ตอนที่ 160

Great Doctor Ling Ran

EP 160

By loop

เจิ้งฉีและแพนจินหวู่พูดคุยกันเมื่อพวกเขามาถึงห้องพักฟื้นของแผนกศัลยกรรมมือเพื่อเริ่มการฝึกกายภาพบำบัดทุกวัน

มือของเขาหายเป็นปกติซึ่งเขาสามารถกับไปพักฟื้นที่บ้านได้ด้วยตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งพวกเขาได้รับอนุญาติจากรองผู้อำนวยการแผนกแพนอีกทั้งรองผู้นอำนวยการแพนเองจะเข้ามาตรวจมือให้เขาทุกๆสองถึงสามวันที่แผนกศัลยกรรมมือเพื่อตรวจดูปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการฟื้นฟูมือของเขา

โดยในวันนี้เมื่อรองผู้อำนวยการแผนกแพนก็ได้เขามาตรวจดูหลังจากได้รับข้อความจากพี่สาวของเขา

“พี่สาวผมขอบอกเลยว่ามือของพี่เขยนั้นเริ่มดีขึ้นทุกวันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลย” รองผู้อำนวยการแผนกแพนพูดอย่างมีความสุขในขณะเดียวกันก็เขาเองก็ดูสงสาร “น้องแพนนายนี้ดูยุ่งๆช่วงนี้ ไม่ต้องมากังวลเรื่องของพวกเราหรอก”

“ ผมแค่อยากตรวจให้แน่ใจก็เท่านั้นเอง” รองผู้อำนวยการแผนกแพนและทักทายเจิ้งฉีพี่เขยของเขา จากนั้นเขาก็ถามว่า “แล้วตอนนี้มือของพี่เขยมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง?”

“มันก็ดูปกติขึ้นมากแล้ว ก็จะมีตรงฝ่ามืออาจจึงและยังบังคับได้อยากอยู่” เจิ้งฉีเริ่มอธิบายอย่างจริงจังซึ่งเขาไม่เห็นถึงความผิดปกติใดๆแม้แต่น้อย

“มันอาจจะมีอาการคันเกิดขึ้นนะซึ่งมันเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู่ป่วยเมื่อมีบาดแผลอยู่ส่วนอาการที่ฝ่ามือและนิ้วชี้นั้นไม่ต้องเป็นห่วงเพราะมันเป็นผลจากการผ่าตัดเชื่อมประสาทเดียวมันก็ดีขึ้นเอง… “รองผู้อำนวยการแผนกแพนอธิบายอีกครั้ง แม้ว่าจะมีการอธิบายหลาย ๆ คำก่อนหน้านี้แพนจินหยูและเจิ้งฉีก็ยังฟังอย่างตั้งใจ

“แล้วตอนนี้อาการของเส้นประสาทเป็นอย่างไงบ้าง มีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“มันเป็นมีเส้นประสาทไม่กี่เส้นที่สำคัญและทั้งหมดนั้นได้ถูกรักษาแล้ว และเส้นประสาทที่เสียหายไปมันสามารถสร้างใหม่ได้”

“การสร้างขึ้นใหม่หมายความว่าเส้นประสาทอื่นจะช่วยในกระบวนการรักษาใช่มั้ย แล้วเส้นประสาทส่วนอื่นจะมีปัญหาอีกไหม”

“ ไม่พวกเราทุกคนมีประสาทส่วนเกินอยู่แล้วมันจะอยู่ที่นั่นตลอดชีวิตของเราไม่ว่าเราจะใช้หรือไม่ก็ตาม”

“ก็ดีแล้วล่ะถ้ายังงั้น… “

ในขณะที่เขาอธิบายเขามองไปที่พี่สาวลี่เขยของเขา รองผู้อำนวยการแผนกแพนกำลังคิดอะไรบ้างเกี่ยวกับข้อความที่มีชื่อเสียงทโดยมันถูกเขียนขึ้นบนหลุมศพของแพทย์ชาวอเมริกันชื่อเอ็ดเวิ้ตริวินตัน: ในบางครั้งการปลอบโยนผู้ป๋วยจะช่วยให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น

รองผู้อำนวยการแผนกแพนมักได้ยินแพทย์อาวุโสพูดถึงเรื่องนี้ แต่เขาไม่ค่อยคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนหน้านี้เขาเป็นแพทย์เพียงคนเดียวที่สามารถใช้เทคนิคเอ็มถังที่โรงพยาบาลหยุนหัวและตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในสองคนเท่านั้นที่ทำได้ เขาเต็มใจที่จะใช้เวลาทั้งหมดของเขาเพื่อรักษาผู้ป่วยรายอื่น การบรรเทาและปลอบโยนผู้ป่วยเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยได้ทำเท่าไร

อย่างไรก็ตามสำหรับตอนนี้สิ่งที่พี่เขยของเขาเจิ้งฉีและน้องสาวของเขาแพนจินหัวต้องการมากที่สุดที่จะได้รับการปลอบใจจากนั้นก็โล่งใจและในที่สุดได้รับการรักษาให้หายขาด

การมุ่งเน้นไปที่การรักษาผู้ป่วยเป็นเรื่องในอดีต การปลอบโยนมันกลายเป็นบรรทัดฐานในยุคปัจจุบัน

รองผู้อำนวยการแผนกแพนคิดเกี่ยวกับมันในขณะที่พี่สาวและพี่เขยของเขายินดีที่จะใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อเดินทางจากบ้านมาที่โรงพยาบาลเพื่อมาทำกายภาพสำหรับในสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือความสบายใจ

รองผู้อำนวยการแผนกแพนคิดและยิ้มแล้วพูดว่า “พี่เขยคุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักการเย็บเอ็นกล้ามเนื้อเส้นเอ็นของเขาทำได้ดีมากเราไม่ต้องทำการแสกนเอ็มอาร์ไอ อีกครั้ง หลังการผ่าตัดซึ่งเส้นเอ็นนั้นมีจะมีความหยืดหยุ่นมากพอและก็จะหนาขึ้นด้วยแต่จะน้อยกว่าศูนย์จุดศูนย์ศูนย์ศูนย์สามนิ้วซึ่งมันอยู่ไกลจากมาตรฐานการยึดเกาะคุณไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ “

แพนจินหยูและเจิ้งฉีมองหน้ากันก่อนที่พวกเขาจะถามว่า “มันเป็นการเย็บที่ดีใช่ไหม?”

“ การเย็บแผลทำได้ดีมากการฟื้นฟูของพี่เขยก็เป็นไปด้วยดีตอนนี้พี่เขยต้องรอฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ” รองผู้อำนวยการแผนกแพนกล่าวด้วยความมั่นใจ

แพนจินหยูฟังแล้ว จากนั้นเธอดูเหมือนจะมีการตัดสินใจ เธอมองสามีเจิ้งฉีจากนั้นก็มองไปที่น้องชายของเธอ รองผู้อำนวยการแผนกแพนและเธอพูดว่า “อย่างงั้นเราต้องให้หัวหน้าศัลยแพทย์ขึ้นพลาดหัวข่าวหน้าหนึ่งสะแล้ว”

ความคิดของรองผู้อำนวยการแผนกแพนรู้สึกสับสนทันที ‘พาดหัวข่าวหรือ ให้ใครถูกพาดหัวข่าว? พวกเขาหมายถึงการให้หลิงรันถูกพาดหัวข้าวหรือไม่? ‘

แพนจินหยูกล่าวเสริมว่า “น้องฮัวคุณไม่ได้พูดว่าหมอชอบที่จะเป็นข่าวมากที่สุดใช่ไหมยังงั้นเดียวเราจะส่งนักข่าวไปหาหมอคนนั้น”

เมื่อเธอพูดประโยคสุดท้ายแพนจินหยูแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีในฐานะพี่สาวของแพนหัว

“นั่น…” รองผู้อำนวยการแผนกแพนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จากนั้นเขาหันหลังกลับและเห็นฝ่ามือของพี่เขย ความคิดมากมายและซับซ้อนในใจของเขาสงบลง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลิงรันก็ช่วยรักษามือของเจิ้งฉี

รองผู้อำนวยการแผนกแพนเองก็รู้ดีว่าการเย็บเอ็นกล้ามเนื้อนั้นทำได้ยากเพียงใดในช่วงพักฟื้น

ลืมเรื่องการพาดหัวข่าวไปได้เลยหากมีใครที่สามารถเย็บเอ็นกล้ามเนื้อได้ในระดับดังกล่าวมันจะคุ้มค่ากับเงินของผู้ป่วยไม่ว่าเขาหรือเธอจะต้องการที่จะเป็นข่าวหรือไม่ก็ตาม

แพนหัวถอนหายใจและพูดว่า “ถ้าคุณต้องการแถลงข่าวผมจะไม่ปรากฏตัวมาเลยเพราะเราไม่ได้อยู่ในแผนกเดียวกัน”

“น้องพี่ก็ไม่จำเป็นต้องทำ” เจิ้งฉีเป็นคนที่อยู่ในแวดวงสังคมมานาน เขาเข้าใจการทำงานของโลกและเขาจะไม่ทำให้รองผู้อำนวยการแผนกแพนผู้เป็นน้องชายของเขาอับอายอย่างแน่นอน

… ..

ในห้องประชุมของหยุนหัว

ซงเย้าเวิ้น นักข่าวจาก [หยุนหัวรายวัน] เขาดื่มน้ำชาก่อนที่จะพูดคุยกับหลิงรันอย่างนุ่มนวลและหัวเราะคิกคักเป็นครั้งคราว

ซงเย้าเวิ้น ไม่ได้แสร้งเป็นผู้หญิงที่มีมารยาทดีที่กำลังรอผู้ชายจีบเธอเธอไม่ใช่พวกหัวโบราณอะไรอย่างงั้นโดยวันนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาอย่างหลิงรันซึ่งเธออาจมีความรู้เกี่ยวกับโลกมาก

เหนือสิ่งอื่นใดซงเย้าเวิ้น ดูเหมือนผู้หญิงที่ฉลาดเธอมาพร้อมกับการปรากฏตัวของนักข่าวหนังสือพิมพ์ แต่ใต้โต๊ะเธอพยายามใช้เท้าถูกางเกงของหลิงรัน

“นั่นน่าสนใจมากหมอหลิง … “

“หมอหลิงกรุณาพูดถึงช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดของคุณตั้งแต่คุณเริ่มอาชีพการเป็นหมอ”

“หมอหลิงทักษะการแพทย์ของคุณยอดเยี่ยมมาก”

ซงเย้าเวิ้น ทการสัมภาษณ์ในขณะที่ชมหลิงรันอยู่ ซึ่งสำหรับหัวหน้าแพทย์เฟยโจวที่สัมภาษณ์ร่วมกับหลิงรันนั้นจบลงด้วยการถูกจู่โจมโดยซงเย้าเวิ้น หลังจากถามคำถามได้สองสามข้อ

ผู้อ่านไม่สนใจชายวัยกลางคนที่หน้าตาทั่วไปหรอก?

ข่าวเช่น ‘เรื่องราวของคนธรรมดา‘ อาจดูเหมือนจะแพร่กระจายไปทั่วประเทศ แต่ในแง่ของยอดขายพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อ บริษัท คนธรรมดาไม่ต้องการเห็นชีวิตของคนธรรมดาคนอื่นเพราะพวกเขารู้ว่าชีวิตเป็นอย่างไรสำหรับคนธรรมดา

หากจำเป็นผู้คนเหล่านี้ก็แค่แวะไปหาเพื่อนของเขาเพื่อดูชีวิตของคนรอบข้างโดยท้ายที่สุดเพื่อนของพวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นคนธรรมดาเช่นกัน

ในฐานะที่เป็น บริษัท สื่อขนาดใหญ่ [หยุนหัวรายวัน] ต้องการแพทย์ที่หล่อเหลาเช่นหลิงรันมากกว่าสิ่งอื่นใดเพราะหลิงรันมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมแถมมีเสน่ห์และมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ เขาเป็นภาพของคนไม่ธรรมดาในแวดวงเพื่อนของคนทั่วไป

ซงเย้าเวิ้น ยิ้มและเขี่ยปากกาบันทึกไปข้างหน้า เธอถามด้วยรอยยิ้มทันทีต่อหน้าทีมแพทย์ “หลิงรันคุณมีแฟนในอุดมคติเป็นอย่างไรหรอ?”

เฟยโจวซึ่งไม่ได้ถูกถามคำถามใด ๆ มาเป็นเวลานานก็พูดไม่ออก เขายืนขึ้น “ถ้าไม่มีอะไรผมจะออกไปก่อน”

เขาเปิดประตูห้องประชุม แต่ไม่ช้าก็ถอยกลับไม่กลับมา

ป้ายแสดงคำขอบคุณที่กว้างกว่าคนถูกผลักเข้ามาในห้องกับเฟยโจว

“หมอหลิงควรมาที่นี่ใช่มั้ย” เจิ้งซี่ฉีถือป่ายไว้สูงและหันไปหาเจ้าหน้าที่ด้านซ้ายและขวาของเขา ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่อยากรู้อยากเห็นก็ติดตามเขามา

หลิงรันยืนขึ้นและ ซงเย้าเวิ้นก็สัมผัสตักของเขา เธอทำท่าตากล้องและพร้อมที่จะทำการสัมภาษณ์

“หมอหลิงขอบคุณที่เย็บมือฉัน” เจิ้งฉีพบกับหลิงรัน เขาจับมือข้างหนึ่งของหลิงรันด้วยมือทั้งสองของเขาและจับมันอย่างแรง เมื่อเขาเห็นช่างภาพเจิ้งฉีได้วางกล้องอย่างไม่สะทกสะท้าน

เจิ้งฉีเป็นนักธุรกิจที่รับจ้างทำพิมพ์เขียวงานศิลปะต่างๆ ถ้านิ้วของเขาถูกทำให้พิการก็หมายความว่าการเป็นศิลปินของเขาก็ดับสูญเพราะความสามารถในการวาดของเขาต้องศูนย์เสียไปสามในสิบ ตอนนี้เขาสามารถใช้นิ้วมือของเขาได้อย่างไม่มีปัญหาแล้วคำขอบคุณของเจิ้งฉีที่มีต่อหลิงรันเพิ่มขึ้นจากหัวใจของเขาซึ่งทำให้มันง่ายสำหรับเขาที่จะทำงานร่วมกับช่างกล้องเพื่อถ่ายภาพ

ซงเย้าเวิ้น เห็นโอกาสและถามอย่างรวดเร็วว่า “ท่านช่วยเล่าเรื่องของท่านให้เราฟังหน่อยได้ไหม”

เจิ้งซี่ฉีพยักหน้าและกล่าวว่า “นิ้วโป้งขวานิ้วชี้และนิ้วกลางของผมถูกฉีกขาดทั้งหมดพวกมันบาดเจ็บที่เอ็นกล้ามเนื้อเมื่อผมอยู่ในรถพยาบาลผู้คนบอกผมว่าสถานที่นี้ไม่สามารถเย็บแผลได้ในตอนนั้นผมทำได้แค่ยืดนิ้วของผมเท่านั้น แต่ไม่งอไม่ได้ผมจะไม่สามารถใช้พวกมันได้อีกต่อไป แต่เมื่อผมทำการฟื้นฟูสมรรถภาพผมเห็นว่ามีผู้ป่วยบางรายที่ไม่สามารถใช้นิ้วของพวกเขาได้เช่นกัน … “

“นั่นคือเหตุผลที่คุณต้องการให้พลาดหัวข่าวให้กับหมอหลิงในวันนี้”

“ฉันมาที่นี่เป็นหลักเพื่อส่งกั้งปลาวาฬสีแดงให้เขาแล้วแสดงให้เขาเห็นการฟื้นตัวของนิ้วมือของผมดีขึ้นมาแล้ว” เจิ้งฉีหันไปหยิบกล่องกั้งสีแดงและพูดว่า “หมอหลิงฉันไม่คิดว่าคุณจะมีคนมากมายกับคุณดังนั้นฉันอาจไม่ได้นำกั้งมามากพอ … “

โดยตอนนี้เจิ้งฉีส่งมอบป้ายขอบคุณให้กับภรรยาของเขาแพนจินหยูและเปิดกล่องของขวัญ เขาสวมถุงมืออย่างชำนาญแล้วปอกกั้งกุ้งสีแดงต่อหน้าฝูงชนก่อนที่จะวางลงเบา ๆ ที่หน้าหลิงรัน

ซงเย้าเวิ้น รู้สึกตื่นเต้นมากจนเธออ้าปากกว้าง พาดหัวข้อข่าวที่นับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ในใจของเธอ