บทที่ 264 ใครแหย่ใคร?
บทที่ 264 ใครแหย่ใคร?

เห็นใบหน้าเย็นชาบนใบหน้าหล่อเหลาของเยว่เฝินค่อย ๆ ปริแตกต่อหน้า ชิงอวี่ก็กลั้นความรู้สึกอยากขำไว้พลางเอ่ยหน้าเครียด “ดูท่าคำถามจะยากไป ไม่แปลกที่ท่านเยว่เฝินจะไม่รู้…..”

จากนั้นนางก็หมุนตัวเดินจากไป

“…..”

เยว่เฝินสีหน้าทะมึนลง มองเด็กสาวที่เดินจากไปช้า ๆ กำมือแน่นจนได้ยินเสียงลั่น

ดูท่าหลังจากที่ชิงอวี่ถูกย้ายกลับตำหนัก และชิงลั่วเยี่ยนเรียกตัวมาบ่อยเข้า นางก็ยิ่งโอหังมากขึ้นทุกที กระทั่งทำตัวอวดดี ทำให้เยว่เฝินโกรธอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ทำอะไรนางไม่ได้

สตรีผู้ช่วยในชุดสีชมพูทั้งหลายหน้าตาอ่อนโยน เดินถืออาหารหน้าตาประณีตเลิศรสเข้ามา ก่อนจะค่อย ๆ วางมันลงบนโต๊ะยาว

ไม่รู้ว่าเป็นเพียงภาพมายาหรือไม่ แต่คล้ายกับต้นไม้ดอกไม้ทุกต้นในอารามศักดิ์สิทธิ์ต่างถูกตัดแต่งอย่างดี ราวกับชิงลั่วเยี่ยนอยากแสดงมารยาทอันดีเพื่อต้อนรับคนจากแคว้นมาร

ดูท่าใครบางคนจะมีชื่อเสียงที่นี่มากเลยกระมัง? ชิงอวี่คิดในใจ

ณ แคว้นมาร ที่ห่างจากอารามจันทร์กระจ่างนับพันลี้…..

ในวันนี้ เห็นได้ยากนักที่จะเห็นโหลวจวินเหยาสวมชุดสูงส่งสง่างามที่เหมาะกับงานเลี้ยงหรูหราใหญ่โต แม้จะยังเป็นชุดสีม่วงสีโปรดของเขา แต่เฉดสีก็เข้มมากจนไม่ต่างจากนัยน์ตาสีม่วงมีเสน่ห์คู่นั้นของเขายามโกรธเกรี้ยวเลย

ใบหน้าที่มีผิวเรียบเนียนอยู่แล้ว เมื่อได้ชุดสีม่วงเข้มลึกล้ำมามองคู่กัน ผิวนั้นยิ่งดูขาวเนียน ใบหน้าไร้ที่ติพร้อมทั้งริมฝีปากบางยกขึ้นเป็นยิ้มจาง ท่าทางมีเสน่ห์ชวนมองของเขาทั้งดูลึกลับและน่ากลัวไปพร้อมกัน

ไป๋จือเยี่ยนนั้นคล้ายกับในร่างไร้กระดูก ทรุดร่างลงนอนเอื่อยอยู่ที่มุมหนึ่ง สีหน้าดูเหยียดหยามพลางเอ่ยคำ “เจ้าคิดว่าใบหน้าเจ้ายังลวงสตรีมาได้ไม่มากพอหรือ? วันนี้จึงได้แต่งองค์ทรงเครื่องเสียหล่อเหลา ไม่กลัวหรือไรว่าจะไม่ได้ออกมาครบส่วน เนื้อถูกแทะจนเหลือแต่กระดูก?”

โหลวจวินเหยาก้มลงมองคนก่อนจะหัวเราะเยาะออกมา “ข้าเพียงเปลี่ยนชุดเท่านั้น ตาข้างไหนของเจ้าที่มองว่าข้าแต่งองค์ทรงเครื่อง? ถึงจะริษยาที่ข้าหน้าตาดีกว่าเจ้าอย่างไร แต่ก็ไม่เห็นต้องใช้วาจาร้ายกาจเช่นนี้กระมัง?”

จู่ ๆ ถูกเยาะเย้ยเช่นนี้ ไป๋จือเยี่ยนจึงปิดปากฉับทันที

แต่ก็ดูว่าอีกฝ่ายจะแค่เปลี่ยนชุดอย่างเดียว ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยจริง ๆ

คนเรางามเพราะชุดได้จริง ๆ เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าหมอนี่มีคุณสมบัติที่เอาไว้ล่อลวงหญิงสาวทั้งหลายได้เป็นอย่างดี

อาจเพราะเห็นหน้าจนเบื่อแล้วกระมัง จึงไม่คิดว่ามันวิเศษอะไรหนักหนา

“วันนี้เจ้าไม่ต้องไปกับข้า อยู่ในแคว้นมารนี่ล่ะ หรือเจ้าอาจจะไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อเจ้าที่สำนักเซียนแพทย์ หรือจะไปเยี่ยมอาหลานก็ยังได้” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงเรียบ ยกมือขึ้นรีดรอยยับบนแขนเสื้อ

“ทำไมเล่า?” ไป๋จือเยี่ยนถามเสียงฉงน

“เจ้าสนิทกับจิ้งจอกน้อย หากเห็นนางเข้าความคงแตก ชิงลั่วเยี่ยนผู้นั้นขี้ระแวง หากเจ้าแสดงความผิดปกติแม้สักนิดที่นั่นก็อาจทำให้จิ้งจอกน้อยตกอยู่ในอันตรายได้”

โหลวจวินเหยาอธิบาย หันไปมองคนที่รออยู่หน้าประตูแล้ว “วันนี้ปีศาจน้อยจะเดินทางไปกับข้า”

ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ราวกับพลันเข้าใจบางอย่าง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงฉายขึ้นมา “เจ้าจะไปเยี่ยมพวกนั้น หรือจะไปท้าทายคนพวกนั้นกันแน่?”

เจ้านี่ปกป้องคนแบบหน้ามืดตามัวอีกแล้ว

เขายังจำได้ว่าไม่นานก่อนหน้านี้ ปีศาจน้อยตกหลุมพรางของพวกสมาพันธ์นักล่าจนได้รับบาดเจ็บ เป็นเพราะมีคนจากอารามศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือเข้าแทรก

เม่ยจีเสียสติคลุ้มคลั่งไประยะหนึ่งทีเดียว ไล่ทำลายฐานที่มั่นของสมาพันธ์นักล่าไปหลายแห่ง แต่ก็ยังไม่คล้ายโกรธ หากไม่ได้ชิงอวี่ที่เป็นนักปรุงยามือฉมังมอบยารักษาปีศาจน้อยไว้ละก็ เกรงว่าเม่ยจีก็คงตามไปล้างแค้นถึงที่อารามศักดิ์สิทธิ์แล้ว

ส่วนปีศาจน้อยนั้นก็ลึกลับนัก ช่างเป็นบุรุษยากจะหยั่งถึง

“นัยน์ตาปีศาจม่วง” ที่โหลวจวินเหยาครอบครองแต่เกิดนั้น ได้รับสืบทอดมาจากชนเผ่าโบราณอันลึกลับ พวกมันมีพลังโจมตีรุนแรง คนธรรมดาไม่อาจแม้กระทั่งจ้องตรง ๆ ไม่เช่นนั้นจะไม่อาจทานทนพลังกล้าแข็ง ทำให้เลือดไหลย้อนกลับ ร่างระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ

จนถึงวันนี้ นอกจากชิงอวี่ที่เรื่องไม่นึกฝันมากมายแล้ว มีเพียงปีศาจน้อยเท่านั้นที่ยังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนภายใต้นัยน์ตาคู่นั้น

และเพราะเขาเองก็เกิดมาพร้อมดวงตาประหลาดที่เรียกว่า “เนตรโลกันตร์” เช่นกัน

ใครก็ตามที่เกิดมามีดวงตาแตกต่างเช่นนี้มักมีชะตาไม่ธรรมดา

เมื่อจ้องดวงตาพวกนั้นนานเข้าจะทำให้กลายเป็นคนใจร้อนหงุดหงิดง่าย ราวกับตนอยู่บนโลกที่มีแต่การฆ่าล้างฆ่าฟัน มีแต่ต้องสังหารมิหยุดหย่อนเท่านั้นจึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์นั้นได้ นับเป็นตัวการชั่วร้ายที่ขับไสคนลงหุบเหวแห่งความตาย

ปีศาจน้อยเอง มองมุมหนึ่งก็เป็นคนที่คล้ายกับโหลวจวินเหยา

แต่กลิ่นอายนั้นกลับขัดแย้งกันอย่างน่าขันสิ้นดี ทั้งใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กตัวน้อย ราวดอกไม้บานสะพรั่งไร้มลทิน หยัดยืนอยู่โดดเดี่ยวปลีกตัวออกจากใต้หล้า นัยน์ตาใสกระจ่างราวกับจะมองผ่านไปได้ จิตใจไม่ถูกความสับสนวุ่นวายและโลกอันโสมทำให้หมองหม่นเลยสักนิด

ใบหน้าเขาอ่อนโยนบริสุทธิ์ราวกับเซียนเช่นนี้ แต่กลับเกิดมาพร้อมกับนัยน์ตาที่ชั่วร้ายนัก

ไม่รู้ว่าเขามายังแคว้นมารเมื่อไร แต่เขาติดตามอยู่ข้างกายโหลวจวินเหยานานแล้ว เป็นคนที่รู้ใจโหลวจวินเหยาดี เป็นคนรอบคอบเฉลียวฉลาดมากฝีมือคนหนึ่ง

เมื่อคืนก่อน ๆ ที่โหลวจวินเหยาไปหาชิงอวี่ เขาเดินทางผ่านอุโมงค์มิติ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เขาเดินทางไปเยี่ยมเยือนอารามศักดิ์สิทธิ์อย่างโจ่งแจ้ง ต้องมีการป่าวประกาศประโคมข่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้

อีกทั้งเขายังใส่ใจกับเรื่องตัวตนฐานะมาก

ในพื้นที่ต้องห้ามบนเขาหลังแคว้นมาร มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงมากกว่าสิบตน เป็นสายพันธุ์หายากที่เกือบจะสูญสิ้นไปจากแดนเมฆาสวรรค์แล้ว พบเจอได้ยากนัก

เหมือนกับยูนิคอร์นอสนีบาตที่อยู่ในหุบเขาพญายมบนแดนมุกหยกที่มีระดับเพียงสิบสอง แต่มันก็สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ทั้งยังมีความสามารถพื้นฐานเช่นมนุษย์ แต่ก็ยังมีบางด้านที่เทียบชั้นไม่เท่ามนุษย์เช่นกัน

ส่วนระดับอสูรวิญญาณในแคว้นมารนั้น ที่แกร่งที่สุดก็มากกว่าระดับสามสิบไปแล้ว

อสูรวิญญาณที่มีระดับสูงกว่ายี่สิบนั้นนับเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ ส่วนอสูรศักดิ์สิทธิ์ในตำนานนั้นมีระดับสูงที่สุดที่เคยพบบนแดนอยู่ที่ราวสี่สิบ ระดับสูงสุดของอสูรวิญญาณนั้นสูงได้เพียงห้าสิบ หากแต่ตนที่มีระดับพลังสะท้านฟ้าเช่นนั้นยังไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน

ส่วนอสูรวิญญาณที่อยู่บนเขาหลังแคว้นมาร ตัวที่อ่อนแอที่สุดยังมีระดับสิบห้า อีกทั้งมันยังเป็นทารกด้วยซ้ำ หากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป คนทั้งหลายก็คงอิจฉากันตาเขียว เจ้าพวกนี้คืออสูรวิญญาณที่ฝึกจนเชื่องแล้วหลังจากตั้งแคว้นมารมา ใช้เป็นหน้าด่านเพื่อเอาไว้ขู่พวกคนนอก

อย่างโอกาสเช่นวันนี้ โหลวจวินเหยาเลือกปักษาปีกทองในตำนานขนาดใหญ่ที่สามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วมา

นอกจากปีศาจน้อยแล้วยังมีคนแคว้นมารร่วมเดินทางไปด้วยอีกมาก ในฐานะเจ้าแคว้นใหญ่แห่งหนึ่งบนแดนเมฆาสวรรค์ เขาย่อมต้องมีกองพลขนาดใหญ่ติดตามไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเกียรติ

ปักษาปีกทองในตำนานนั้นมีรูปร่างสง่างามตระการตา ไม่ว่าจะอยู่ในร่างอสูรหรือร่างมนุษย์ก็ยังโดดเด่น และเมื่อมันเหินขึ้นฟ้าพร้อมกับเส้นแสงสีทอง คนทั้งหลายก็ได้แต่แหงนมองด้วยความตกตะลึงจนเหม่อไประยะหนึ่งทีเดียว

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่โหลวจวินเหยาเลือกฝึกมันให้เชื่อง เพราะมันงดงามมากนั่นเอง

“นายท่าน เหมือนวันนี้จะอารมณ์ดีไม่น้อย” น้ำเสียงไพเราะของเด็กสาวดังขึ้น ผู้คนเหมือนจะคุ้นชินกับหน้าตางดงามกันหมดแล้ว ดังนั้นจึงทำตัวตามปกติ

พวกเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เพียงอสูรวิญญาณฝูงหนึ่งในหลังเขาแคว้นมารเท่านั้น แต่อสูรทุกตนทรงพลัง ทั้งยังเฉลียวฉลาดยิ่ง เป็นอสูรที่มีอายุมาแล้วนับพันปี

ปักษาปีกทองในตำนานเป็นสายพันธุ์ใกล้เคียงกับหงส์ไฟ รูปร่างภายนอกหน้าตาคล้ายกันอยู่บ้าง แม้มันจะตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย ดูสูงส่งสง่างามน้อยกว่าหงส์ไฟนิดหน่อย แต่กระนั้นก็ยังเป็นอสูรวิญญาณระดับสูง

ปักษาปีกทองในตำนานตนนี้มีระดับสิบแปด ร่างมนุษย์เป็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบสองสิบสาม และอาจเพราะโหลวจวินเหยานำมันกลับมาตั้งแต่มันเพิ่งฟักออกจากไข่ อีกทั้งยังเป็นตัวเมีย มันจึงติดโหลวจวินเหยาแจ มองเขาเป็นเหมือนบิดาตนก็มิปาน

โหลวจวินเหยานั่งบนหลังมันแล้วเอื้อมมือไปลูบหัว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอารมณ์ดี?”

“ข้าสัมผัสได้ นายท่านของข้าไม่เพียงอารมณ์ดีมาก ๆ แต่ยังอ่อนโยนขึ้นมากด้วย” ปักษาปีกทองในตำนานเอ่ยเสียงเบาพลางถูศีรษะตนเข้ากับมือชายหนุ่ม

โหลวจวินเหยาเห็นแล้วก็หัวเราะ “เจ้านี่ไหวพริบดีจริง เดินทางให้เร็วสักหน่อยเถอะ นี่เป็นวันแรกที่นายท่านเรียกใช้งาน เจ้าอย่าทำให้ข้าไปถึงสายเลย”

“รับทราบนายท่าน นั่งดี ๆ เล่า”

ปักษาปีกทองในตำนานส่งเสียงร้องตื่นเต้นออกมา ก่อนร่างยักษ์จะพุ่งไปคล้ายกับศรแหลม ทิ้งเส้นสายสีทองส่องระยับไว้เป็นทาง

“นี่ ได้ยินว่าท่านจอมมารจะเดินทางมาหาท่านเจ้าอารามด้วยตนเอง ตอนท่านเจ้าอารามส่งบัตรเชิญไปเขาไม่เคยมา แต่สุดท้ายก็มาที่นี่จนได้”

“ฮี่ ๆ จอมมารผู้นี้ลึกลับนัก ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ว่ากันว่าเขามีนัยน์ตาสีม่วงคู่งามราวกับอัญมณีล้ำค่าเชียวนะ…..”

“เรื่องตาไว้ก่อน ได้ข่าวว่าท่านจอมมารน่ะหล่อเหลาเอาการมาก ใบหน้างดงามไร้ที่ติ กระทั่งท่านเจ้าอารามยังเห็นแล้วใจสะท้านเชียวนะ!”

“ข้าเริ่มสงสัยท่านจอมมารผู้นี้แล้วสิ ไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้เห็นเขาใกล้ ๆ หรือเปล่า เฮ้อ~ พี่สาวน้องสาวของเราที่ได้ออกไปจัดอาหารที่งานเลี้ยงโชคดีมากจริง ๆ ได้ไปรับใช้เขาในโถงใหญ่ด้วย…..”

“พวกท่านมารวมกลุ่มคุยอะไรกันอยู่หรือ?”

น้ำเสียงถือตัวพลันดังขึ้นขัดเสียงกระซิบกระซาบ ทำเอาพวกนางสะดุ้งตัวโยน

เมื่อหันมาก็พบกับชิงอวี่ในชุดผู้ช่วยสีชมพูท่าทางสบาย ๆ นางกำลังส่งสายตามาด้วยความสงสัย ดวงหน้างามเย้ายวนแต้มไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

แต่โชคร้ายที่นางเหมือนจะไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มนี้เท่าไร

เมื่อผู้ช่วยทั้งหลายเห็นนาง พวกนางก็ส่งเสียงหยันออกมาพร้อมกัน ก่อนคนหัวหน้าจะเอ่ยเสียงแปร่งขึ้น “พูดถึงเรื่องโชคดี ใครจะมีไปมากกว่านางอีก? ไม่รู้เลยว่านางใช้วิธีชั่วร้ายอะไรถึงได้ความดีความชอบจากท่านเจ้าอารามรวดเร็วเช่นนี้”

สิ้นคำนั้น ผู้ช่วยทั้งหลายก็พากันแยกย้ายไปทำงานตน

ชิงอวี่ “…..”

นางไม่เคยไปล่วงเกินพวกนางมาก่อนกระมัง?

พวกนางลืมไปแล้วหรือว่าตอนเยว่เฝินคิดสังหารคน ใครเป็นคนช่วยพวกนางไว้?

เป็นพวกสตรีที่ไม่รู้จักบุญคุณเอาเสียเลย!