในมือของนายอำเภอเจียง เหงื่อเย็น ๆ ก็แทบจะไหลลงมาจากหน้าผากของเขาทันที

แต่ในเมื่อเขารับปากแล้วก็ต้องทำ ในเมื่อเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาจึงต้องหาวิธีหยั่งเชิงความคิดของอีกฝ่ายดูบ้าง

“ตอนนี้ขุนศึกหลักทั้งสี่ก็มีความสามารถเช่นกัน ถึงเวลาเผยยวนก็ไม่ต้องกลับไปลำบากที่ซีเป่ยแล้ว ให้อยู่เมืองหลวงหรือดูแลหมู่บ้านตระกูลเฉินให้ดี คอยปกป้องเสด็จพ่อก็ไม่เลวนะพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่ซ่างหวงจะไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ ให้เผยยวนอยู่ที่นี่ มิเท่ากับถูกเขาคอยจับตามองตลอดเวลาหรอกหรือ!

เผยยวนอยากไปที่ใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น แม้ว่าตอนนี้เขาไม่มีความคิดที่จะไปจากหมู่บ้านตระกูลเฉิน แต่ขุนศึกหลักทั้งสี่นั่นนับเป็นตัวอะไรกัน มีแต่พวกไม่เข้าขั้น ในแง่ของการเป็นผู้นำกองทัพไม่มีใครสามารถไปสนามรบได้สักคน ล้วนมีแต่เผยยวนและแม่ทัพเก่าแก่ที่คอยปกป้องให้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?

เพียงเพราะพวกเขาไม่รู้จักเอาความดีความชอบ เจ้าเศษสวะพวกนี้ถึงได้ความดีความชอบไปอย่างนั้นหรือ? ภายในแคว้นสงบสุขอยู่แล้วจะมีพวกเขาไปทำไมกัน?

ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่ต้องการให้เผยยวนกลับไปซีเป่ย เพราะกลัวจะเป็นการปล่อยเสือกลับเข้าป่า มิน่าเล่าถึงรักษาใจคนไว้ไม่ได้

“เอาล่ะ เรื่องที่นี่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ยิ่งกว่านั้นชายแดนซีเป่ยไม่มีคนเฝ้าได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่กลัวพวกถู่เจีย หรือพวกแคว้นอื่นหรืออย่างไร? ถึงตอนนั้นเจ้าจะส่งใครไปประจำการ?”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้อยู่แล้วว่าไท่ซ่างหวงจะต้องพูดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยให้ตระกูลเผยมีอำนาจไปมากกว่านี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขามองว่าตระกูลเยี่ยนเองก็ไม่เลว

ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ดั่งใจ รู้ขอบเขต ไม่เหมือนเผยยวนที่มักใหญ่ใฝ่สูง

สองพ่อลูกต่างเงียบกันไปพักหนึ่ง ทว่าเวลานี้ไท่ซ่างหวงกลับหลับตาลงเพื่อพักผ่อนแล้ว จึงเหลือเพียงฮ่องเต้เซี่ยเจินที่กระวนกระวายใจอยู่

ในความเงียบงัน จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากทางเข้าหมู่บ้าน

ผู้คนในค่ายพักแรมและหมู่บ้านตระกูลเฉินต่างก็เข้าไปรุมล้อม ไท่ซ่างหวงจึงลุกขึ้นยืน “เกิดอะไรขึ้น เจียงเต๋อไปดูหน่อยสิ”

จางตงไหลจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา “คาดว่าคงปราบโจรกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่ซ่างหวงขมวดคิ้ว ไปปราบโจรจริง ๆ อย่างนั้นหรือ!?

เซี่ยหยางไม่สามารถออกไปดูได้เนื่องจากแข้งขายังบาดเจ็บอยู่ ดังนั้นจึงให้องครักษ์ข้างกายไปสืบมา แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อองครักษ์ผู้นั้นกลับมา ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

“มีอะไร?”

“ทูลองค์ชายรอง กองทัพทหารเกราะเหล็กกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ หย่งกวานโหวมีคำสั่งให้นำหัวของพวกโจรที่ถูกปราบปรามในครั้งนี้ไปวางไว้บนถนนหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยหยางขมวดคิ้ว “อะไรนะ?”

ที่ผ่านมาเผยยวนไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้ นอกเสียจากจะเป็นพวกที่ทำสิ่งชั่วร้ายมามากมาย

“เป็นโจรอะไรกัน?”

องครักษ์กลืนน้ำลายลงคอ “ไม่ใช่โจรพ่ะย่ะค่ะ เป็น…เป็นคนของตระกูลสี่ขุนศึก”

เซี่ยหยางสูดลมหายใจเข้าด้วยความประหลาดใจ “เจ้าคอยจับตาดูด้านนอกเอาไว้ มีข่าวอะไรรีบกลับมารายงานข้า!”

เซี่ยหยางตอนนี้โมโหเป็นอย่างมากที่ตัวเองไม่สามารถออกไปดูด้วยตัวเองได้!

ข้างนอกเต็มไปด้วยผู้คนจริง ๆ

กิจการในเมืองหลวงกองพะเนิน แต่ไท่ซ่างหวงก็ยังไม่คิดที่จะกลับไป พวกเขาเบื่อที่นี่ตั้งนานแล้ว บางคนก็กังวลจนนั่งไม่ติด

แต่ตอนนี้เผยยวนตัดหัวของคนทั้งสี่ตระกูล และจับสตรีมัดเอาไว้ ก่อนจะโยนทั้งหมดลงบนถนน

ทำเช่นนี้เกินไปหน่อยหรือไม่?

หลายคนต่างวิพากษ์วิจารณ์เผยยวน ตำหนิว่าเขากระทำการกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว

บรรดาสตรีเหล่านั้นเมื่อได้ยินก็รู้ว่าในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว จึงร้องห่มร้องไห้พลางตะโกนว่าตัวเองถูกใส่ร้าย ขอให้ใต้เท้าทุกท่านคืนความเป็นธรรมให้

เผยยวนกับกองทัพทหารเกราะเหล็กไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่คำเดียว คนที่เหลือที่ยังอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเฉินก็ไม่ฝึกฝนต่อแล้ว ทว่าพวกเขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้พวกเขาไม่มีทางสงสัยในตัวเผยยวนอย่างแน่นอน

เพราะคนของขุนศึกทั้งสี่สมควรตายแล้วจริง ๆ และแม่ทัพของพวกเขาก็ไม่มีทางแก้แค้นเพียงเพราะความคับข้องใจส่วนตัวเป็นแน่

เรื่องนี้ต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องให้ความเป็นธรรมกับตระกูลเยี่ยนของเรานะเพคะ”

“ฝ่าบาท ตระกูลไป๋ตกที่นั่งลำบากในชั่วข้ามคืน กองทัพทหารเกราะเหล็กจงใจแก้แค้นพวกเราเพคะ ฝ่าบาท!”

“เผยยวน เจ้ากับกองทัพทหารเกราะเหล็กของเจ้าไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษหรืออย่างไร!”

ข้อกล่าวหาและคำถามมากมาย ต่างดังก้องอยู่ในหูของทุกคน

เมื่อวานนี้ฮวาเซียงเซียงได้พาทหารคุ้มกันของกองทัพทหารเกราะเหล็กและครอบครัวกองทัพทหารเกราะเหล็กที่ฟื้นแล้วไปพักที่ตำบลฉาซู่ รอพวกเผยยวนกลับมาแล้วจึงได้ตามมา ทว่าสุดท้ายกลับมาช้าไปเพียงนิดเดียว และมาได้ยินสตรีสารเลวเหล่านั้นกำลังพูดจากลับผิดเป็นถูกอยู่!

“พวกเจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน จับคนมานี่ให้หมด ให้ทุกคนได้ฟังว่าใครกันแน่ที่ควรถูกสวรรค์ลงโทษ! วันนี้ข้าขอพูดเอาไว้ตรงนี้เลย คนตระกูลขุนศึกทั้งสี่ของพวกเจ้าทุกคนต้องตกนรกขุมที่สิบแปด ยมบาลเห็นหน้าพวกเจ้าก็ยังต้องด่าพวกเจ้าว่าหน้าด้าน และคงสั่งให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานซะ!”

บรรดาสตรีของตระกูลเหล่านั้นต่างโอ้อวดว่าตัวเองสูงส่ง เคยถูกคนชี้หน้าด่าเช่นนี้ที่ใดกัน

“เจ้า!!”

“เจ้าอะไร ข้าเพิ่งจะเริ่มด่าเท่านั้น!”

.

.

.