บทที่ 270 รักษาตัวด้วย

บทที่ 270 รักษาตัวด้วย

ในขณะที่หนานกงฉีอวิ๋นปั้นตุ๊กตาด้วยท่าทางจริงจัง เสี่ยวเป่าที่นั่งบนตั่งตัวเล็กก็ขะมักเขม้นอยู่กับการปั้นจอกใบเล็ก

ไม่ใช่จอกเหล้าแบบเดิม ๆ แต่เป็นจอกเหล้าที่ตัวจอกกว้าง ปากแคบ และมีก้านจับเฉกเช่นแก้วไวน์ในยุคปัจจุบัน เพียงแต่ฝีมือนางยังไม่ค่อยดีนัก จอกที่ว่านอกจากจะบิดเบี้ยวแล้ว ความหนาบางก็ยังไม่เท่ากัน

นางตั้งใจจะทำด้วยตนเอง ผลสุดท้ายทั้งตัว มือ และใบหน้าจึงเลอะเทอะไปหมด แต่ก็ยังเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มไร้เดียงสาให้พี่สาม

“คิก ๆ ท่านพี่ดูจอกเหล้าที่เสี่ยวเป่าทำสิ”

ทั้งคิ้วทั้งดวงตาต่างก็โค้งงอเป็นพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากแดงระเรื่อฉีกยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นฟันน้ำนมซี่เล็ก ๆ สีขาวบริสุทธิ์

หนานกงฉีอวิ๋นดินเลอะเต็มมือ ไม่อาจลูบหัวน้องสาวได้ เขาจึงก้มศีรษะลงเล็กน้อย แล้วสองพี่น้องก็เอาหน้าผากชนกัน

“ทำได้ไม่เลวเลย”

ช่างชมได้หน้าตายยิ่ง หากจะให้พูดแบบฝืนใจก็คือ เขาชมได้จริงใจมาก แต่หากพูดกันแบบไม่ฝืนแล้วละก็ เห็นทีองค์ชายสามคงจะตาบอดแล้วกระมัง

เสี่ยวเป่าพยักหน้าไปอย่างนั้นทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี แต่ชั่วพริบตาต่อมา นางกลับส่ายหัวไปมาด้วยท่าทางเบิกบาน “เสี่ยวเป่าจะลองทำใหม่อีกที”

ทว่าผลที่ได้ก็ยังน่าเกลียดเกินกว่าจะมอง หลังจากช่างฝีมืออาวุโสเห็นมันยังถึงกับบอกว่าเจ็บตา

แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามันคือฝีมือของเสี่ยวเป่าแล้ว ต่อให้มันหน้าตาน่าเกลียดอย่างไร คนที่ต้องใช้ก็ไม่ใช่พวกเขาอยู่ดี

หนานกงฉีอวิ๋นทำเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะตุ๊กตาดินเผานี้ทำยากกว่าเครื่องเคลือบทั่วไปมาก จำต้องใช้เวลาสองถึงสามวันจึงจะเสร็จ รวมถึงเวลาในการตากแห้งและเผา ตุ๊กตาดินเผาชุดนี้จะออกจากเตาอย่างเร็วที่สุดก็อีกสิบกว่าวัน

เสี่ยวเป่าหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกังวล

“จวนจะถึงวันออกเดินทางของท่านอาสี่แล้ว คงเสร็จไม่ทันเป็นแน่”

หนานกงฉีอวิ๋นที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาปั้นตุ๊กตาดินเผาได้ยินเสี่ยวเป่าเอ่ยเสียงเศร้าก็รีบเอ่ยปลอบใจนาง

“ไม่เป็นไร ค่อยส่งไปให้ที่หนานเจียงก็ได้”

เสี่ยวเป่าเงยหน้าทันที “แต่ท่านอาสี่จะต้องสู้กับพวกคนเลวจากหนานจ้าว เสี่ยวเป่าอยากมอบปลาจิ๋นหลี่ให้ท่านอาสี่พกติดตัวไปด้วยนี่นา ท่านอาสี่จะได้เดินทางปลอดภัยหายห่วง”

หนานกงฉีอวิ๋น “อืม ข้าจะเร่งทำให้เสร็จให้เร็วที่สุด!”

เสี่ยวเป่าพลันกระตือรือร้นขึ้นมา “เสี่ยวเป่าจะช่วยพี่สามอีกแรง เสี่ยวเป่าผสมสีได้”

เรื่องปั้นดินเหนียวนางไม่ถนัด แต่เรื่องผสมสีนับว่าเป็นพรสวรรค์

สีสันในโลกนี้มีมากมาย สีบางเฉดหากมองเพียงผิวเผินก็อาจจะดูคล้ายกันมาก ทว่าสีแต่ละเฉดนั้นย่อมมีความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ซ่อนอยู่ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนไวต่อสี ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะแยกออก

เสี่ยวเป่าเป็นภูตพฤกษาที่คุ้นเคยกับธรรมชาติ เป็นที่รักใคร่ของสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ ย่อมต้องมีความสามารถในการแยกแยะสีสันในธรรมชาติ จึงไม่แปลกที่นางจะสามารถผสมสีได้หลากหลาย

แม้หนานกงฉีอวิ๋นจะไม่รู้ว่าต้องผสมอย่างไรจึงจะได้สีที่ต้องการ แต่เสี่ยวเป่ารู้ว่าพี่สามสามารถแยกความต่างของสีได้

พี่สามของนางเป็นอัจฉริยะ เป็นศิลปินโดยกำเนิด!

น่าเสียดายที่เมื่อก่อนเขาหมกมุ่นอยู่แต่กับงานไม้ ถึงไม่ได้ค้นพบพรสวรรค์ด้านนี้ให้เร็วกว่านี้

เสี่ยวเป่าชอบภาพที่พี่สามวาดมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะภาพตุ๊กตาหัวโตตัวเล็ก พอยิ่งระบายสีลงไปแล้ว ภาพพวกนั้นก็ยิ่งงดงามราวกับต้องมนต์สะกด ความนุ่มนิ่มน่ารักแทบจะพุ่งออกมาจากกระดาษ ยิ่งเขาวาด ก็ยิ่งมีภาพเสี่ยวเป่าตัวน้อยน่ารักเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งภาพ แต่หากจะลงสีทุกภาพก็คงจะยิ่งช้า ตอนนี้จึงมีภาพวาดดังกล่าวเพียงสามภาพเท่านั้น

ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้หนานกงฉีอวิ๋นคล่องแคล่วมากขึ้น ตุ๊กตาดินเผาสุดน่ารักถูกปั้นเสร็จในเวลาไม่ถึงสองวัน

ขั้นตอนต่อไปคือการทำให้ตุ๊กตาดินเผาแห้งก่อนจะนำไปเผาในเตา

ในขณะเดียวกันก็ถึงเวลาออกเดินทางของหนานกงฉีโม่

แม้เป็นวันออกเดินทาง เขายังคงสวมอาภรณ์สีแดงและทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงิน

ตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึงที่นี่จนกระทั่งวันนี้ก็นับว่าเป็นเวลาไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะโตขึ้นมาก

ชายหนุ่มยังคงมีใบหน้างดงาม แต่ไม่ได้หวานหยดย้อยดุจสตรี ดวงตาจิ้งจอกคู่หนึ่งกวาดมองพี่ ๆ น้อง ๆ ด้วยรอยยิ้ม มันไม่ใช่รอยยิ้มปลอม ๆ ที่เป็นเสมือนหน้ากากอย่างในอดีตที่ผ่านมา แต่เป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ที่ออกมาจากใจจริง

ยามนี้เขาดูสุขุมขึ้นไม่น้อย ความเศร้าหมอง ความเคร่งเครียดที่เคยแสดงออกมาระหว่างคิ้ว และความเหงาได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความผ่อนคลายและความดิบเถื่อนที่ทำให้ตัวเขาน่าดึงดูดมากขึ้น

“ข้าต้องไปแล้ว พี่ ๆ น้อง ๆ รักษาตัวด้วย!”

เขาลูบหัวของน้องชายทั้งสาม ก่อนจะหันไปชกไหล่น้องสาม น้องสี่ และน้องห้าเบา ๆ

“รีบโตหน่อย เสด็จพ่อรอพวกเจ้าอยู่”

รอให้พวกเจ้าไปแบ่งเบาภาระงานราษฎร์งานหลวงจากเขา

ทันใดนั้นใบหน้าขององค์ชายห้าพลันฉายแววหดหู่ “พี่รอง ท่านอย่าพูดให้เป็นลางในเวลาเช่นนี้จะได้หรือไม่”บราวนี่ออนไลน์

ยิ่งเขาได้เห็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของพี่ใหญ่และพี่รองที่ต้องช่วยเสด็จพ่ออ่านฎีกา แค่คิดหัวก็ปวดตุบ ๆ แล้ว

หากถึงยามที่เขาโตพอจะเข้าร่วมประชุมขุนนางแล้วแอบขี่ม้าไปสมทบกับพี่รองที่เมืองหน้าด่าน ไม่รู้ว่าเขาจะถูกเสด็จพ่อลงโทษจนสิ้นใจหรือไม่

หนานกงฉีโม่หันมาหาเสี่ยวเป่าที่อยู่ข้าง ๆ เขายอบตัวลงอุ้มน้องสาวที่ถูกห่อไว้แน่นจนเหลือเพียงหัวทุย ๆ โผล่ออกมาจากเสื้อผ้าหนาชิ้น มือเรียวยกขึ้นถูแก้มนุ่มนิ่มของเจ้าตัวเล็ก ในใจพลันรู้สึกไม่อยากปล่อยมือ

เสี่ยวเป่ากอดคอเขาไว้แน่น ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาจวนจะร้องไห้อยู่รำไร ใบหน้านวลฉายแววอาวรณ์อย่างเห็นได้ชัด

นางยังถูไถใบหน้ากับตัวพี่รองด้วยความรักใคร่ เหมือนกับหนูน้อยตัวอวบออดอ้อนเจ้าของ พลางใช้กรงเล็บเล็ก ๆ กอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ

“พี่รองรักษาตัวด้วย อย่าลืมกินข้าว อย่าลืมพกยาที่เสี่ยวเป่าเตรียมให้ติดตัวด้วย แล้วก็อย่าหักโหม…”

เสียงใส ๆ ของเจ้าตัวน้อยร่ายยาวออกมาอย่างนุ่มนวล และปิดท้ายด้วยการจุ๊บหน้าพี่รอง

“พี่รอง ท่านยังไม่ไปเสี่ยวเป่าก็เริ่มคิดถึงท่านแล้ว”

หนานกงฉีโม่สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วส่งเสี่ยวเป่าให้อาสี่ที่ยืนอยู่ข้างกัน กลัวว่าหากช้ากว่านี้ เขาอาจเปลี่ยนใจจนไม่อาจทำใจจากไปได้ น้องสาวของเขาขี้อ้อนเกินไปแล้ว

“พี่ใหญ่ ข้าต้องไปแล้ว”

หนานกงฉีซิวพยักหน้าก่อนจะยกมือเรียวขึ้นลูบหัวคนเป็นน้อง ทั้ง ๆ ที่ความสูงก็พอ ๆ กัน ทว่ายามนี้หนานกงฉีโม่กลับดูเหมือนน้องชายตัวน้อยที่แสนเชื่อฟัง

“รักษาตัวด้วย”

หนานกงฉีซิวตั้งใจเอ่ยเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหยิบเครื่องรางป้องกันภัยออกมาจากเสื้อแล้วมอบให้อีกฝ่าย

หนานกงฉีโม่รับเครื่องรางมา สองพี่น้องสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ผู้เป็นน้องจะหันหลังกลับ แล้วเดินไปขึ้นหลังม้าด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย

ไปคราวนี้ วันข้ามปีก็คงไม่ได้กลับมา

เมืองหน้าด่านอยู่ห่างไกล เดินทางไปกลับต้องใช้เวลานาน อีกทั้งเมืองหน้าด่านยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างรอให้เขากลับไปจัดการแก้ไข เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อใด

สายลมหนาวพัดผ่านใบหน้า ขบวนทัพของหนานกงฉีโม่เริ่มออกเดินทาง รอยเกือกม้าและรอยล้อรถม้าถูกทิ้งไว้บนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะขาว ทอดยาวออกไปไกล