บทที่ 261 ข้าไม่ได้ชอบเจ้า แต่ข้ารักเจ้า
บทที่ 261 ข้าไม่ได้ชอบเจ้า แต่ข้ารักเจ้า
เห็นเขาเป็นเช่นนั้น ชิงอวี่จึงผงกหัวกล่าว “อืม”
นางอยากรู้ว่าเขาถามเช่นนี้คิดอะไรอยู่กันแน่
โหลวจวินเหยาได้ยินคำตอบนาง สีหน้าก็เผยความยินดี ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้งหนึ่ง “หมายความว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะไม่ทิ้งข้าไปใช่หรือไม่?”
ท่าทางที่ถามนั้นจริงจังมาก นัยน์ตาสีม่วงล้ำลึกจ้องนางตาไม่กะพริบ เหมือนจะฉายแววคาดหวังอยู่ด้วย
ชิงอวี่แพ้สายตาเช่นนั้นที่สุด นางจึงเอื้อมมือไปบีบหน้าหล่อ ๆ ของเขาไว้ “คำถามอะไรของท่านกัน? ทำไมถามมาข้าจึงไม่เข้าใจเลยเล่า? แล้วทำไมข้าถึงต้องทิ้งท่านไปด้วย?”
ชั่วทั้งชีวิตก่อนและชาตินี้ นางตกหลุมรักบุรุษเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นนางจึงยิ่งรักและเห็นเขาล้ำค่ายิ่งกว่าใคร แต่จู่ ๆ เขากลับมาถามว่านางจะทิ้งเขาไปหรือไม่ มันช่างน่าขันนัก!
โหลวจวินเหยาจับมือน้อยที่ซุกซนเอาไว้ นัยน์ตาล้ำลึกจ้องนางแน่วแน่ ก่อนจะก้มหน้าลงสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่บ้าง เอ่ยเสียงแหบหน่อย ๆ ขึ้นว่า “ชิงเป่ย….. ได้พบหน้าบิดามารดาแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสำนักเซียนแพทย์”
“จริงหรือ?” ชิงอวี่เบิกตากว้างครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงท่าทางโล่งใจ “เช่นนั้นดีเลย! ชิงเป่ยโศกเศร้าเรื่องบิดามารดาที่ให้กำเนิดมาโดยตลอด ตอนนี้เขาคงมีความสุขมากทีเดียว!”
นางมาเกิดใหม่ในร่างนี้ ในที่สุดก็ยกเอาความกังวลหนักหนาที่สุดออกไปได้แล้ว
แต่ในใจนางรู้ดีว่าทั้งหมดก็เป็นเพราะโหลวจวินเหยาช่วย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาช่วยเหลือนางตลอด ดังนั้นท่านพ่อท่านแม่จึงได้พบหน้าลูกเร็วนัก
ชิงอวี่จึงโน้มตัวลงจูบแก้มชายหนุ่มเบา ๆ “อาเหยา ขอบคุณท่านด้วย”
จุมพิตอ่อนโยนของเด็กสาวส่งผลให้โหลวจวินเหยาใจเต้นแรงครู่หนึ่ง เกือบจะทนไม่ไหวอยากมอบจูบนางกลับคืนไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ลืมธุระที่มาในคืนนี้
คิดได้ดังนั้น สายตาจึงแน่วแน่ขึ้นมา สีหน้าหดหู่อย่างน่าประหลาด
ไม่ว่าชิงอวี่จะหัวทึบเพียงไหน นางก็ยังสัมผัสได้ว่าหน้าตาเช่นนั้นผิดปกติยิ่ง “เกิดอะไรขึ้นหรือ? เหมือนวันนี้ท่านอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่เลย”
เขาลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะหันมามองนางแล้วกล่าวคำ “หากพ่อเจ้าคัดค้านไม่ให้เราอยู่ด้วยกัน เจ้าจะทิ้งข้าหรือไม่?”
“อะไรนะ?” ชิงอวี่ยิ่งพิศวงกว่าเดิม “ท่านพ่อ…. จะขัดขวางพวกเราหรือ??”
“พ่อเจ้า….. รู้เรื่องเราแล้ว” โหลวจวินเหยายิ่งใช้น้ำเสียงหดหู่กว่าเดิม “อาจเพราะข้ามีชื่อเสียงไม่ดีนัก เขาจึงมองข้าไม่ดีไปด้วย ทำให้เขาไม่ชอบข้า…..”
แท้จริงแล้วหลังจากไป๋จือเยี่ยนกลับมา เขาเพียงบอกโหลวจวินเหยาว่าหลังจากที่อีกฝ่ายรู้เรื่องเขากับจิ้งจอกน้อยแล้ว ก็มีสีหน้าทะมึนไม่น่ามอง เหมือนจะไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่เอ่ยคำอะไรออกมาอีก
แต่เขาก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเขาเป็นแน่
หากแต่ไม่ว่าอย่างไร ใจของจิ้งจอกน้อยย่อมต้องอยู่ข้างเขาอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าคนผู้นั้นจะใช้อุบายอะไรก็ตาม อย่างไรก็คงไม่อาจแยกเขากับนางออกจากกันได้แน่
เขายังไม่ได้พูดอะไร แต่อีกฝ่ายกลับตัดสินเขาไปเสียแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่อายที่จะเล่นบทเหยื่อผู้โศกเศร้าให้จิ้งจอกน้อยเห็น จะได้คะแนนสงสารจากนางเพิ่มขึ้นสักหน่อย
เป็นไปดังคาด เมื่อชิงอวี่ได้ยินคำ นางก็มุ่นคิ้ว เอ่ยเสียงไม่พอใจขึ้น “หากเขาไม่ชอบท่าน ข้าเองก็ไม่ชอบเขาเช่นกัน”
“แต่อย่างไรเขาก็เป็นพ่อเจ้า…..” โหลวจวินเหยามีสีหน้าซับซ้อน
“แล้วอย่างไร?” ชิงอวี่กุมมือเขาไว้ จ้องตาเขาจริงจัง “ข้าจะไม่ยอมให้คนที่มีชื่อแค่เป็นบิดาข้ามาทำให้ท่านเศร้าใจได้หรอกนะ ข้ารักท่าน ข้าย่อมปกป้องท่าน ท่านฟังข้าให้ดี นอกจากข้าแล้วก็ห้ามใครรังแกท่านอีก”
นางมักปกป้องผู้อื่นอย่างหน้ามืดตามัวอยู่ตลอดโดยไม่สนผิดถูกเช่นนี้เสมอ
คำนางทำให้โหลวจวินเหยารู้สึกหวานล้ำอยู่ในใจ จิ้งจอกน้อยของเขาไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริง ๆ แม้เขาจะแสร้งทำเศร้าไปอย่างนั้น แต่เห็นนางปกป้องเขามากเช่นนี้ เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก
ตอนแรกเขาคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายก็ยังเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของนาง นางคงไม่เลือกฝั่งเขาโดยไวเป็นแน่
ไม่คิดเลยว่านางไม่เพียงกระโดดมาฝั่งเขา ทั้งยังไม่ยอมให้ใครอื่นนอกจากตัวนางมารังแกเขาอีกด้วย
โหลวจวินเหยาพลันหัวเราะลั่นออกมาแล้วกอดนางแน่นขึ้น “จิ้งจอกน้อยของข้า”
“อืม” ชิงอวี่เอนร่างแนบอกเขา ตอบรับคำเขาเบา ๆ
“ข้าเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วข้าไม่ได้ชอบเจ้ามากอย่างที่คิดไว้?”
ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมุ่นคิ้วแล้วจ้องหน้าเขา “ท่านพูดอีกทีสิ?”
เขาเห็นใบหน้าชั่วร้ายนั่นค่อย ๆ ยกยิ้มมุมปาก ก่อนที่นัยน์ตาคู่งามจนน่าตะลึงที่ส่องประกายราวกับอัญมณีสีม่วงจะส่งสายตามองนางด้วยความอ่อนโยน “ข้าพบว่าจริง ๆ แล้วข้าไม่ได้ชอบเจ้ามากอย่างที่คิด”
“เพราะข้ารักเจ้ามากต่างหาก”
ชิงอวี่ที่เดิมทีดูโกรธอยู่เล็กน้อยพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกตะลึง นางกะพริบตาสองที ก่อนที่สองแก้มจะเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมานิด ๆ
นางพลันหันหน้าหนีไปเล็กน้อยเพื่อปิดบังอาการใจเต้น ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่วออกมา “ท่านนี่พูดคำหวานคล่องขึ้นทุกวัน…..”
“มองตาข้า” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม
“ไม่มอง”
“แค่แวบเดียวพอน่า?”
“ข้าไม่อยาก”
ที่ข้างหูพลันเงียบเสียงไป ชิงอวี่นึกว่าเขาไม่พอใจ จึงหันหน้าไปมอง กลับพบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่จู่ ๆ ก็ขยับเข้ามาเสียใกล้
“ท่าน….. อื้อ…..”
ชิงอวี่ถูกโจมตีจนลืมหายใจ ชั่วอึดใจหนึ่งจึงผลักอีกฝ่ายออกไปได้ หลุดออกมาได้แล้วนางก็หอบหายใจเอาอากาศเข้าร่างทันที
“ท่านบอกให้ข้ามองเพื่อที่ท่านจะได้ลอบโจมตีข้าได้เช่นนี้น่ะหรือ?” พอชิงอวี่เริ่มหายใจทัน ก็บ่นเขาด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
“ไม่ใช่อย่างนั้น” โหลวจวินเหยาทำหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ “ข้าเพียงอยากให้เจ้ามองตาข้า จะได้รู้ว่าทุกคำที่ข้าพูดออกมานั้นข้าจริงใจทั้งสิ้น”
แต่ใบหน้าเก้อเขินของนางน่ารักจนเกินทน เขาจึงอดมอบจุมพิตให้นางไม่ได้
ชิงอวี่ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ไม่คิดต่อความเรื่องน่าขันนั่น นางกระแอมออกมาแล้วเอ่ยคำขึ้น “ข้ากำลังจริงจังอยู่นะ!”
“เอาล่ะ ๆ เจ้าพูด ข้าจะฟังเอง” โหลวจวินเหยาว่าแล้วก็พยักหน้าพลางยิ้ม
“ถึงจิตใจชิงลั่วเยี่ยนจะไม่ค่อยปกติเพราะความฝันของข้า แต่ส่วนมากนางก็ยังเป็นนางคนเดิม ยังมีพลังบำเพ็ญสูงส่ง ตอนนี้ข้าจึงไม่กล้าลงมือทำอะไรที่อาจทำให้นางรู้ตัว”
นางวางแผนไว้ว่าอย่างแรกจะทำให้จิตใจชิงลั่วเยี่ยนสลายเสียก่อน จากนั้นไม่ว่าจะมีพลังเลิศเลอเพียงไหน นางก็จะกลายเป็นสตรีคลั่งที่ติดอยู่ในบ่วงความรู้สึกผิดบาปที่เคยทำเอาไว้ ไม่อาจคิดเห็นได้แจ่มชัด กลายเป็นคนที่ชิงอวี่ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
แต่นางดูถูกชิงลั่วเยี่ยนเกินไป
โหลวจวินเหยาลูบผมชิงอวี่ก่อนเอ่ยปลอบ “เจ้าต้องวางแผนให้ดี พ่อแม่เจ้ายังเคยทนทุกข์ด้วยฝีมือนางมาก่อน มีหรือที่นางจะถูกแม่นางตัวน้อยเช่นเจ้าโค่นได้ง่าย ๆ? เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว ยกมือขึ้นปัดมือที่ลูบหัวตนออก “อย่าคิดดูถูกข้า หากตอนนั้นเขาไม่ทำลายพลังตนไป พลังข้าก็คงได้เทียบชั้นเซียนไปแล้ว ใช้นิ้วเดียวบี้ชิงลั่วเยี่ยนยังได้ ไม่ต้องมามากความมากเรื่องอย่างตอนนี้หรอก
“อ้อ? ทรงพลังเช่นนั้นเลยหรือ?”
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว น้ำเสียงทะมึนอย่างน่าประหลาด “ที่เจ้าทำลายพลังตนเองไป คงเป็นเพราะชิงเทียนหลินผู้นั้นกระมัง!”
“หือ?” ชิงอวี่ประหลาดใจ “ท่านพูดถึงเขาทำไมกัน?”
“ได้ยินเจ้าบอกว่าพลังเจ้าอยู่ขั้นสูงแล้ว แต่เจ้ากลับทำลายมันทิ้ง ทำให้ข้าคิดขึ้นมาว่าเจ้าคงจะใส่ใจคนผู้นั้นมาก จนกระทั่งยอมตัดสินใจทำเรื่องเช่นนั้นด้วยความผิดหวังเสียใจอย่างถึงที่สุด” โหลวจวินเหยาเอ่ยบ่นขึ้น ยิ่งพูดนัยน์ตาก็ยิ่งเศร้ากว่าเดิม
ชิงอวี่ไม่เข้าใจในคราแรก ชั่วขณะหนึ่งนางจึงทำความเข้าใจมันได้ว่าเขาหึงนางนี่เอง
นางรู้สึกจนใจอยู่บ้าง ได้แต่เอ่ยออกมาว่า “ข้าเห็นเขาเป็นเพียงคนในครอบครัวที่สนิทชิดเชื้อเท่านั้น”
“แต่เขาไม่เคยคิดกับเจ้าเช่นนั้น” โหลวจวินเหยาพ่นลมหายใจออกมา
“ซึ่งไม่เกี่ยวกับข้า ข้ารู้เพียงว่าหลังจากเขาเปลี่ยนไป ข้าก็ไม่มองเขาเป็นครอบครัวอีก”
ชิงอวี่ไม่อยากเอ่ยถึงคนผู้นั้น นางจึงพาเปลี่ยนเรื่อง “ตอนนี้เสี่ยวเป่ยได้เจอพ่อแม่แล้ว พวกเขาจะรั้งอยู่ในสำนักเซียนแพทย์หรือจะเดินทางไปที่อื่นหรือไม่?”
“ตอนนี้สำนักเซียนแพทย์เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว ดังนั้นคงจะยังไม่เดินทางไปที่ใด เจ้าไม่ต้องห่วง สำนักเซียนแพทย์มีแต่คนดีทั้งนั้น”
ชิงอวี่ยิ้มตอบ “ข้าย่อมเชื่อตามนั้น หากเป็นที่ปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“อืม ข้าจะเดินทางไปสำนักเซียนแพทย์อีกสักสองสามวัน แล้วจะเอาเศษวิญญาณของอาหลานที่เรารวบรวมมาไปด้วย คงช่วยให้นางฟื้นตัวเร็วขึ้นมาก” โหลวจวินเหยาพูดพลางถอนหายใจแผ่ว เขากอดเด็กสาวไว้ เอ่ยน้ำเสียงลังเลขึ้น “อย่าเพิ่งคิดอันใดเลย เจ้าพักผ่อนเถอะ!”
“ท่านไม่ไปหรือ?” ชิงอวี่เงยหน้าถาม
“เจ้าหลับแล้วข้าค่อยไป” โหลวจวินเหยาว่าพลางดันร่างนางแนบอก ไม่ปล่อยให้นางจ้องหน้าตาเขาต่อ “เอาล่ะ เจ้าเป็นเด็กดีเข้านอนได้แล้ว ข้าจะเฝ้ายามให้เจ้าเอง”
แสงหนึ่งวาดผ่านดวงตาชิงอวี่ ราวกับมีอารมณ์หนึ่งแวบผ่านไปโดยเร็ว หากแต่นางไม่เอ่ยคำ เพียงแต่จับมือใหญ่ที่ที่กุมมือนางไว้ให้แน่นขึ้นเท่านั้น
นางเป็นคนตื่นง่าย กระทั่งเสียงหญ้าเสียดสีกันเบา ๆ เพราะลมพัดผ่านยังทำให้นางลืมตาตื่น แต่หลังจากที่โหลวจวินเหยามาอยู่เป็นเพื่อนนางหลายคืนเข้า นางก็ค่อย ๆ หลับลึกขึ้น คล้ายกับหลับตาแล้วก็จะจมลงสู่ห้วงนิทรา รู้สึกสบายใจจนวางความกังวลต่าง ๆ ลงได้
นั่นเพราะนางรู้ว่าบุรุษผู้นี้จะต้องปกป้องคุ้มครองนางได้ นางจึงไม่มีอะไรต้องห่วง
แต่นางไม่รู้ว่าที่เขาบอกจะรอจนกว่านางหลับจึงจะไปนั้น เขาอยู่เป็นเพื่อนนางจนเกือบรุ่งสางตลอด อยากจะอยู่เป็นเพื่อนนางต่ออีกสักนิดเสมอ
เวลาหมุนผ่านไปช้า ๆ ความมืดยามราตรีค่อย ๆ จางหาย โหลวจวินเหยาโน้มตัวลงจุมพิตแก้มนางเบา ๆ ก่อนจะจากไปโดยไร้สุ้มเสียง
————————————————-
มันเป็นฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเย็นยะเยือกเป็นยิ่งนัก
ปีนั้นหนาวเป็นพิเศษ หิมะทิ้งตัวลงมาไม่หยุดหย่อนทั้งเจ็ดวัน กระทั่งสัตว์ขนหนาทั้งตัวยังไม่อาจทานทน มีหลายตัวต้องแข็งตายไป
เหนือกองหิมะขาวคือร่างของหมาป่าหลายตัวที่นอนเรียงรายกัน ไม่ขยับสักนิดเดียว ดูคล้ายกับสิ้นใจไปแล้ว ใต้ร่างพวกมันกำลังมีบางสิ่งบางอย่างค่อย ๆ ผุดขึ้นมา
มือเล็กข้างหนึ่งพลันผุดขึ้นมาจากใต้ร่างหมาป่าตัวหนึ่ง จากนั้นเบื้องล่างก็ขยับมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างหมาป่าหลายตัวถูกเคลื่อนออกด้านข้าง จากนั้นร่างเล็กร่างหนึ่งก็ปีนขึ้นมาจากด้านล่าง
เป็นเด็กน้อยคนหนึ่งอายุได้ราวหกเจ็ดขวบ ดูท่าทางอ่อนแอบอบบางมาก ทั่วทั้งร่างเขาสั่นสะท้านรุนแรง เพราะพวกหมาป่าตายไปนานแล้วร่างจึงไม่เหลือความอบอุ่น เขาจึงหนาวจนตัวแข็ง ผ่านไปนานเข้าจึงทนไม่ไหว ตัดสินใจปีนขึ้นมาจากกองหิมะแทน
เขาอาจต้องตายอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศผิดปกติเช่นนี้ไปเงียบ ๆ ก็เป็นได้
จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงหนึ่งที่ราวกับว่าหูจะแว่วได้ยินไปเองดังขึ้น