บทที่ 234 เรื่องน่ายินดีอันยิ่งใหญ่

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 234 เรื่องน่ายินดีอันยิ่งใหญ่

โอ้เทพธิดา!

ขนาดเขายังต้องให้ความเคารพยำเกรง ลูกชายสุดเซ่อของเขาบ้าไปแล้วหรือ? คิดจะแต่งงานให้เทพธิดามาเป็นพระชายา

ยังดีที่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เหมือนจะจบไปได้

แต่ทว่า!

คนอื่นคิดว่าจบไปแล้ว และหลานเยาเยาเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้แล้ว แต่องค์ชายเก้าเป็นดั่งเช่นตังเมที่คอยตามติดนาง สะบัดเช่นไรก็สะบัดไม่หลุดเช่นนั้น

เพียงแค่รู้เบาะแสของนาง จะเหนือใต้ออกตกก็ตามหาไปทุกที่ทุกทาง

นี่ไม่……

เขายังเอาทั้งของอร่อยไข่มุกของมีค่ามากมายมาล่อนางอีกด้วย

“มาก็มาสิ! ส่งของกินมาให้ก็ได้แล้ว คนจะมาทำไม?”

จื่อเฟิง : “…….”

มองดูหลานเยาเยาที่กินไก่ย่างโดยไม่รักษาภาพพจน์ ไม่เหลือภาพตอนที่นางปรากฏตัวต่อหน้าประชาชนสักนิด ภาพลักษณ์ที่สุภาพเป็นที่สุดเช่นนั้น ท่าทีที่ไม่มีกิเลสต่อแสงสีบนโลกมนุษย์

จื่อเฟิงเข้าใจ นั่นเป็นเพราะความเชื่อใจอย่างหนึ่งที่มีต่อพวกเขา

มีเพียงขณะอยู่ต่อหน้าพวกเขา นางจึงจะได้ปลดความเสแสร้งทั้งหมดออกได้

“เช่นนั้นข้าน้อยก็จะไล่คนไปขอรับ!”

“อืม!” หลานเยาเยาพยักหน้า เห็นจื่อเฟิงกำลังออกไปจากประตูห้องแล้ว ก็รีบพูดอีกว่า “จำไว้ว่าให้เอาของกินอร่อยๆเก็บเอาไว้”

“……ขอรับ!”

จื่อเฟิงเซไปนิดหนึ่ง จนแทบจะล้ม

วันที่สอง

รูปหล่อสง่าผ่าเผย เมื่อองค์ชายเก้าที่สง่างามชื่อเสียงโด่งดังมาเยือนถึงที่อีกครั้ง หลานเยาเยาได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง แต่จากนั้นก็โพล่งคำพูดที่หนักแน่นออกไปทันที :

“ไม่ว่าเจ้าเดินทางไปที่ใด ไม่ว่าตัวเจ้าจะอยู่แห่งหนใด ข้าก็จะหาเจ้าให้พบจนได้ แต่งงานให้เจ้าเป็นพระชายา”

……

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

ประเทศก่วงส้า เมืองหลวง

เมื่อมีข่าวออกมาว่าเทพธิดาใกล้จะมาถึงเมืองหลวง ภายในเมืองหลวงก็มีครึกครื้นทันที ในชั่วพริบตาทุกซอกซอยน้อยใหญ่ ทั้งภายนอกและภายในเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความปลื้มปีติ

ภาพลักษณ์ของเทพธิดาชุดแดง แพร่สะพัดอย่างเหนือธรรมชาติมาเป็นเวลานานแล้ว

แต่ละคนล้วนตั้งหน้าตั้งตารอการมาถึงของเทพธิดาอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาอยากยลโฉมอันน่าเคารพของเทพธิดา และเฝ้ารอคอยให้เทพธิดาให้ความสุขและโชคลาภแก่พวกเขา

ภายในพระราชวัง!

ฮ่องเต้กำลังหารืออยู่กับพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก ขันทีผู้หนึ่งวิ่งเข้ามากลางราชสำนักด้วยสีหน้าปีติยินดี

คาดว่าน่าจะดีใจอย่างที่สุด วิ่งจนรองเท้าหลุดไปข้างหนึ่งก็ยังไม่รู้เรื่อง เมื่อข้ามาในท้องพระตำหนักใหญ่ ก็คุกเข่าลงทันที ตะโกนเสียงดัง :

“ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ เรื่องน่ายินดี เรื่องน่ายินดีอันยิ่งใหญ่พะยะค่ะ!”

ฮ่องเต้ที่กำลังปวดหัวเพราะเรื่องการปรากฏตัวของตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์ในขณะนี้เก่าแต่กลับไม่เคยสืบหาพบ บรรดาเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็เพราะหารือเรื่องที่ตราราชลัญจกรที่ปรากฏตัวนั้นเป็นเรื่องเท็จจริงหรือไม่จนไม่ได้พักผ่อน

ทำให้บรรยากาศในราชสำนักเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ละคนหน้านิ่วคิ้วขมวด

และขันทีผู้นั้นก็บุ่มบ่ามบุกรุกเข้ามา ทั้งยังป่าวร้องเอะอะว่าเรื่องน่ายินดีอีก ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก

“ให้คนเข้ามา! เอาขันทีที่ไม่รู้จักกาลเทศะนี่ไปขังคุกให้ข้า”

ได้ยินดังนั้น!

ขันทีก็ตกใจหน้าซีดเผือดไปในพริบตา ในเวลานั้น “ตึ่งตึ่งตึ่ง” ก้มหัวโขกพื้น

“ฮ่องเต้โปรดทรงไว้ชีวิต ฮ่องเต้โปรดทรงไว้ชีวิต ข้าน้อยเกิดความดีใจเกินไปชั่วขณะหนึ่ง ฮ่องเต้ได้โปรดทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ”

เมื่อฮ่องเต้ได้ยิน เช่นนั้นต้องเป็นเรื่องแน่?

ขณะนี้ราชครูใหญ่ไม่อยู่ที่พระราชวัง อ๋องเย่ก็ยังไม่กลับมาเมืองหลวง เพราะเรื่องตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่า เขาปวดหัวจนนอนไม่ได้มาหลายคืนแล้ว

เรื่องน่ายินดีสักเรื่องก็ไม่มี เรื่องน่าปวดหัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงไม่ปรารถนาที่จะเห็นคนอื่นมีความสุข

“หึ! เรื่องน่ายินดี? เจ้าพูดมาสิ่ว่าเรื่องน่ายินดีมาได้เช่นไร หากเรื่องน่ายินดีที่เจ้าสุนัขรับใช้นี่พูดมาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องน่ายินดี ข้าจะประหารชีวิตเจ้าทันที”

“ขอบพระทัยฮ่องเต้ เรื่องน่ายินดีที่ข้าน้อยจะพูดก็คือ เทพธิดามาถึงเมืองหลวงแล้วพะยะค่ะ”

นี่ยังไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอีกหรือ?

นี่คือเรื่องที่น่ายินดีอันใหญ่หลวงเชียวนะ!

ได้ยินดังนั้น!

ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือว่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากตกตะลึง จนดีใจ ถึงขั้นดีใจเป็นที่สุด

หลายปีนี้ เรื่องราวที่เทพธิดาอำนวยอวยพรให้แผ่นดินนี้เป็นสุข แทบจะไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้

และทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการให้พรของเทพธิดา พวกเขาก็ให้คนไปตรวจสอบ ผลปรากฏว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด

ตอนนี้เทพธิดาเดินทางมาเยือนถึงเมืองหลวง นี่แสดงให้เห็นว่า สองสามปีที่ผ่านมาที่ประเทศก่วงส้าที่อยู่ในช่วงขาลงกำลังจะกลับมาลุกขึ้นได้อีกครั้งแล้ว?

“เจ้าพูดให้ข้าฟังอีกรอบซิ้!”

ในน้ำเสียงนั้น อดกลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ ฮ่องเต้มั่นใจมาก ว่าไม่ได้หูแว่วไปเอง

เห็นท่าทีของฮ่องเต้ ขันทีก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองรอดพ้นไปได้

มุมปากเผยขึ้นทันที และรายงานเรื่องนี้อย่างตั้งใจ :

“กราบทูลฮ่องเต้ มีข่าวแพร่สะพัดในเมืองหลวงทั้งตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ เทพธิดากำลังจะมาถึงเมืองหลวงพะยะค่ะ”

เมื่อจบคำพูดนี้ สีหน้าของฮ่องเต้แสดงออกถึงความดีอกดีใจ

“ฮ่าฮ่าฮ่า……”

“ดี ดีดีดี นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่งจริงๆ เจ้ามีความชอบรายงานเรื่องที่น่ายินดี ข้ามอบรางวัลให้เจ้าหนึ่งพันเหรียญเงิน”

“ขอบพระทัยฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี”

หลังจากที่ขันทีถอยไป ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้คนตระเตรียมเรื่องการต้อนรับเทพธิดา

ส่วนเรื่องของตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่านั้น……

เหอะเหอะ!

มีเทพธิดาอยู่ ยังมีอะไรที่จะหาไม่พบอีกรึ?

หากว่าสามารถทำให้เทพธิดาอยู่ที่เมืองหลวงได้ตลอดไป เขายังจะต้องยำเกรงอ๋องเย่ที่มีอำนาจทั้งในราชสำนักและต่อประชาชนอีกหรือ?

ทางด้านหลานเยาเยา ได้ถึงนอกเมืองหลวงแล้ว

แต่นางไม่เลือกที่จะเข้าไปในเมืองหลวงเลยทันที แต่กลับคิดว่าจะรออีกสองสามวันค่อยเข้าไป

ไม่ว่าอย่างไร!

ตอนนี้นางก็มีชื่อเสียงและบารมีที่โด่งดัง แน่นอนว่าจะต้องยั่วให้ผู้คนเกิดความกระหายให้เต็มที่ซะก่อน

ทั้งนี้!

ยังใช้โอกาสสองสามวันนี้ในการเตรียมตัว ครั้งแรกที่เข้าเมืองหลวง แน่นอนว่าจะต้องเสแสร้งทำสวยหน่อย จะเจิดจรัสจนทำให้ตาสุนัขของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันบอดไปเลย

“จื่อเฟิง ไปโรงเตี๊ยมที่หานแสกำหนดไว้”

“ขอรับ!”

หลังจากที่ถึงประเทศก่วงส้า ทางที่มาเมืองหลวงเป็นทางที่หานแสกำหนดไว้ทั้งหมด

อย่างแรกคือทำให้คนอื่นไม่รู้เบาะแสการเดินทางของนาง อย่างที่สองคือรักษาความลึกลับไว้

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเทพธิดาควรเดินทางไปไหนมาไหนอย่างไร้ร่องรอย เพียงแค่นางยิ่งลึกลับ ผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการก็จะยิ่งดีขึ้น

จื่อซีที่นั่งอยู่นอกรถม้ากับจื่อเฟิง ถามด้วยความสงสัยนิดหน่อยว่า :

“คุณหนู ครั้งนี้ท่านจะออกโรงในลักษณะท่าทีเช่นไรขอรับ?”

จุดนี้ เป็นสิ่งที่จื่อซีรอคอยเป็นอย่างมาก

เพราะว่า ทุกครั้งขณะที่นางปรากฏตัวในฐานะเทพธิดา เหาะเหินอยู่บนเมฆอะไรเอย ภูเขาถล่มเอย

โดยสรุปแล้ว มีเพียงแค่คิดไม่ถึง ไม่มีทำไม่ได้

ได้ยินดังนั้น!

หลานเยาเยาได้กลิ่นของอาหารขึ้นมาทันใด ก็รูดม่านรถม้าขึ้น มองจื่อซีด้วยแววตาที่เปล่งประกายสุดๆ : “ซื้อไก่ย่างให้ข้าสิบไม้แล้วข้าจะบอกเจ้า”

จื่อซี : “……”

เขาไม่ต้องการ!

ทั้งๆที่คุณหนูร่ำรวยมากมาย กลับขี้งกเป็นที่สุด

นางยอมที่จะซื้อเสื้อผ้าด้วยเงินร้อยเหรียญเงินให้พวกเขา ยอมให้พวกเขากินอาหารอันโอชะ แต่ไม่ยอมให้แผ่นทองแดงกับพวกเขาแม้สักอัน

บางครั้งถึงขั้นยังเอาเหรียญเงินของพวกเขาด้วย

ยังพูดอีกว่า สามารถเอามาได้สักนิดก็ยังดี

ทันใดนั้น!

“ส่าส่าส่า……”

“ส่าส่าส่า……”

ดั่งเสียงลมที่พัดโชยใบไม้ดังขึ้น กลับทำให้จื่อซีและจื่อเฟิงกล่าวออกมาพร้อมกันอย่างน่าแปลก :

“กลิ่นไอการฆ่า!”

หลานเยาเยาเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง ใช้มือปิดม่านลงไปอย่างเงียบเงียบ สีหน้าเต็มไปด้วยความจนปัญญา

“เห้อ คนน้า! มีชื่อเสียงเกินไปก็ไม่ดี เดินทางไปทางไหนก็คึกคักไปหมด ทำให้คนปวดประสาทมากๆ

ดูแล้วข้าจำเป็นจะต้องเรียนรู้จากพวกดาราดังพวกนั้นบ้าง คราวหลังจะออกเดินทาง จะต้องเตรียมอาวุธให้ครบมือ”

ดูแล้วหนทางที่หานแสเลือกก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไปนะเนี๊ย!

จื่อเฟิง : “……” ดึงบังเหียนรถม้าขึ้นจนมือสั่นไปนิดหนึ่ง

จื่อซี : “……” คุณหนูเริ่มหลงตัวเองขึ้นมาอีกแล้ว

ในไม่ช้า!

สิบกว่าคนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี นักฆ่าที่แต่งกายในชุดยามราตรี ปรากฏตัวอยู่ทั้งสองฝั่งรถม้าของพวกเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยแรงสังหารเพ่งมองมาที่พวกเขา

“ฮู่…….”

จื่อเฟิงหยุดรถม้า ลำแขนเรียวยาวจับดาบพกด้ามยาวเอาไว้

ทั้งสองฝั่งจ้องมองกันหนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที……

“ชิ้งชิ้งชิ้ง……”

ทั้งสองฝ่ายชักดาบออกมาพร้อมกัน สถานการณ์คับขัน เตรียมพร้อมประจันหน้ากัน จากนั้นจื่อซีและจื่อเฟิงก็มองดูนักฆ่าพวกนั้นพุ่งไปทางด้านหน้าเช่นนั้น

“นี่ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?” จื่อซีงงเป็นไก่ตาแตก

ต่อไปไม่ควรจะเป็นสงครามที่น่ากลัวหรอกหรือ?

ทำไมพวกเขาถึงได้จากไปแล้ว?