บทที่ 263 ปกป้องเกินเหตุ
บทที่ 263 ปกป้องเกินเหตุ
ชิงหลานเฟยขมวดคิ้วมุ่น หลับตานึกย้อนเหตุการณ์ แต่กลับจำได้เพียงภาพฉากไม่ชัดเจน ไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
“ว่าอย่างไร? จำอะไรได้บ้างหรือไม่?” ม่อจิ่งอวี้เห็นนางขมวดคิ้วแน่นเช่นนั้นจึงถามขึ้น
“ข้า….. จำไม่ได้” ชิงหลานเฟยมีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมอก “ข้าไม่สบายใจเลย เหมือนกับว่าพวกมันเป็นความทรงจำอันเลวร้าย…..”
“หากเป็นเรื่องร้าย ๆ ก็อย่าคิดอีกเลย มีข้าอยู่ ไม่เกิดเรื่องกับเจ้าหรอก” ม่อจิ่งอวี้กุมมือนางไว้แล้วเอ่ยปลอบโยนเสียงนุ่ม “ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง?”
ชิงหลานเฟยเรียกพลังวิญญาณขึ้นมา ให้มันลองหมุนดูรอบกายเพื่อตรวจดูสภาพร่าง รู้สึกราวกับว่าเส้นพลังที่เคยอ่อนแอกลับแกร่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว บ่งชี้ว่าพลังบำเพ็ญนางค่อย ๆ กลับคืนมาแล้ว
นางจึงคลี่ยิ้มออกมา “รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว จวินเอ๋อร์คงพยายามมามาก ต่อไปข้าต้องหาโอกาสบอกขอบคุณเขา”
“หือ?” ม่อจิ่งอวี้ประหลาดใจอยู่บ้าง ก่อนจะขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ “เรื่องนี้เกี่ยวพันอันใดกับเจ้าแคว้นมารกัน?”
“ประมุขน้อยสำนักเซียนแพทย์เล่าให้ข้าฟังแล้ว หลังจากกายเนื้อข้าตาย วิญญาณสลาย จวินเอ๋อร์ก็คอยปกป้องดูแลกายเนื้อข้าเป็นอย่างดี ทั้งยังเดินทางไปหลายแดนเพื่อตามหาเศษวิญญาณของข้า หวังจะฟื้นคืนชีพข้าขึ้นมา”
ชิงหลานเฟยหลุบตาลงพลางยิ้มจนใจ “หลายปีที่ผ่านมา เกรงว่าเด็กโง่คนนั้นคงจะเชื่อว่าข้าจะยังฟื้นกลับมาได้กระมัง”
นางพูดถึงจุดนี้ก็หยุดไปพักหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองม่อจิ่งอวี้ที่หน้าตาไม่พอใจเท่าไร “จวินเอ๋อร์เป็นเด็กดี มีความสามารถ หากเสี่ยวอวี่ของเราชอบเขาจริง ๆ ข้าก็จะไม่ห้ามพวกเขา”
ม่อจิ่งอวี้ได้ยินคำนางสีหน้าพลันทะมึน ราวกับไม่คิดว่านางจะเอ่ยเช่นนั้นออกมา
“เจ้าจะยอมให้ลูกสาวของเราไปอยู่กับพวกนอกรีตเช่นนั้นได้หรือ? ช่วงนี้ข้าลองตรวจสอบเรื่องเขามาไม่น้อย เขาไม่ธรรมดาทีเดียว อีกทั้งเจ้ารู้จักเขามานานแค่ไหนเชียวถึงได้เชื่อใจเขามากมายเช่นนั้น? เจ้าคิดว่าเจ้ารู้จริง ๆ หรือว่าแท้จริงเขามีนิสัยอย่างไร?”
ยังไม่ต้องกล่าวเรื่องอื่น แค่ได้ยินม่อจิ่งอวี้ถามเสียยืดยาวเช่นนี้ก็เห็นแล้วว่าเขาไม่ชอบโหลวจวินเหยาเพียงไหน
ชิงหลานเฟยเห็นเขามีปฏิกิริยาเช่นนั้นก็ชะงักไป อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ “ท่านรอพบหน้าเด็กคนนั้นเสียก่อนเถอะ แล้วท่านจะรู้เอง!”
อาการเช่นนี้คล้ายจะพบเห็นได้ทั่วไปในตัวบิดาที่เป็นห่วงลูกสาวตนนักหนา กลัวว่าลูกจะเลือกคนผิดแล้วเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต้องทนทุกข์ทรมาน
นางจะว่าอย่างไรดีเล่า?
สายตาดูคนของนางค่อนข้างเฉียบคม อย่างน้อยก็บอกได้ว่าเมื่อครั้งที่โหลวจวินเหยายังเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบท่องไปทั่วแดน นางมองเพียงคราหนึ่งก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา สักวันหนึ่งต้องได้ยืนเหนือผู้อื่น อนาคตไกลเป็นแน่
และเมื่อครั้งที่ทั้งสองแยกทางกัน นางก็คิดว่านางกับเขาเพียงแค่คนเคยพบหน้ากันก็เท่านั้น
แต่เพราะโชคชะตานำพา ตอนนี้เด็กคนนั้นจึงมาพัวพันกับบุตรสาวของนางเสียได้ โลกนี้มันช่างน่าประหลาดโดยแท้
อาจเพราะโชคชะตาลิขิตมากระมัง
“ท่านเจ้าอาราม มีคนจากแคว้นมารมาขอรับ”
เยว่เฝินหน้าตายแสนเย็นชาผู้สวมชุดดำทั้งตัวเดินเข้ามารายงาน
ชิงลั่วเยี่ยนในวันนี้มีอารมณ์มานั่งวาดภาพ นางไม่ได้แตะพู่กันมานานหลายปี ทว่าฝีมือไม่ได้ตกไปสักนิด
บนโต๊ะคือภาพทิวทัศน์ที่นางเพิ่งวาดเสร็จ ดูเหมือนจริงเป็นอย่างมาก หญ้าทุกเส้น ต้นไม้ทุกต้นดูสมจริง จนหากว่ามีลมพัดผ่าน ภาพวาดไร้ชีวิตนี้ก็คงจะไหวไปตามแรงลมได้ ผิวน้ำก็อาจเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมา
ชิงอวี่ยืนอยู่ข้างกายนางคอยช่วยเหลือ เมื่อเห็นภาพวาด นัยน์ตานางก็ฉายแววชื่นชมขึ้น “ฝีแปรงของท่านเจ้าอารามน่ายกย่องจริง ๆ กระทั่งบัณฑิตนักวาดเลื่องชื่อยังต้องหลีกทางให้”
“เมื่อก่อนฝีมือการวาดรูปของท่านเจ้าอารามเลื่องชื่อไปทั่วแดนเมฆาสวรรค์ ไม่มีสตรีใดในรุ่นนางเทียบได้ สมแก่ฐานะเป็นที่รู้จักและความสามารถโดยแท้” ผู้อาวุโสหนวดขาวข้าง ๆ เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะขึ้น
“ท่านเจ้าอารามนับเป็นแบบอย่างให้สตรีทั้งหลายจริง ๆ” ชิงอวี่เลียแข้งเลียขาอีกฝ่ายหน้านิ่ง
ชิงลั่วเยี่ยนใบหน้าไร้อารมณ์ ทำเพียงยิ้มบางเบาออกมาเท่านั้น นางวางพู่กันลงไม่เท่าไหร่ เยว่เฝินก็ก้าวเข้ามา
“ไม่ใช่ว่าคนจากแคว้นมารเห็นว่าตนอยู่เหนือผู้อื่นหรือ? คำเชิญทั้งหลายที่ข้าส่งไปต่างถูกปฏิเสธกลับมา แล้วครานี้พวกเขามาหาข้าถึงหน้าประตู? พวกเขามีอุบายอะไรกัน?” ชิงลั่วเยี่ยนยกมุมปากขึ้น เอ่ยถามเหน็บแนม
เยว่เฝินพลันตอบ “พวกเขาเพียงมาส่งสาร จากนั้นก็จากไปทันทีขอรับ สารนั้นบอกว่าเมื่อคราก่อนเป็นเพราะจอมมารไม่ได้กลับมานาน ทั้งพวกเขาก็มีเรื่องมากมายในแคว้นให้ต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่อาจตอบกลับคำเชิญ แต่ครั้งนี้เป็นท่านจอมมารที่สั่งให้คนมาส่งสารเอง บอกว่าจะเดินทางมาเยี่ยมท่านเจ้าอารามที่อารามศักดิ์สิทธิ์”
“เข้าใจแล้ว เจ้าไปได้”
เยว่เฝินรับคำสั่ง สายตาเหลือบมองไปทางชิงอวี่เร็ว ๆ ก่อนจะถอยออกไป
“อวี่ชิง เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” ชิงลั่วเยี่ยนเคลื่อนสายตามองเด็กสาวข้าง ๆ แล้วเอ่ยถามขึ้น
เมื่อจู่ ๆ ถูกเรียก ชิงอวี่จึงตกใจเล็กน้อย ก่อนจะถามย้อนกลับไปด้วยความฉงน “อะไรนะเจ้าคะ?”
ชิงลั่วเยี่ยนยกยิ้ม “เจ้าแคว้นมารเป็นคนประหลาด ข้าส่งสารไปหลายครั้งว่าอยากเดินทางไปหา แต่เขาปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขาคิดจะมาถึงถิ่นข้า เจ้าไม่คิดว่ามันมีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือ?”
ชิงอวี่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงลังเลออกมา “เขา….. พยายามเอาใจท่านกระมัง?”
ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ อีกทั้งยังไม่เห็นจำได้ว่าเขาบอกนางเรื่องนี้…..
เห็นชิงอวี่ตอบมาเช่นนั้น ชิงลั่วเยี่ยนจึงหัวเราะเยาะ “เอาใจข้า? แคว้นมารไม่ได้มีอำนาจด้อยไปกว่าอารามศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าด้านใด แม้เขาไม่ได้กลับมานานจริง ๆ แต่รากฐานแคว้นมารที่สร้างมาก็คงไม่อ่อนกำลังลงมากเช่นนั้น อีกทั้งเขายังเป็นคนเย่อหยิ่งเป็นยิ่งนัก มองดูคนอื่นด้วยสายตาหยามเหยียด ทำไมจู่ ๆ ต้องมาเอาอกเอาใจคนอื่น ทำให้ดูเหมือนตัวเขาเป็นคนอ่อนแอเล่า? ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นไปได้หรอกเว้นเสียแต่พระอาทิตย์จะขึ้นทิศตะวันตก”
ชิงอวี่ “…..”
นางรู้นิสัยเขาดี โหลวจวินเหยาคงไม่ทำเช่นนั้นจริง ๆ
ชิงลั่วเยี่ยนคงรู้สึกว่าถามชิงอวี่ไปก็คงไม่ได้คำตอบ นางจึงหันไปหาผู้อาวุโสหนวดขาวแทน “ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
“ข้าน้อยคิดว่าที่จอมมารมาที่นี่ต้องเกี่ยวพันกับยอดเขาใจสงบแน่ พวกคนแคว้นมารมีแต่พวกโหดเหี้ยม ได้ยินมาว่าจอมมารกำลังหาทางแย่งที่จากขุมอำนาจอื่นอยู่ เป็นไปได้สูงว่าเขาคงมาเกลี้ยกล่อมให้ท่านเจ้าอารามยอมมอบที่เพื่อเดินทางขึ้นยอดเขาใจสงบให้”
ผู้อาวุโสหนวดขาวเอ่ยเหตุผลที่ดูเป็นไปได้ ตรงจุดสำคัญ เกือบจะกล่อมชิงอวี่ให้เชื่อได้ไปแล้ว ชิงลั่วเยี่ยนเองก็คล้อยตามไปมากเช่นกัน คิดว่าคำพูดอีกฝ่ายมีเหตุผลไม่น้อย
รอยยิ้มเหยียดมุมปากชิงลั่วเยี่ยนยิ่งกดลึกขึ้น “หึ ถึงเขาจะอยาก ก็ต้องดูก่อนว่าเขามีคุณสมบัติพอหรือไม่ก่อน”
วันต่อมา เมื่อรู้ว่าท่านจอมมารจะเดินทางมายังอารามศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาย่อมเตรียมการทุกอย่างเป็นอย่างดี
สถานที่ถูกทำความสะอาดเสียสะอาดสะอ้าน ไม่ใช่แค่ทำความสะอาดตามปกติเช่นเดิม ทุกซอกทุกมุมสะอาดจนน่ากลัว เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละที่ก็มิปาน
นับตั้งแต่ชิงอวี่ถูกย้ายมาอยู่ที่ตำหนักหลักเพื่อมารับใช้ข้างกายชิงลั่วเยี่ยน นางก็ใช้ชีวิตล่องลอยอย่างสบายใจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปทำงานใช้แรง เพราะอย่างไรนางก็ยังไม่ค่อยคุ้นที่คุ้นทางเท่าไหร่ แทนที่จะช่วยอาจก่อปัญหาแทนได้
ดังนั้นเมื่อเห็นผู้ช่วยคนอื่น ๆ ทำงานกันงก ๆ นางจึงยิ่งดูเกียจคร้านมากกว่าเดิมหลายเท่า
นางบังเอิญเห็นเยว่เฝินยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของโถงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเย็นชาไร้อารมณ์ ด้วยนางเบื่อจนไม่รู้จะทำอะไร ในใจจึงยังเกิดแผนร้ายขึ้น นางเดินตรงเข้าไปหาเขา
เยว่เฝินพลันเห็นใบหน้างามหนึ่งยื่นเข้ามา ใบหน้าเขาแข็งค้างไป ก่อนจะแอบถอยไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบออกมา “ทำอะไรของเจ้า?”
“เปล่า ช่วงนี้ข้าไม่เห็นท่านเยว่เฝินก็เลยคิดถึงอยู่บ้าง ข้าเลยเดินมาทักทายเสียหน่อย” ชิงอวี่ตอบแล้วกะพริบตาใส
ได้ยินดังนั้นเยว่เฝินก็อึ้งไป ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อแทบมองไม่เห็นแวบหนึ่ง ก่อนเขาจะหันหน้าหนีไปราวกับไม่อยากเสวนากับนางอีก
เห็นดังนั้นชิงอวี่ก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่เดินตามไปอีกด้านแล้วชวนคุย “ท่านว่าใครจะเหนือกว่าหากท่านเจ้าอารามของเรากับท่านจอมมารประลองฝีมือกัน?”
เยว่เฝินเผยสีหน้าเหยียดพลางเอ่ย “ต้องเป็นท่านเจ้าอารามที่แกร่งกว่าอยู่แล้ว แม้จะไม่อาจดูถูกจอมมารผู้นั้น แต่เขาก็ยังอายุน้อย ท่านเจ้าอารามอายุมากกว่าตั้งสี่ร้อยกว่าปี หมายความว่ามีพลังบำเพ็ญมากกว่าถึงสี่ร้อยปี เขาย่อมไม่อาจเทียบขั้นกับท่านเจ้าอารามได้”
“อย่างนั้นเองหรือ!” ชิงอวี่ พยักหน้าคล้ายเข้าใจ จากนั้นก็คุยต่อ “ข้าเลยสงสัยเลยว่าปีนี้ท่านเยว่เฝินอายุเท่าไหร่แล้วหนอ?”
เยว่เฝินหยุดไปชั่วอึดใจแล้วเอ่ยขึ้น “ปีนี้ก็สองร้อยห้าสิบปีแล้ว”
ชิงอวี่ได้ยินตัวเลขก็เกือบสำลักน้ำลายตนเอง อย่ามาโทษนางเชียวนะ ก็ตัวเลขนั่นมันน่าขันมากนี่นา ด้วยเพราะตัวเลข 250 นั้นเป็นคำสแลงน่าขบขันที่เอาไว้ด่าคนว่าไม่เต็มเต็งได้ด้วยอย่างไรเล่า
แต่เมื่อรู้อายุเยว่เฝินแล้ว ชิงอวี่จึงจำได้ว่าโหลวจวินเหยาเคยบอกนางมาก่อนว่าเขาอายุเพียงสองร้อยเจ็ดปีเท่านั้น
เช่นนั้น….. บุรุษหนุ่มอย่างเยว่เฝินผู้นี้ แท้จริงแล้วมีอายุมากกว่าโหลวจวินเหยาหลายสิบปีเชียวหรือ?
ดูออกยากมากจริง ๆ
ความสามารถในการคงความเยาว์เช่นนี้มันจะน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว
ทว่าคำที่เยว่เฝินเอ่ยเยาะใครบางคนว่าด้อยกว่าชิงลั่วเยี่ยนกลับรู้สึกว่ากระทบนางอยู่บ้าง
นางจึงเริ่มกางปีกปกป้องเกินเหตุทันที
“ท่านเยว่เฝิน ข้ามองไม่ออกเลยว่าท่านอายุมากเช่นนี้แล้ว ทั้งยังแก่กว่าจอมมารเสียอีก ข้าจึงสงสัยอยู่บ้างว่า หากเทียบกับจอมมารแล้ว ท่านจะแกร่งกว่าเขาหรือไม่? สิ่งที่ท่านว่ามาเมื่อครู่ข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่ออายุมากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า พลังบำเพ็ญย่อมแกร่งกว่า เป็นเช่นนั้นกระมัง?”
ชิงอวี่ทำหน้าตาใสซื่อมองเขา ยืนรอคำชี้แนะอย่างนอบน้อม
ทว่าเยว่เฝินกลับนิ่งงันไป ไม่รู้จะตอบคำนางอย่างไร
เขาบอกไปจริง ๆ ว่าพลังบำเพ็ญของจอมมารนั่นไม่อาจเทียบขั้นกับท่านเจ้าอารามได้เพราะอีกฝ่ายมีอายุน้อยกว่าท่านเจ้าอารามมาก
แต่จู่ ๆ นางกลับจี้คำถามมาที่เขาเสียอย่างนั้น
จอมมารกับเขา….. เขาจะไปเทียบได้หรือ?
ฝ่ายหนึ่งเป็นจอมมารครองขุมอำนาจหนึ่งบนแดนเมฆาสวรรค์ ตัวเขาเป็นเพียงลูกศิษย์อารามศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ไม่อาจนำมาเทียบกันได้
อีกทั้งพลังบำเพ็ญของจอมารนั่น แม้จะด้อยกว่าท่านเจ้าอาราม แต่ก็แกร่งพอจะขยี้คนระดับเดียวกันกับเขาได้ไม่ยากเย็น…..
หรือเด็กคนนี้จะจงใจ?