บทที่ 260 ข้าเป็นคนที่เจ้ารักที่สุดหรือไม่
บทที่ 260 ข้าเป็นคนที่เจ้ารักที่สุดหรือไม่
สิ้นเสียงปลอบประโลมจิตใจของเด็กสาว ก็คล้ายกลับมีมนตราบางอย่างทำให้ชิงลั่วเยี่ยนค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ และตกลงสู่ห้วงฝัน
ความทรงจำนางราวกับย้อนกลับไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน
ในตอนนั้น ทุกอย่างยังไม่เปลี่ยนไป อารามศักดิ์สิทธิ์ขยายอำนาจทั่วแดนเมฆาสวรรค์ มีอิทธิพลราวกับความสว่างยามกลางวัน เป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุด
ไม่ว่าใครก็อยากเข้าร่วมอารามศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เลื่องชื่อว่ามีพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ที่สุด แดนศักดิ์สิทธิ์ที่แห่งความเป็นอมตะที่ได้รับพรจากพระเจ้าทั้งหลาย บำเพ็ญร้อยปีด้านนอก แต่หากมาบำเพ็ญยังแดนนี้ใช้เวลาเพียงสิบปีก็เห็นผล เห็นได้ชัดว่าผู้คนภายนอกอิจฉาคนใน อารามศักดิ์สิทธิ์เพียงไหน
บุรุษที่หมายปองเหล่าองค์หญิงแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์มาเยี่ยมเยือนไม่ขาด บ้างจริงใจ บ้างมีจุดประสงค์อื่น
ผ่านคำหวานคำเสแสร้งจากลมปากบุรุษมานับไม่ถ้วน ชิงลั่วเยี่ยนยิ่งหยิ่งผยองทระนงตน ปรายตามองพวกบุรุษด้วยสายตาดูถูก แต่มีเพียงครั้งหนึ่งเท่านั้นที่นางต้องตาคนคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่นางไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิต
เป็นวันนั้นที่หลายขุมอำนาจต่างเดินทางมาอารามศักดิ์สิทธิ์ บังเอิญเป็นวันที่อารามศักดิ์สิทธิ์จัดพิธีบวงสรวงพระเจ้าที่มีทุกร้อยปีขึ้นพอดี
บุรุษผู้นั้นเดินทางมาพร้อมกับบิดาตน พริบตาที่นางเห็นเขาก็ไม่ได้หลงเสน่ห์อะไร แต่เพราะเขาโดดเด่นมากจริง ๆ โดยเฉพาะนัยน์ตาหงส์แฉลบขึ้นคู่นั้น นางมองว่ามันต้องตาจับใจมาก
เขามีหน้าตาประณีตงดงามกว่าสตรีใด เรียกว่างามก็ยังได้ บุรุษน้อยคนนักที่จะมีใบหน้าโดดเด่นน่าตกตะลึงเช่นนี้
นางจำได้ว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ของนางต่างเอ่ยหยอกเย้าว่าน่าเสียดายที่เขาไม่เกิดมาเป็นสตรีจากนั้นก็คุยกันว่าบุรุษทั้งหลายหน้าตาสะสวยถึงเพียงนี้เลยหรือ แล้วก็บอกว่าแล้วเช่นนี้เหล่าสตรีจะใช้ชีวิตอย่างไร
ใช่แล้ว คนผู้นั้น แม้พบครั้งแรกก็เป็นที่น่าจดจำเป็นพิเศษ และเป็นใบหน้านั้นที่ทำให้ชิงลั่วเยี่ยนที่มักมองเหยียดคนอื่นไม่อาจละสายตาจากเขาไปได้
คงจะเป็นโชคชะตากระมัง
นางเป็นองค์หญิงผู้สูงส่งแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์ นางกับเขาไม่ควรได้มารู้จักกัน นางไม่เคยก้าวเท้าออกจากอารามศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังไม่เคยเข้าใกล้บุรุษภายนอกมาก่อน
อาจเพราะนางเหนื่อยหน่ายกับพวกบุรุษสองหน้าใจคิดไม่ซื่อทั้งหลายมามาก ใจนางจึงสงบนิ่ง ไม่เกิดแม้จะกระทั่งความรู้สึกใด ๆ
นางเกิดมามีนิสัยไม่เหมือนใคร นอกจากพี่ใหญ่และน้องเล็กที่สนิทสนมกับนางแล้ว นางก็ไม่สนิทกับคนอื่นเลย
ส่วนมากแล้วมีเพียงกระต่ายหิมะดำน่ารักที่ท่านพ่อมอบให้ตอนนางอายุร้อยปีที่นับว่านางได้เติบโตเป็นสตรีแล้วเท่านั้นที่คอยอยู่เป็นเพื่อนนาง
ตัวมันสีดำดั่งหมึก มีขนกระจุกหนึ่งที่หน้าผากเท่านั้นที่เป็นสีขาว นัยน์ตามันสีแดงสวยราวทับทิม ทั้งยังฉลาดนัก ทำท่าราวกับจะพูดได้ก็มิปาน
แม้เจ้าตัวเล็กจะไม่ใช่อสูรวิญญาณระดับสูงอะไร กระทั่งพูดภาษามนุษย์ก็ยังไม่อาจทำได้ แต่ชิงลั่วเยี่ยนก็ชอบมันมาก เอาอกเอาใจมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่ทุกวัน
มีครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งนางพากระต่ายหิมะดำออกมาเดินเล่น เจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนพลันยืดตัวขึ้นหลายครั้ง ก่อนจะกระโดดออกจากแขนนางไป
ชิงลั่วเยี่ยนชะงักไป จากนั้นจึงรีบตามมันไป
มีคนจากขุมอำนาจอื่นเดินทางมาเมื่อหลายวันก่อน หากเจ้าตัวเล็กไปเจอพวกเขาเข้าก็อาจเป็นอันตรายได้
แต่เมื่อนางตามมันทันก็ให้ชะงักอยู่เช่นนั้น
ตอนนั้นเป็นกลางฤดูหนาว ไม่ว่าที่ใดก็เห็นหิมะ บนพื้นจึงเต็มไปด้วยสีขาวเงิน คนผู้นั้นสวมชุดขาวบริสุทธิ์ เกือบจะกลืนไปกับหิมะขาวเบื้องหลังแล้ว
ในอ้อมแขนเขากำลังอุ้มเจ้าก้อนน้อยขนสีดำ ก้มหน้าลงเล่นกับมัน เจ้าตัวเล็กทำท่าราวกับถูกสกัดจุด นั่งนิ่งอย่างเชื่อฟัง ไม่ขยับสักนิด ปล่อยให้เขาลูบหัวเล็ก ๆ ของมันตามใจชอบ
ชิงลั่วเยี่ยนเห็นดังนั้นก็โกรธ เอ่ยเสียงไม่พอใจขึ้นมา “นี่ กระต่ายตัวนั้นเป็นของข้า!”
เขาจึงชะงักไป ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น
ใบหน้าน่าตกตะลึงจึงเผยให้ได้เห็นอีกครั้ง
ชายหนุ่มยกยิ้มจาง ใบหน้างดงามโดดเด่น สวมชุดขาว ผมสีดำสนิท ดูนุ่มลื่นราวกับหยกชั้นดี เป็นคุณชายหน้าหยกอย่างที่ไม่อาจหาใครเทียม
นั่นคือเขาในวัยเยาว์ เมื่อครั้งที่เขาทำให้หญิงสาวเกิดความหลงใหลขึ้นมา
เขาส่งยิ้มอ่อนโยนให้นาง จากนั้นคืนเจ้าตัวเล็กในมือให้
“เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของแม่นางนี่เอง ข้าก็สงสัยอยู่ว่ามีใครกันที่เก่งกาจนัก เลี้ยงให้มันเฉลียวฉลาด น่ารักได้เช่นนี้”
“ข้าน้อยมีนามว่าม่อจิ่งอวี้ ขอทราบชื่อแม่นางได้หรือไม่?”
น้ำเสียงเขาไพเราะนักจนนางประหม่าอยู่บ้าง นางอุ้มกระต่ายหิมะดำไว้ท่าทางเคอะเขิน ตอบเสียงเบาออกมา “ข้าชื่อ….. ชิงลั่วเยี่ยน”
ได้ยินแล้วรอยยิ้มเขายิ่งอ่อนโยนขึ้น “ว่ากันว่าแต่โบราณมามีคำกล่าวว่า จันทรายังต้องหลบ บุปผายังต้องอาย ปลาตะลึงจนลืมว่าย นกชม้ายจนลืมบิน[1] ได้ยลโฉมแม่นางวันนี้ ข้าน้อยได้รู้ความหมายโดยแท้จริงของคำกล่าวนั่นแล้ว”
ปากเขาเหมือนเกิดมาเพื่อเอ่ยคำหวานทั้งหลายที่ฟังแล้วรื่นหูนัก
ชิงลั่วเยี่ยนไม่รู้ว่าตอนนั้นนางคิดอะไร เพียงแต่รู้ว่านับแต่นั้นมา ใจนางมันก็แปลกไปไม่เหมือนเดิม
นางเห็นบุรุษปากหวานลิ้นหวานเอ่ยคำหวานปานน้ำผึ้งมามาก แต่ไม่มีใครเหมือนเขาคนนี้ที่ทำให้นางฉงนสงสัยได้ตั้งแต่คราแรก คราที่สองกลับทำให้ใจนางสะท้านสะเทือนได้
เรื่องที่นางมีความสุขที่สุดในช่วงเยาว์วัยคือการได้พบกับบุรุษผู้นี้
ร้อยปีหลังจากนั้น อาจเพราะนางมีคนที่ทำให้ชีวิตไม่รู้สึกเบื่อหน่ายอีกต่อไป นางจึงร่าเริงขึ้นมาก
ไม่ทันรู้ตัว ท้องฟ้าก็สว่าง แสงเทียนกะพริบริบหรี่ภายในเรือนกะพริบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดับลง ความมืดเสี้ยวสุดท้ายก็ได้หายไปจากผืนฟ้า
นัยน์ตาที่หลับแน่นของชิงลั่วเยี่ยนพลันมีน้ำตาสองสายไหลออกมา ก่อนที่นางจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น
นางไม่ได้ฝันถึงเขามานานแค่ไหนแล้วนะ?
ตอนนั้นนางกับเขายังมีความสัมพันธ์อันดี แล้วทำไม….. สุดท้ายมันต้องเปลี่ยนไป?
—————————-
ในฐานะที่เป็นกลุ่มอำนาจที่ผงาดขึ้นทีหลังบนแดนเมฆาสวรรค์ แม้สมาพันธ์นักล่าจะตั้งมาไม่นานเท่าขุมอำนาจอื่น ๆ แต่ก็มีอำนาจกล้าแข็งไม่น้อยหน้าใครอื่น
ว่ากันว่าหัวหน้าสมาพันธ์นั้นเคยเป็นคนแคว้นมารมาก่อน
แต่เพราะไม่พอใจจอมมารจอมลวงโลกและนิสัยโหดเหี้ยมทารุณ ไม่เห็นคนอื่นเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย เขาจึงหนีออกมาจากกำมือของจอมมารผู้นั้นด้วยความโกรธ พาพี่น้องหลายคนออกมาด้วยแล้วก่อตั้งสมาพันธ์นักล่าขึ้น สาบานว่าจะล้างแค้นให้กับความอัปยศทั้งหลายที่ต้องฝืนทน เป็นปฏิปักษ์กับคนแคว้นมารไปชั่วกาล
“ท่านหัวหน้า มีคนนอกมาขอพบขอรับ”
หัวหน้าสมาพันธ์นั้นมีนามว่าจูเก่อฉง เป็นหมอผีชั่วร้ายฝีมือล้ำเลิศด้านพิษ ซึ่งพิษก็ตกอยู่ในหมวดหมู่หนึ่งของนักปรุงยา แต่เพราะหมอผีมักมีจิตใจชั่วร้าย ลงมือร้ายกาจ นักปรุงยาทั้งหลายจึงไม่ค่อยยอมรับพวกเขานัก
จูเก่อฉงเพิ่งจะปรุงยาเสร็จ ใช้พลังไปมาก กำลังนั่งพักหมดแรงอยู่บนเก้าอี้นุ่มอยู่
เมื่อได้ยินเสียงรายงาน เขาก็มุ่นคิ้วทันที ก่อนเอ่ยเสียงขุ่นขึ้น “ข้าไม่อยากพบใคร”
“แต่อีกฝ่ายบอกว่าเขามีเรื่องที่ท่านต้องสนใจเป็นแน่ หากไม่พบหน้าจะเสียใจทีหลังได้ขอรับ”
จูเก่อฉงหนังตากระตุก เขาพลันลืมตาขึ้น แววดุร้ายวาบผ่านในดวงตา “ให้เข้ามา”
หือ? เขาต้องเสียใจงั้นหรือ? หากเป็นเรื่องลวง คนผู้นั้นนั่นล่ะที่จะเป็นฝ่ายต้องเสียใจ!
ไม่กี่อึดใจ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้น จูเก่อฉงเงยหน้าขึ้นมองไร้อารมณ์ เห็นเป็นร่างสูงของคนผู้หนึ่งในชุดสีดำ บนศีรษะสวมหมวกไม้ไผ่ ฝีเท้ามั่นคงนัก
จูเก่อฉงเลิกคิ้วขึ้น ใครกัน? สวมชุดปิดบังตัวตนเช่นนี้ หน้าตาน่ากลัวไม่น่ามองหรือไร?
ยามที่กำลังสงสัยนั่นเอง อีกฝ่ายก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นปลดหมวกไม้ไผ่ลง ใบหน้าอ่อนโยนจึงเผยสู่สายตา ก่อนเอ่ยปากขึ้นว่า “พี่จูเก่อ ไม่ได้พบกันนาน”
——————————
เรื่องราวเป็นไปอย่างที่ชิงอวี่คาดการณ์ไว้
ชิงลั่วเยี่ยนวางใจในวิชาสะกดจิตของนางในที่สุด ด้วยเพราะนางยังฝันร้ายอยู่เรื่อย ๆ หากชิงอวี่ไม่คอยอยู่ช่วยเหลือ นับแต่คืนนั้นมา นางก็ไม่อาจหนีฝันร้ายพวกนี้พ้นอีก
เดิมทีแคลงใจสงสัย ชิงลั่วเยี่ยนจึงค่อย ๆ เชื่อใจชิงอวี่โดยสมบูรณ์ นางย้ายชิงอวี่ออกจากหอคัมภีร์ แสดงความโปรดปรานต่อเด็กสาวเป็นพิเศษ มอบทั้งทองทั้งเงินให้นับไม่ถ้วน รวมถึงสมบัติล้ำค่าหายากอีกมาก
ส่วนมือขวาที่นางไว้ใจที่สุดนามชางเจี้ยน เหมือนจะเสียความดีความชอบจากชิงลั่วเยี่ยนไป นางไม่เรียกเขามาใช้งานอะไรอีก ทำให้เขาราวกับถูกทิ้งขว้างไปแล้ว
เป็นเพราะนางรู้สึกว่าชางเจี้ยนเริ่มจะไร้ฝีมือมากขึ้นทุกที อาจหาสาเหตุของอาการนอนไม่หลับธรรมดาของนางได้ ต้องพึ่งเด็กสาวไม่รู้จักพื้นเพที่มาจากแดนต่ำกว่าถึงช่วยทำให้นางได้นอนหลับเต็มอิ่ม ช่างน่าขันสิ้นดี
วันไหนที่ความอดทนนางหมดลง นางก็ไม่เห็นว่าชางเจี้ยนสมควรจะอยู่ข้างกายนางอีกต่อไป
เมื่อชิงอวี่ออกจากเรือนนอนชิงลั่วเยี่ยน ร่างสูงในชุดสีม่วงก็นอนเอื่อยรออยู่บนเตียงเมฆของนางแล้ว แขนข้างหนึ่งยกขึ้นวางศีรษะ ราวกับรูปสลักที่ปักหลักรอภรรยากลับมา สองตาจ้องไปทางประตูไม่วางตา
ใบหน้าไร้ที่ติระบายไปด้วยความใสซื่อน่าสงสาร เห็นแล้วน่าตกใจไม่น้อย
เมื่อชิงอวี่เห็นเขานอนบนเตียงท่าทางเด่นเป็นสง่าเช่นนั้น นางก็ตกใจไปครู่หนึ่ง
หากจำไม่ผิด นับตั้งแต่นางถูกย้ายออกจากหอคัมภีร์ คนเฝ้ายามรอบที่พักของนางก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อครู่นางยังเห็นเยว่เฝินอยู่ข้างนอกอีกด้วย
แล้วเขาแอบเข้ามาได้อย่างไร?
ทั้งยังหาญกล้า นอนให้เห็นเด่นชัดอย่างไม่เกรงกลัวใครอีกต่างหาก
ชิงอวี่กลอกตาใส่เขา “ไม่กลัวใครเห็นหรือ?”
ทั้งนัยน์ตาทั้งชุดคลุมสีม่วงที่เขาสวมอยู่นั้นโดดเด่นนัก ราวกับกลัวว่าคนทั้งแดนจะไม่รู้ว่าเขาคือใคร เจ้าแคว้นมารมาแอบนัดพบกับเด็กสาวจากแดนต่ำอยู่ทุกคืนเช่นนี้ หากใครรู้เขาคงได้เบิกตากว้างจนแทบหลุดจากเบ้า
โหลวจวินเหยากะพริบตาใสใส่ ดูน่ารักน่าชังอย่างน่าประหลาด “มีอะไรต้องกลัว? ตอนนี้เจ้ากลายเป็นคนโปรดของท่านเจ้าอารามไปแล้ว ถึงข้าถูกจับไป เจ้าก็ต้องปกป้องข้าแน่”
“…..” ชิงอวี่ได้ยินก็แทบกระอักเลือด
เขาไปเรียนคำพูดน่าขันเช่นนี้มาจากไหนกัน?
เห็นว่านางไม่เดินเข้ามาหาเสียที โหลวจวินเหยาจึงอดกังวลไม่ได้ เขาเอื้อมแขนยาวออกมาคว้าร่างนุ่มหอมกรุ่นเข้าสู่อ้อมอก ถึงตอนนั้นเขาถึงได้พึงพอใจขึ้นมาสักที
ชิงอวี่มองเขาด้วยสายตาจนใจ “ทำไมข้ารู้สึกเหมือนท่านทำตัวติดกับข้าเป็นตังเมเช่นนี้ได้?”
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็ชะงักไป ก่อนจะจะก้มหน้าเข้ามา เอาหน้าผากแตะกับนาง เอ่ยเสียงทุ้มขึ้นมาว่า “จิ้งจอกน้อย ข้าเป็นคนที่เจ้ารักที่สุดหรือไม่?”
คำถามที่จู่ ๆ มาจากไหนไม่อาจรู้ทำชิงอวี่อึ้งไป นางกะพริบตาทำหน้าฉงนใส่ “ทำไมจู่ ๆ ถึงถามเล่า?”
“ตอบข้ามาก่อน” โหลวจวินเหยาดื้อรั้นอย่างน่าประหลาด พยายามให้นางตอบเขาให้ได้
[1] บทกลอนกล่าวถึงสี่สาวงามของจีน