ตอนที่ 247 กรอกใบสมัคร

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 247 กรอกใบสมัคร

ผู้อำนวยการเขตถามต่ออย่างสนใจ “ยังไงล่ะ”

หลินม่ายอธิบายว่า “จ่ายเงินชดเชยพื้นฐานให้พวกเขา ถึงอย่างไรหลังจากที่ฉันเข้ามาจัดการตลาด ฉันจะต้องจ่ายภาษีให้รัฐอยู่แล้ว ก็เอาภาษีพวกนั้นไปชดเชยให้พวกเขาได้ค่ะ”

ผู้อำนวยการครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ถามต่อว่า “แล้วจะต้องจ่ายให้พวกเขานานแค่ไหนกัน?”

เห็นได้ชัดว่า ผู้อำนวยการไม่เห็นด้วยกับการจ่ายเงินโดยที่พวกเขาไม่ได้ทำงาน

“ท่านกลัวว่ามันจะเป็นภาระที่มากเกินไปเหรอคะ?”

หลินม่ายหยุดคิดไปซักพัก “ที่จริง ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือจ่ายค่าจ้างออกให้พวกเขาเป็นก้อน แล้วให้เขาไปจัดการชีวิตต่อกันเอาเอง”

ในยุคสมันนี้ยังไม่มีการจ้างออกมาก่อน แผนการที่หลินม่ายแนะนำทั้งหมดเป็นวิธีที่รัฐใช้กับการปลดพนักงานที่เธอเคยเห็นมาในชาติที่แล้ว

ผู้อำนวยการเขตไม่ได้ตัดสินใจในทันที เขาบอกเพียงว่าต้องการเวลาคิดอีกซักสองวัน

ระหว่างทางกลับหลินม่ายคิดว่าถ้าได้สัญญาตลาดสดของรัฐที่ถนนเจี่ยเฟิงมาจริง ๆ เธอจะต้องมีทีมขนส่งสินค้าเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นการเดินทางขนส่งจะลำบากมาก

พอคิดถึงทีมขนส่ง หลินม่ายก็นึกถึงเฉินเฟิงขึ้นมา

เธอมาจากชาติที่แล้ว ได้พบความจริงที่ว่าต่อไปคนที่ทำงานสีเทาจะไร้อนาคต

คงจะดีมากถ้าเธอได้ใช้โอกาสนี้แนะนำเฉินเฟิงกับบรรดาลูกน้องให้เริ่มหางานที่ถูกต้อง ออกจากงานสีเทาที่ทำอยู่เสียที

สองวันต่อมา การทดลองสอบก็เริ่มต้นขึ้น

หลังสอบเสร็จในช่วงเช้า หลินม่ายก็กลับบ้าน แต่ได้พบว่าชุนซิ่งและป้าหูถูกจับใส่กุญแจมือและพาตัวไป

เมื่อเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเธอ เพื่อนบ้านก็เลยเข้ามาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

ปรากฏว่าคนที่รายงานเรื่องการขายข้าวโพดคือป้าหู แต่จงใจปล่อยข่าวลือให้คนเข้าใจผิดว่าตัวการคือชุนซิ่ง

ชุนซิ่งที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำ เลยไปหาคนมาช่วยสืบ ไม่นานก็พบว่าป้าหูอยู่เบื้องหลัง เลยไปหาเรื่องป้าหูถึงหน้าร้าน

ทั้งคู่ทะเลาะกันถึงขั้นลงไม้ลงมือ ชาวบ้านเห็นก็โทรไปแจ้งตำรวจ จนสุดท้ายก็โดนจับไปทั้งคู่

ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้วว่าป้าหูนี่เองที่วางแผนคิดจะเล่นงานหลินม่าย เธอต้องทำอะไรซักอย่าง

หลังการสอบช่วงบ่ายจบลง เธอก็ไปพบกับเฮ่อเชิ่ง

เฮ่อเชิ่งถูกลูกน้องของเฉินเฟิงทำร้ายด้วยการคลุมกระสอบแล้วซ้อมเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้วและใกล้จะหายดี

พ่อของเขาไม่อยู่บ้าน ประจวบเหมาะกับที่หลินม่ายจะได้ใช้เวลาคุยกับเขาเพียงลำพัง

หลินม่ายมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา จนเฮ่อเชิ่งรู้สึกกลัวผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเจ็ดแปดปีคนนี้มาก

เขาค้อมศีรษะแล้วพูดอย่างอ่อนแรง “มีอะไรก็บอกมา อย่ามองฉันแบบนั้น มันน่ากลัว”

หลินม่ายยิ้มเยาะ “ฉันแค่กำลังมองให้ชัด ๆ ว่านายเป็นใคร นายกล้ามาหาเรื่องฉันถึงร้านตอนที่ถูกยัยแม่มดเฒ่าหูหลอกใช้เป็นเครื่องมือ แต่ตอนนี้ทำไมตาขาวขึ้นมาซะแล้วล่ะ”

เฮ่อเชิ่งรีบเถียงทันควัน “เธอคิดว่าฉันไม่อยากทำอะไรยัยป้านั่นเหรอ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเงิน จะไปทำอะไรได้”

“ฉันมีวิธีจัดการยัยนั่นแบบไม่ต้องเสียเงินอะไรมากมาย”

เฮ่อเชิ่งดูสนใจขึ้นมาทันที “ยังไง?”

หลินม่ายเริ่มเล่าวิธีที่ว่า แล้วเลิกคิ้วถามเขาขึ้น “ไม่ต้องใช้เงินเลยด้วยซ้ำใช่ไหมล่ะ?”

เฮ่อเชิ่งพยักหน้าตามอย่างตื่นเต้น “ฉันจัดการเอง”

ได้ยินแบบนั้นหลินม่ายก็กลับไปอย่างพอใจ

สนามสอบจำลองจบลงในสามวัน ทุกอย่างเรียบร้อยดี

หลังสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว หลินม่ายก็เก็บข้าวของเตรียมกลับ แต่อาจารย์เหวยกำลังเข้ามาที่ประตูห้อง

อาจารย์เหวยเริ่มพูดกับนักเรียน “ครูมีเรื่องต้องพวกแจ้งเธอ”

หลินม่ายจึงเดินกลับไปที่นั่งลงบนเก้าอี้

อาจารย์เหวยเดินมายืนที่โพเดียมหน้าห้องแล้วเริ่มอธิบาย “การสอบมัธยมปลายกำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ ก่อนจะถึงการสอบ ทุกคนต้องกรอกเอกสารการสมัครสอบให้เรียบร้อย กลับบ้านไปวันนี้ไปปรึกษาพ่อแม่ว่าจะสมัครโรงเรียนไหน แล้วพรุ่งนี้เช้ามากรอกใบสมัครกับถ่ายรูปนะ”

วันรุ่งขึ้น หลินม่ายมาที่โรงเรียน เห็นว่าเด็กสาวทุกคนต่างแต่งตัวอย่างงดงาม

แม้แต่หนุ่ม ๆ ก็ยังเตรียมตัวมาอย่างหล่อเหลาผิดปกติ เพราะอยากจะได้ภาพที่ดูดีที่สุด ในการจบการศึกษา

หลินม่ายไม่ได้สนิทกับเพื่อนร่วมชั้น เลยไม่ได้สนใจเรื่องการถ่ายภาพจบการศึกษาเท่าไรนัก จึงไม่ได้แต่งตัวอะไรเป็นพิเศษ

ทันทีที่เสียงระฆังบอกเวลาดังขึ้นอาจารย์เหวยก็มาพร้อมกับเอกสารหลายใบ

เขาส่งแบบฟอร์มการสมัครให้นักเรียนทีละคนและเอ่ยขณะที่กำลังแจกไปด้วย “ให้ทุกคนสมัครได้ตามคะแนนของตัวเองนะ อย่าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้วก็อย่าดูถูกความสามารถตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ที่เรียนที่เหมาะสม”

หลินม่ายรับใบสมัครมาแล้วกรอกข้อมูลโรงเรียนมัธยมที่อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ลงไปเป็นอันดับแรก แล้วตามด้วยโรงเรียนอีกสองแห่งที่น่าสนใจ

เมื่ออาจารย์เหวยมารวบรวมแบบฟอร์มไป เขาก็ดูจะสนใจใบสมัครของเธอเป็นพิเศษ

อาจารย์ไม่ได้พูดอะไรในตอนนั้น แต่หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จแล้วก็เรียกเธอไปพบที่ห้องทำงาน

หลินม่ายนั่งลงที่เก้าอี้ แล้วอาจารย์เหวยก็เริ่มเข้าเรื่อง “หลินม่าย ที่ครูจะบอกอาจจะทำให้เธอไม่ค่อยพอใจแต่ก็เพื่อประโยชน์ของตัวเธอเองนะ”

หลินม่ายพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันเข้าใจค่ะ อาจารย์อธิบายมาได้เลย”

อาจารย์เหวยเอาแบบฟอร์มของเธอออกมาแล้วแนะนำว่า “ครูว่าเธอน่าจะเลือกโรงเรียนเทคนิคเป็นสองอันดับแรก แล้วเอาโรงเรียนมัธยมปลายมาไว้อันดับสุดท้ายดีกว่านะ”

หลินม่ายถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะคะ”

อาจารย์อธิบายต่อ “เธออายุมากกว่าเพื่อน ๆ 2 ปี ถ้าเรียนมัธยมปลายแล้วต่อมหาวิทยาลัย จะอายุเท่าไรกว่าจะได้เริ่มทำงาน เธอไม่เด็กแล้ว ยังต้องหาคู่แต่งงานหลังจากทำงานอีก ถ้าเธอเลือกโรงเรียนเทคนิคเรียนแค่ 3 ปีจบ ตอนนั้นอายุ 21 ก็ยังไม่สายที่จะเริ่มหางานทำแล้วก็แต่งงานไม่ช้าเกินไป”

ในยุคนี้ผู้คนจะแต่งงานกันเร็วมาก แม้แต่สาว ๆ ในเมือง ถ้าอายุเกิน 22 แล้วยังโสดอยู่จะเริ่มถูกตั้งคำถามว่าทำไมยังไม่แต่งงานอีก

ถ้าหลินม่ายเรียนมัธยมปลายแล้วต่อมหาวิทยาลัยอีก 4 ปี เธอจะอายุยี่สิบกว่า ๆ ซึ่งถือว่าเป็นผู้หญิงที่เริ่มมีอายุแล้วในสมัยนี้

แต่หญิงสาวมีแผนการของตัวเองในใจอยู่แล้ว เธอตั้งใจจะจบมัธยมให้ได้ในหนึ่งปีแล้วเข้ามหาวิทยาลัย

ทั้งหมดจะเสร็จในห้าปีเท่านั้น ไม่กระทบต่อการแต่งงานอะไรทั้งสิ้น

และตอนนี้เธอก็มีผู้ชายที่อยากจะแต่งงานด้วยอยู่แล้ว อายุครบ 20 เมื่อไรก็แต่งได้ทันที แต่ถ้าเรียนโรงเรียนเทคนิคเธอจะยังแต่งงานไม่ได้

เพราะฉะนั้นถ้าทำตามแผนนี้ ก็จะสามารถเรียนมัธยมปลายแล้วเข้ามหาวิทยาลัยได้และยังได้แต่งงานเร็วขึ้นด้วย

และหลินม่ายยังรู้อยู่แล้วจากการกลับมาเกิดอีกครั้ง ว่าอนาคตคนจบมหาวิทยาลัยจะเป็นที่ต้องการมากกว่า การเรียนที่โรงเรียนเทคนิคเลยไม่ใช่ตัวเลือกของเธอ

เธอตอบอาจารย์อย่างใจเย็นว่า “ฉันแค่อยากจะเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ ส่วนเรื่องแต่งงาน ฉันมีแฟนอยู่แล้ว แล้วก็ปรึกษากับเขาแล้วว่าจะแต่งงานหลังจบมัธยมปลาย เพราะงั้นถึงเลือกแบบนี้ก็จะไม่ส่งผลต่อการแต่งงานในอนาคตของฉัน”

อาจารย์เหวยยิ้มตอบ “ในเมื่อวางแผนเรียบร้อยแล้วก็เลือกตามแผนเถอะ”

สองวันหลังจากส่งใบสมัครเรียบร้อยแล้ว ก็มีข่าวลือเกี่ยวกับร้านของป้าหูแพร่กระจายไปทั่วทั้งย่าน

มีคนบอกว่าลูกค้าประจำของป้าหูที่กินอาหารร้านนี้เป็นเวลานาน ตอนนี้ติดเชื้อตับอักเสบ อาการไม่สู้ดี

ไม่ว่าข่าวนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ แต่ก็คงไม่มีใครอยากเอาสุขภาพตัวเองไปเสี่ยง ร้านของป้าหูเลยเงียบเชียบ ไม่มีใครเข้าร้านเลย

ไม่นานนักผู้ป่วยตับอักเสบหลายคนก็มาถึงหน้าร้าน พวกเขาอ้างว่าอาหารของป้าหูทำให้เป็นตับอักเสบ ขอให้เจ้าของร้านจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้

หลินม่ายบอกให้เฮ่อเชิ่งไปปล่อยข่าวลือ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่องที่คนป่วยเหล่านี้มาที่นี่

เพราะพวกเขาเคยกินอาหารร้านป้าหูมาก่อน แล้วตอนนี้ก็ป่วยเป็นตับอักเสบ เลยพากันมาที่ร้านแล้วเรียกร้องให้ป้าหูรับผิดชอบ

นี่ยิ่งทำให้เรื่องตับอักเสบที่เป็นข่าวลือดูจะเป็นความจริงมากกว่าเดิม ไม่ว่าป้าหูจะอธิบายอย่างไรก็เปล่าประโยชน์

ผลการสอบของหลินม่ายออกมาระหว่างที่มีการทะเลาะกันของป้าหูและผู้ป่วยตับอักเสบเหล่านี้

เพราะว่าครั้งนี้คะแนนของวิชาภาษาและสังคมการเมืองออกมาค่อนข้างดี โดยเฉพาะสังคมการเมืองที่ทำได้คะแนนเต็ม เธอเลยได้คะแนนมากเป็นที่ 1 ของชั้น และได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์เหวย

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อมีแผนของตัวเองอยู่แล้ว อย่าไปเปลี่ยนแผนอะไรเลยค่ะ

ป้าหูนี่ยื้อมานานมาก จะถึงกาลอวสานก็ตอนนี้แหละ

ไหหม่า(海馬)