บทที่ 262 วิญญาณกลับคืน
บทที่ 262 วิญญาณกลับคืน
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
เขาหนาวจนทั่วร่างสั่นหงึก ๆ แต่น้ำเสียงนั้นราวกับพาความอบอุ่นสายหนึ่งมาให้
เขาพยายามอย่างมากที่จะเงยหน้าขึ้นมา ตรงหน้าเขาคือรองเท้าสีขาวสะอาดคู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกก็เห็นเด็กสาวใบหน้างดงามน่ารัก หน้าตาดูฉงนสงสัย มองมาทางเขาด้วยสายตาเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือไม่?” เด็กน้อยเอ่ยถาม
จากนั้นนางจึงยื่นมือน้อย ๆ มาผลักร่างหมาป่าออกจากเขา นางตัวเล็กเช่นนี้ แต่กลับมีร่างกายแข็งแกร่ง หมาป่าแต่ละตัวตัวใหญ่กว่านางเสียอีก แต่นางกลับผลักพวกมันออกไปโดยง่ายแล้วดึงเขาขึ้นมา
“วันนี้หนาวมากจริง ๆ เจ้าออกมาอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวได้อย่างไร? เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหนหรือ?” เด็กน้อยเบิกตากว้างถามด้วยความสงสัย
เขาไม่ตอบ แต่ใช้นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้า สีหน้าระแวดระวังไม่วางใจ
“เป็นอะไรไป? เป็นเพราะหนาวเกินไปหรือ?”
เด็กน้อยมีนัยน์ตางดงามมาก นางจ้องเขาด้วยความเป็นห่วง รอยยิ้มนางอบอุ่น ให้ความรู้สึกคล้ายแสงตะวันที่พลันฉายลงมายังหิมะที่ตกไม่หยุดมานานหลายวัน
ซึ่งทำเอาเขาไม่ทันระวังตัว ว่ามันจะติดตรึงใจของเขาตลอดไป…
“ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านเอง เจ้าชื่ออะไร?”
ความเย็นชาห่างเหินของเขาไม่ได้ทำให้นางโกรธ นางยื่นมือน้อยน่ารักเข้ามาตรงหน้าเขาพลางเอ่ย “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนไม่ดี ข้าจะช่วยเจ้าเอง ฉะนั้นมากับข้าเถอะ!”
เขาจ้องนางอยู่นาง ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือไปจับมือนางไว้
แต่มือน้อยของนางกลับให้สัมผัสเย็นเยียบกว่ามือเขาที่แข็งเพราะอยู่ในหิมะมาหลายวันเสียอีก
เขาแตะมือนางคราแรกก็ต้องตกใจกับความเยือกเย็นจนรีบผละมือออกทันที
เด็กน้อยสังเกตเห็นจึงเก็บมือกลับมา ถือมือทั้งสองเข้าด้วยกัน พ่นลมหายใจอุ่นใส่สองมือไม่หยุด “ขออภัยด้วย วิชาที่ข้าฝึกมีผลข้างเคียง ทำให้ร่างกายข้าเยือกเย็นเช่นนี้ ขอเวลาข้าเดี๋ยว ข้าถูมือเช่นนี้เดี๋ยวก็ไม่เย็นแล้ว…..”
หากแต่พริบตาต่อมา เขาก็รู้สึกราวกับถูกอะไรดลใจ จึงเอื้อมมือไปจับมือน้อยไว้
เมื่อสบสายตาฉงนของเด็กน้อยแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นช้า ๆ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเอ่ยคำสามคำออกมาได้ “ข้าไม่หนาว”
เขาใช้ชีวิตอยู่กับฝูงหมาป่ามานานหลายปี ไม่เคยเปิดปากพูดสักคำ แต่ก็ยังไม่เสียความสามารถนี้ไป เขาไม่เคยพบเจอมนุษย์จึงไม่มีใครให้พูดคุยด้วย
และถึงแม้จะมี ทุกคนก็กลัวไม่กล้าพูดคุยกับเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
ได้ยินคำเขา เด็กน้อยก็ยิ่งประหลาดใจ สองตานางยิ้มตาหยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “เจ้าพูดได้นี่นา เสียงก็เพราะ ต่อไปเจ้าต้องพูดให้มากนะ”
ริมฝีปากเขาแข็งค้าง ก่อนจะหันหน้าหนีไป ดูเหมือนเขินอยู่หน่อย ๆ
“อย่างน้อยบอกชื่อข้ามาได้หรือไม่? ข้าชื่อว่าชิงอวี่” เด็กน้อยถามต่อ ราวกับเมื่อรู้ว่าเขาพูดได้ยิ่งทำให้นางดีใจ
“ข้าไม่มีชื่อ”
นับตั้งแต่จำความได้ เขาก็อาศัยอยู่กับพวกหมาป่า พวกมันพูดไม่ได้ เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับใคร ดังนั้นจะมีชื่อหรือไม่จึงไม่สำคัญ
เขาจึงไม่รู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องมีชื่อ
“เช่นนั้น….. ข้าตั้งให้ดีไหม?” เด็กน้อยเอียงคอถาม คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “งั้นเจ้าใช้แซ่เดียวกับข้าก็แล้วกัน แซ่ชิงเนอะ? ข้าพบเจ้ายามราตรี เช่นนั้นก็เรียกเจ้าว่าชิงเยี่ยหลีแล้วกัน!”
“ตัว หลี ในชื่อเจ้าไม่ได้หมายถึงการแยกจาก แต่เป็นการกลับมาพบกันหลังจากเวลาผ่านพ้นไปนานแล้วต่างหาก พวกเราเป็นสหายกันแล้ว ต่อไปไม่แยกจากอีก” ใบหน้างามของเด็กน้อยคลี่ยิ้มราวกับบุปผาบาน นัยน์ตาเต็มไปด้วยดาราส่องประกาย ดูงดงามเป็นยิ่งนัก
จ้องเข้าไปในสองตาของนาง มันดึงดูดเขาอย่างน่าประหลาด กลายเป็นภาพที่เขาไม่อาจลืมลงแม้จะผ่านไปนานหลายปี
“เสี่ยวอวี่…..”
ชิงเยี่ยหลีลืมตาขึ้นช้า ๆ นัยน์ตาสีเขียวส่องประกายภายใต้ความมืดมิด
นับตั้งแต่ที่ได้พบชิงอวี่ในโลกใบนี้ เขาก็ไม่ฝันถึงเมื่อก่อนอีก แต่ตอนนี้กลับฝันถึงยามที่ได้พบกันครั้งแรก รู้สึกราวกับต้องแยกจากนางไปชั่วชีวิตก็มิปาน
เขาคิดถึงนางเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าตอนนี้นางเองอยู่ในโลกใบเดียวกัน ทั้งยังรู้ว่านางอยู่ที่ไหนอีกต่างหาก
แต่เขาก็ไม่อาจ ไม่กล้าไปพบหน้านาง
เขาไม่รู้ว่าตนเองจะฝืนไปได้อีกเท่าไหร่
ในตอนที่เขายังไม่รู้เรื่องชาติกำเนิดตนเอง เขารู้สึกว่าอะไรย่อมเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแม้ในกายจะมีเลือดของชนเผ่าหมาป่า หากคนที่เขาใส่ใจไม่ใช้สายตาประหลาดเช่นคนอื่นมองเขา เท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว
แต่เขาคิดเรียบง่ายเกินไป
“เจ้าเพียงแต่ต้องเปลี่ยนนางให้กลายเป็นหมาป่าเช่นเดียวกับเจ้า จากนั้นจึงจะใช้ชีวิตร่วมกันได้…..”
ชิงเยี่ยหลีร่างแข็งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะยกมือขึ้นกุมหน้า ริมฝีปากเผยยิ้มขื่น
เขาจะทำร้ายนางได้อย่างไร?
ให้เขาเจ็บคนเดียวเสียยังดีกว่า
—————————————–
หลังจากใช้วิชาสะกดจิตรักษาอยู่หลายวัน ชิงลั่วเยี่ยนก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก กระทั่งได้หลับอย่างสงบภายใต้วิชาสะกดจิต ทำให้พวกคนที่ถูกนางรังแกถอนหายใจโล่งอกออกมา
ในวันนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ชิงลั่วเยี่ยนส่งคนให้เชิญชิงอวี่มากินมื้อเช้าเป็นเพื่อนนาง
อาหารทั้งหลายเป็นของหายากบนแดนเมฆาสวรรค์ แค่มองดูอาหารเช้าเหล่านี้ก็รู้ว่าชิงลั่วเยี่ยนใช้ชีวิตหรูหราเพียงไหนแล้ว
อาจเพราะชิงอวี่แสดงท่าทีอ่อนน้อมให้ความร่วมมือโดยดี อีกทั้งยังช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับให้ได้ ความสงสัยน้อย ๆ ที่ชิงลั่วเยี่ยนมีต่อเด็กสาวจึงพลันมลายหายไปเสียมาก
“เจ้าลองดู จานนี้หาได้แค่ในอารามจันทร์กระจ่างเท่านั้น” ชิงลั่วเยี่ยนเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณท่านเจ้าอาราม”
ชิงอวี่ไม่กลัวว่าในอาหารจะมีพิษ ตอนนี้นางยังมีประโยชน์ ดังนั้นจึงลองตักอาหารตรงหน้าเข้าปากดู
ยามมื้อเช้าใกล้เสร็จสิ้น ชิงลั่วเยี่ยนจึงมองประเมินเด็กสาวดู “ก่อนหน้านี้ข้ามองเจ้าผิดไป กระทั่งหัวหน้านักบวชยังรักษาอาการข้าไม่ได้ แต่เจ้ากลับทำได้ ข้าต้องตอบแทนเจ้าอย่างงามเสียแล้ว”
“ท่านเจ้าอารามกล่าวชมมากไปแล้ว ข้าเพียงแต่โชคดีจึงช่วยท่านได้ ข้าเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ จากแดนต่ำ แต่ท่านเจ้าอารามไม่เพียงอนุญาตให้ข้ารั้งอยู่ ทั้งยังช่วยให้ข้าบำเพ็ญเพียรได้ดีขึ้น ข้าควรจะเป็นฝ่ายขอบคุณท่านมากกว่า” ชิงอวี่ก้มหน้าตอบเสียงนอบน้อม ราวกับซาบซึ้งกับความเมตตาที่ตนรับนัก
เห็นดังนั้น นัยน์ตาชิงลั่วเยี่ยนก็มีแววยิ้มแทบมองไม่เห็นวาบผ่าน แต่พริบตาเดียวก็หายไป นางเอ่ยขึ้นต่อ “อีกไม่กี่วัน ขุมอำนาจทั้งหลายบนแดนเมฆาสวรรค์จะมาประชุมกันเรื่องยอดเขาใจสงบ ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปด้วย”
“ยอดเขาใจสงบ?” ชิงอวี่ถามเสียงฉงน “มันคืออะไรหรือ?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ รู้แค่มันจะเป็นสถานที่ให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาก็พอ”
ตอนขากลับจากเรือนพักชิงลั่วเยี่ยน คำถามนั้นยังค้างคาอยู่ในใจนางนัก
ครั้งนี้สตรีผู้นั้นมีแผนอะไรอีก?
แม้นางจะได้ยินชื่อยอดเขาใจสงบจากโหลวจวินเหยามาก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นสถานที่อะไรกันแน่ รู้เพียงว่ามันอันตรายมากเท่านั้น
สถานที่อันตรายที่สุดบนแดนมุกหยกยังเทียบไม่ได้
มันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งลึกลับและอันตรายกว่าขุมอำนาจทั้งห้า มีแต่ผู้ที่ทรงพลังอย่างแท้จริงจึงจะคิดไปได้ ไม่มีใครรู้ที่ตั้งของมันแน่ชัด แต่เมื่อถึงเวลามันก็จะปรากฏขึ้นเอง ให้เหล่าคนที่มีคุณสมบัติพร้อมได้เดินทางเข้าไป
อีกฟากหนึ่งของแดนเมฆาสวรรค์ โหลวจวินเหยาเพิ่งเดินทางออกจากที่พักชิงอวี่ แต่กลับเปลี่ยนทิศกลางทาง เขามุ่งหน้าไปทางสำนักเซียนแพทย์แทน
แต่เพราะมีใครบางคนที่เขายังไม่อยากเห็นหน้าในตอนนี้ เขาจึงไม่คิดเผยตัว เพียงแต่มอบสิ่งที่พกติดตัวมาให้ไป๋จือเยี่ยนไปเท่านั้น ก่อนจะจากไปพร้อมคำสั่งไม่กี่คำ
สิ่งนั้นคือเศษวิญญาณของชิงหลานเฟยที่เขาเก็บรวบรวมมานั่นเอง
เมื่อครั้งที่วิญญาณหลักของชิงหลานเฟยหนีออกมาได้ ร่างเนื้อของนางก็ออกตามหาวิญญาณหลักเช่นกัน นอกจากเศษวิญญาณที่ถูกเก็บอาไว้แล้ว เศษวิญญาณอื่น ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแดนต่างก็พากันหาทางกลับมายังร่างนางเอง ในตอนนี้จึงเหลือเพียงวิญญาณไม่กี่ส่วนที่ยังไม่กลับคืนเท่านั้น
และเมื่อเศษวิญญาณทั้งหลายกลับคืนสู่ที่ ชิงหลานเฟยก็จะค่อย ๆ ฟื้นคืนพลังบำเพ็ญ ไม่อ่อนแอเช่นตอนนี้อีก
ชิงหลานเฟยกำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียง ไม่ไกลคือมุกฟื้นคืนวิญญาณที่วางอยู่ เศษวิญญาณค่อย ๆ ไหลออกมาจากมุกนั้น แล้วแปรเปลี่ยนเป็นจุดแสงเล็ก ๆ ลอยเข้าร่างชิงหลานเฟยไป
เมื่อจุดแสงทั้งหลายลอยเข้าร่างไป ใบหน้างามที่เดิมทีแต้มรอยซีดก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่สีเลือด สองแก้มเปลี่ยนเป็นสีกุหลาบจาง ยิ่งทำให้นางดูสาวดูสวยราวกับเด็กสาวคนหนึ่ง
แต่ยิ่งร่างกายฟื้นคืน ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายยิ่งปรากฏขึ้นในหัวนางเป็นพัก ๆ จนนางต้องขมวดคิ้วแน่น
คนชราคนหนึ่งที่นางเห็นหน้าไม่ชัดกำลังพูดเสียงเข้มกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ก่อนเขาจะสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว
นางยิ่งขมวดคิ้วแน่น นางอยากมองหน้าทั้งสองคนให้ชัด ๆ แต่ไม่อาจทำได้ ทั้งสองคนยิ่งดูห่างไกลจากนางไปเรื่อย ๆ
“หลานเฟย! ได้เวลาเจ้ากลับไปแล้ว!”
“ไม่…”
น้ำเสียงโกรธขึ้งทำเอานางสะดุ้งตื่น ดีดตัวขึ้นมาทันใด แผ่นหลังชุ่มเหงื่อเย็น หัวใจเต้นแรงด้วยความสั่นกลัว
“เฟยเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น?” ประตูพลันถูกผลักเปิด ม่อจิ่งอวี้เดินเข้ามาดูนางด้วยสีหน้าเป็นห่วง เขายืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงดังจึงเข้ามาทันที
เมื่อเห็นสีหน้านางผิดปก ทั้งตายังดูแดง ๆ ท่าทางเหมือนไร้หนทาง ม่อจิ่งอวี้จึงรีบก้าวเจ้ามาดึงนางมากอดแล้วเอ่ยปลอบโยน “เจ้าเป็นอะไร? เจ็บตรงไหนงั้นหรือ?”
หรือเพราะเศษวิญญาณเพิ่งจะกลับคืนมา ร่างกายนางจึงยังไม่อาจปรับตัวได้?
ชิงหลานเฟยสงบจิตใจลงเมื่อได้อ้อมกอดอุ่น นางจึงสำรวมท่าที กอดเขาไว้แน่นแล้วเรียกชื่อเขาออกมา “จิ่งอวี้…..”
“ข้าอยู่นี่ บอกสิว่าเกิดอะไรขึ้น” ม่อจิ่งอวี้เอ่ยเสียงเบา ตบหลังปลอบนาง
ชิงหลานเฟยกำมือแน่นก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ “เมื่อครู่ข้าเห็นภาพแปลก ๆ ราวกับว่า….. ข้าลืมบางอย่างไป”
“เจ้าเห็นอะไร?”