บทที่ 259 เพื่อเคียงคู่ต้องเปลี่ยนนางให้เหมือนเจ้า
บทที่ 259 เพื่อเคียงคู่ต้องเปลี่ยนนางให้เหมือนเจ้า
— แดนธาราขาว —
สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้าย
“เยี่ยเอ๋อร์ช่วงนี้ดูจะไปที่จวนตระกูลเฟิ่งอยู่บ่อยนัก มีอะไรหรือ? หรือคนจากตระกูลเฟิ่งตายอดตายอยากกล้ามาล่วงเกินเจ้า?”
ชายในชุดดำนั่งอยู่บนแท่นสูง อายุราวสามสิบกว่า ๆ ใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตา เผยกลิ่นอายเสน่ห์อย่างผู้ใหญ่ที่ทำให้สตรีทั้งหลายหลงใหล นัยน์ตาสีเขียวเข้มนั่นเหมือนหยกชั้นดี ซุกซ่อนปริศนาลึกล้ำอันตรายไว้ภายใน
เขาคือหัวหน้าสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้าย มีนามว่าฉงเฟย
ขุมอำนาจที่ทรงพลังและลึกลับที่สุดแห่งแดนธาราขาว ทรงพลังจนสามารถมีปากมีเสียงบนดินแดนได้
ใบหน้าของ ฉงเฟย ทำให้เขาดูเหมือนคนอายุสามสิบกว่า ๆ แต่แท้จริงแล้วเขามาจากชนเผ่าหมาป่า มีอายุหลายร้อยปีแล้ว เขาไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา หากแต่มีอายุขัยยืนยาวกว่านัก
หลายร้อยปีที่ผ่านมา สตรีที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยแก่ตายไปหลายต่อหลายคน แต่ตัวเขาก็ยังหนุ่มยังแน่นไม่เสื่อมคลาย
และเพราะสายเลือดพิเศษนี้ มนุษย์ธรรมดาจึงไม่อาจให้กำเนิดลูกหลานของเขาได้เลย แม้จะโชคดีตั้งครรภ์ขึ้นมา แต่พวกนางไม่อาจทานทนความกระหายเลือดของสายเลือดหมาป่าได้ จึงได้แต่ถูกทรมานจนสิ้นใจไป
แต่ในหมู่สตรีทั้งหลายของเขา ยังมีปาฏิหาริย์หนึ่งเกิดขึ้นมา
นางไม่เพียงให้กำเนิดทายาทแข็งแรงคนหนึ่งออกมา หลายปีผ่านไปเขาก็ยังไม่อาจลืมนางลง นางกุมหัวใจเขาเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์
แต่ชะตามักขัดกับความต้องการคน เมื่อเขาคิดจะส่งต่อฐานะ คนจากหลายภาคส่วนต่างก็จ้องตำแหน่งเขาตาเป็นมัน
เขาปกป้องคุ้มครองภรรยาท้องเจ็ดเดือนของเขาไว้เป็นอย่างดี แต่นางไม่อยากเป็นภาระให้เขา จึงใช้ร่างตนดึงศัตรูให้หลีกห่างจากเขา สุดท้ายก็หลุดเข้าไปในห้วงมิติ จากนั้นเขาก็ไม่พบร่องรอยนางอีกเลย
เพราะเหตุนั้นเขาจึงหดหู่เศร้าสร้อยมาเป็นเวลานาน ไม่เพียงแต่ลูกที่ยังไม่ลืมตาดูโลก แต่ยังเศร้าใจกับสตรีที่ยอมสละชีวิตปกป้องเขาอีกด้วย
หากแต่เขาก็หวนกลับมา สุดท้ายเด็กคนนั้นก็กลับมาหาเขา อาจเพราะเป็นวาสนาที่มีร่วมกัน
ฉงเฟยปฏิบัติกับลูกที่หายตัวไปและเพิ่งกลับมาเป็นอย่างดี คนจากชนเผ่าหมาป่าเดิมทีเป็นพวกเย็นชา คงจะมีแต่สายเลือดเพียงคนเดียวที่เขาจะยอมเผยความอ่อนโยนความอดทนให้เช่นนี้
ชิงเยี่ยหลีที่เหม่อลอยไปไกลถึงเสียงอีกฝ่ายดึงกลับมา เขาหลับตาไปเล็กน้อย ตอบเสียงเรียบขึ้น “ไม่มีอะไร ข้าเพียงจัดการเรื่องส่วนตัวเท่านั้น”
“หากเจ้ามีอะไรให้พ่อช่วยก็บอกพ่อได้เลย” ฉงเฟยเอ่ยเสียงอบอุ่นอ่อนโยน
ชิงเยี่ยหลีไม่เอ่ยคำอีก ใบหน้ายังเย็นชาดังเคย
ฉงเฟยเห็นแล้วก็ไม่โกรธ เพียงแต่ยิ้มบางออกมา “เยี่ยเอ๋อร์ยังโกรธข้าอยู่หรือ? เจ้าเป็นคนฉลาด คงรู้ตัวอยู่แล้วว่าตนไม่ธรรมดา แล้วอะไรที่รั้งเจ้าอยู่กันแน่?”
“หากเจ้ากลายเป็นพวกเราชนเผ่าหมาป่า ไม่เพียงจะได้ครองอำนาจสูงสุด แต่ยังมีพลังที่คนธรรมดาไม่อาจมี ทุกคนจะเกรงกลัวนับถือโอนอ่อนให้เจ้า นั่นไม่ใช่สิ่งที่บุรุษทั้งหลายฝันถึงหรือ? แต่เจ้ากลับไม่ลังเลสักนิด เลือกที่จะถูกสายเลือดในร่างทรมานแทน”
ฉงเฟยพูดเรื่องนี้แล้วดูจนใจนัก “รู้หรือไม่ว่ามีคนตั้งเท่าไหร่ที่อิจฉาสายเลือดชนเผ่าหมาป่าที่เจ้าปฏิเสธมันอยู่”
ทันทีที่พูดจบ กลิ่นอายชิงเยี่ยหลีก็เยือกเย็นลงเล็กน้อย
เขาพลันลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีเขียวเข้มไร้อารมณ์ มองไปยังอีกฝ่ายนิ่ง “ตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ ข้าก็ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์มาโดยตลอด จากนี้ไปข้าก็จะยังเป็นมนุษย์ ข้าจะไม่มีวัน….. กลายเป็นอสูรเลือดเย็นไร้หัวใจที่ไร้ความเป็นมนุษย์เด็ดขาด”
“หึ” ฉงเฟยอดหัวเราะเหยียดออกมาไม่ได้ สายตาฉายแววอ่านไม่ออก “ที่เยี่ยเอ๋อร์รั้นจะเป็นมนุษย์ให้ได้ เป็นเพราะแม่นางที่เจ้าพบ แล้วแอบมีความรู้สึกดีกับนางลับ ๆ ที่โลกนั้นใช่หรือไม่?”
ชิงเยี่ยหลีหรี่ตาลงทันใด
“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ลงมือกับแม่นางน้อยคนหนึ่งหรอก”
มุมปากฉงเฟยยกขึ้นน้อย ๆ พลางลุกขึ้นเดินไปหา เขายื่นมือขึ้นตบไหล่ชิงเยี่ยหลี “แต่ว่านะเยี่ยเอ๋อร์ เจ้าต้องเข้าใจว่าพวกเจ้าอยู่กันคนละโลก แม้เจ้าจะยอมทรมานเพราะนาง แต่เจ้าก็ไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกันกับสตรีชาวมนุษย์ได้”
ชิงเยี่ยหลีหลุบตาลง ใบหน้าที่ซีดขาวเป็นทุนเดิมยิ่งดูเย็นชามากขึ้นไปอีก
หากแต่พริบตาต่อมา เสียงฉงเฟยก็ดังขึ้นที่ข้างหู “แต่ก็ไม่ได้ไร้หวังไปเสียทีเดียว เจ้าเพียงแต่ต้องเปลี่ยนนางให้กลายเป็นหมาป่าเช่นเดียวกับเจ้า จากนั้นจึงจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าต้องการนางมากเพียงไหน”
พูดจบ ฉงเฟยก็ก้าวเท้าเดินจากไป
เหลือเพียงชิงเยี่ยหลีที่ยืนชะงักค้างเช่นนั้น ไม่อาจควบคุมสติได้อยู่พักใหญ่
เขาจะสามารถ อยู่กับเสี่ยวอวี่ได้จริงหรือ?
หากเขา….. เปลี่ยนให้นางเป็นเหมือนกับ พวกเขาก็สามารถอยู่ด้วยกันตลอดไปได้หรือ?
— แดนเมฆาสวรรค์ —
อารามจันทร์กระจ่าง
ชิงลั่วเยี่ยนนอนไม่หลับมาหลายคืนติดต่อกัน ทันทีที่หลับตาลงยามราตรี นางก็จะฝันถึงเรื่องเลวร้ายที่เคยทำไว้กับคนใกล้ตัวทั้งหลาย ทุกคนใบหน้าชโลมเลือดสีแดงฉาน ร้องคร่ำครวญน่าสงสาร เอาแต่ถามว่าทำแบบนั้นกับพวกเขาทำไม
ช่วงนี้อารมณ์นางจึงไม่เป็นปกติ หลาย ๆ คนต้องทนกับความโหดร้ายของนาง ถูกทรมานจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจากคำสาปที่ถูกฝังในร่าง
ชางเจี้ยนถูกนางกดดันอยู่ตลอด แต่เขาเสียเนตรสวรรค์ไปแล้วจึงไม่อาจเห็นได้ว่าในร่างนางมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ ทั้งยังไม่อาจให้คำแนะนำแก่นางได้ วิธีทั้งหลายในหอคัมภีร์ก็ใช้ไม่ได้ เขาเองก็ใกล้จะประสาทเสียเต็มทน
เขาที่มีสีหน้าสิ้นหวังไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็ก้าวเท้าเดินไปทางหอคัมภีร์อย่างไม่รู้ตน
เด็กสาวกำลังถือไม้ปัดฝุ่นไว้ดังเดิม ดูท่าจะสบายอกสบายใจมาก บนใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์ไว้
ชางเจี้ยนพลันรู้สึกอิจฉานางขึ้นมา
“โอ้ ท่านหัวหน้านักบวชมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง? หนังสือที่ข้าให้ไปคราก่อนมีประโยชน์ต่อท่านหัวหน้านักบวชหรือไม่?” เสียงเด็กสาวสูงขึ้นให้อารมณ์สดใสร่าเริง
เป็นตอนนั้นเองที่จิตใจชางเจี้ยนหลุดออกจากภวังค์ ช่วงนี้เขาโดนกดดันไม่น้อย จึงไม่อาจคลี่ยิ้มออก เพียงแต่ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ย “อืม ขอบใจเจ้าด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก หากท่านหัวหน้านักบวชมีเรื่องกังวลในใจก็มาหาข้าได้ ข้าเก่งเรื่องพวกนี้นัก!” ชิงอวี่พูดยิ้มตาหยี ดูใสซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม อ่อนหวานไร้พิษภัย เป็นเด็กสาวที่ทำให้คนรอบข้างวางใจได้โดยง่าย
ชางเจี้ยนคงถูกสตรีคลั่งคนนั้นทรมานมามากเกินไป ในใจจึงไม่กระจ่างใสเท่าไร เขาพลันอยากเปิดปากบอกเรื่องทุกอย่างกับเด็กสาวที่มีรอยยิ้มสดใสตรงหน้าไปเสีย
“แม่หนู มีวิธีอะไรที่จะทำให้ท่านเจ้าอารามหลุดพ้นจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนหรือไม่?”
ชิงอวี่นัยน์ตาเป็นประกาย นางย่อมต้องรู้สิ
แต่เพิ่งผ่านไปเท่าไหร่เองหนอ? นางถึงกับทนไม่ได้เสียแล้ว? สตรีชั่วที่ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเช่นนาง ให้ทรมานกับบทลงโทษเล็กน้อยเช่นนี้ มีหรือจะเพียงพอ!?
“ท่านหัวหน้านักบวช มีวิธีหนึ่งที่น่าลอง แต่…..”
ชิงอวี่หลุบตาลงกัดริมฝีปากตน เหมือนไม่กล้าเอ่ย “ท่านรู้ดีว่าท่านเจ้าอารามไม่ชอบข้า ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ส่งข้ามายังสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ เกรงว่านางคงไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้”
“เจ้าคิดว่าจะได้ผลหรือ?” ชางเจี้ยนเบิกตากว้าง ราวกับไม่อยากเชื่อ เขาเพียงแต่เล่าความคับข้องใจให้ฟัง กลายเป็นว่านางกลับมีวิธีช่วยเหลือจริง ๆ
“จริง ๆ แล้วข้าเชี่ยวชาญวิชาสะกดจิตชนิดหนึ่ง ทำให้สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดในความฝันได้ ข้าเพียงแต่ต้องเปลี่ยนสิ่งในความฝันท่านเจ้าอารามให้กลายเป็นเรื่องดีมีสุข เท่านั้นนางก็ไม่ต้องหลับฝันร้ายแล้ว”
“มีวิชาน่ามหัศจรรย์เช่นนั้นด้วยหรือนี่” ชางเจี้ยนอดเอ่ยชมไม่ได้ สีหน้าเขาโล่งใจนัก “ข้าจะหาทางกล่อมท่านเจ้าอารามเอง แต่ข้าต้องถามก่อนว่าวิชาสะกดจิตของเจ้าใช้ได้ผลแน่นะ?”
“หากท่านหัวหน้านักบวชไม่เชื่อใจข้า ท่านก็คงไม่ถามกระมัง?” ชิงอวี่ยิ้มตอบ “ที่ข้าถูกนำตัวมาที่นี่ ท่านหัวหน้านักบวชคิดว่ามันไร้เหตุผลหรือ?”
ชางเจี้ยนได้ยินคำนางก็สะดุ้ง
เขายังไม่ลืมว่าชิงลั่วเยี่ยนเคยว่าไว้ว่า จิตที่เหลืออยู่ของหงส์เพลิงทองคำนั้นหายไปเพราะเด็กสาวตรงหน้า ทั้งหงส์เพลิงทองคำนั่นยังเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ทำพันธสัญญากับคนผู้นั้นอีก
ดังนั้นคนทั้งสองต้องมีสายสัมพันธ์ลับอะไรที่เชื่อมกันอยู่เป็นแน่
ชิงลั่วเยี่ยนย่อมไม่เสียเวลากับคนที่ไร้ประโยชน์ต่อนาง ดังนั้นเด็กสาวย่อมไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่
คิดได้ดังนั้น ชางเจี้ยนก็ไม่แคลงใจอีก เขาพยักหน้าเอ่ย “ข้าเชื่อเจ้า ข้าจะไปรายงานท่านเจ้าอารามตอนนี้เลย และหากเรื่องเป็นไปได้ด้วยดี ข้าจะส่งคนมาเรียกตัวเจ้า”
พูดจบชางเจี้ยนก็หมุนตัวเดินกลับไปทันที
ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปาก มองแผ่นหลังชางเจี้ยนที่ค่อย ๆ จางหายไปด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ชิงลั่วเยี่ยนขี้ระแวงกับทุกเรื่อง จะกล่อมนางคงไม่ง่าย ไม่รู้ว่าชางเจี้ยนจะใช้วิธีไหนกับ แต่ราตรีเพิ่งจะโรยตัว ชายชุดคลุมดำก็เข้ามาหอคัมภีร์ มาพาตัวนางเข้าไปยังเรือนพักของท่านเจ้าอารามเสียแล้ว
ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามที่ชิงอวี่คาดไว้
เรือนนอนอันกว้างขวางนั้นเย็นยะเยือกไร้ความมีชีวิตชีวา มีเพียงเทียนแสงสลัวสองเล่มที่จุดไว้เพื่อให้แสง และเมื่อสายลมพัดผ่านประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งเข้ามา แสงเทียนบอบบางก็สั่นระริกราวกับจะดับได้ทุกเมื่อ
“เจ้ามาแล้ว”
เสียงแหบเล็กน้อยของสตรีนางหนึ่งดังออกมาจากความมืดมิด ฟังดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
“ได้ยินว่าเจ้ารู้จักวิชาสะกดจิตที่ทำให้ข้าพ้นจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนได้ เป็นเรื่องจริงหรือ?”
ชิงลั่วเยี่ยนค่อย ๆ เดินลงมาจากเตียง นางสวมเสื้อนอนตัวบางสีดำ ตัดกับใบหน้างามยั่วยวนและริมฝีปากสีแดงจัดดั่งเลือด และเพราะนางไม่ได้นอนมาหลายวัน หน้าตาซีดเซียวจึงทำให้เหมือนภูตผีจากนรกก็มิปาน มองแล้วน่ากลัวไม่น้อย
กระทั่งชางเจี้ยนที่อยู่ข้างกายนางตลอด เมื่อเห็นยังอดตกใจไม่ได้
หากแต่ชิงอวี่กลับมีสีหน้าสงบสำรวม ตอบเสียงไม่เอาใจใครแต่ก็ไม่ได้ไร้มารยาท “ตอบคำท่านเจ้าอาราม ข้าสามารถทำได้หากท่านให้ความร่วมมือกับข้า มันจะได้ผลแน่นอน”
ชิงลั่วเยี่ยนมองนางด้วยสายตาทระนงตน “ได้ผลจึงจะดี แต่หากเจ้าอารามเช่นข้าไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง เจ้าคงจะรู้นะว่าชีวิตเจ้าคงไม่ปลอดภัยอีก”
“ท่านเจ้าอารามไม่จำเป็นต้องกังวลไป หากข้าไม่มั่นใจก็คงไม่ออกปาก” ชิงอวี่ตอบพลางยิ้มบาง “เอาล่ะ ท่านเจ้าอารามโปรดนอนลงบนเตียงเถอะ ให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายที่สุด จากนั้นหลับตาลง…..”