บทที่ 271 จัดหาที่ทางให้ทหารทุพพลภาพ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 271 จัดหาที่ทางให้ทหารทุพพลภาพ

บทที่ 271 จัดหาที่ทางให้ทหารทุพพลภาพ

เมื่อพี่รองจากไปแล้ว เสี่ยวเป่ารู้สึกหดหู่เพียงสองวัน แต่ไม่นานก็ค่อย ๆ ร่าเริงขึ้น

เจ้าตัวน้อยลูบแก้มนุ่มนิ่มของตนเอง “ต้องช่วยพี่รอง ต้องหาเงิน!”

ที่ที่พี่รองไปนั้นมีอากาศหนาวเย็น ตอนนี้ประโยชน์ของเสื้อขนสัตว์ค่อย ๆ เป็นที่ประจักษ์ นับวันเริ่มมีคนรู้ถึงข้อดีของเสื้อชนิดนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

โชคดีที่ก่อนเข้าฤดูหนาวได้รวบรวมขนแกะไว้เป็นจำนวนมาก อย่างน้อยในฤดูหนาวนี้ เหล่าทหารแถบชายแดนก็ไม่ต้องทนหนาวเหมือนที่ผ่านมา

นอกจากพี่รอง ท่านอาสี่ก็ต้องออกเดินทางด้วยเช่นกัน

แต่สิ่งที่เสี่ยวเป่าไม่รู้ก็คือ เมื่อเทียบกับหนานกงฉีโม่ที่จากไปพร้อมกับกำลังพลมากมาย ท่านอาสี่ของนางกลับมีเพียงรองแม่ทัพและองครักษ์ไม่กี่คนที่ออกเดินทางไปพร้อมกับเขา

ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำสัมภาระติดตัวไปไม่มากนัก

ขณะที่เสี่ยวเป่านำข้าวของเต็มคันรถม้าหลายคันมาถึงหน้าจวนเจิ้นหนานอ๋อง หนานกงจ้านก็กำลังเตรียมตัวให้กับเจ้าเฉาเฟิง

ม้าต้องได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งยังต้องเปลี่ยนเกือกม้าชิ้นใหม่ด้วย

“ท่านอ๋อง องค์หญิงเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงจ้านลูบเจ้าเฉาเฟิงแล้วผละจากไปภายใต้สายตาเป็นประกายของมัน

กีบเท้าของเฉาเฟิงถูกผูกติดเอาไว้ทำให้ไปไหนไม่ได้ มันก็อยากเจอเสี่ยวเป่าเหมือนกัน!

ในที่สุดเจ้าเฉาเฟิงจอมหงุดหงิดก็พ่นลมทางจมูกใส่ช่างที่กำลังตอกเกือกม้าให้กับมัน

ช่างซ่อมเกือกม้า “…”

เขาทำอะไรให้โกรธหรือ ไม่พอใจอยู่เงียบ ๆ.jpg

หนานกงจ้านมาถึงที่หน้าทางเข้าจวน ทันทีที่เห็นรถม้าและข้าวของต่าง ๆ ที่ขนลงมาอย่างไม่ขาดสายโดยมีเสี่ยวเป่าคอยชี้นิ้วสั่ง เขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว

เขานิ่งอึ้งอยู่สามลมหายใจ นัยน์ตาสีมรกตมองหลานสาวตัวน้อย

“เสี่ยวเป่านี่เจ้า…กำลังทำอะไร”

เจ้าก้อนแป้งที่ห่อหุ้มด้วยชุดปุกปุยพูดเสียงนุ่มนิ่ม “เอาของมาให้ท่านอาสี่อย่างไรล่ะเพคะ”

จากนั้นเจ้าตัวน้อยก็ไม่รังเกียจที่จะแนะนำข้าวของทุกชิ้นอย่างเจื้อยแจ้ว

ของที่นางเตรียมให้พี่รอง ท่านอาสี่ก็มีด้วยอย่างละหนึ่งชุด เหลือก็เพียงตุ๊กตาดินเผาที่ยังหลอมไม่เสร็จ

เสี่ยวเป่าไม่ลำเอียงแม้แต่น้อย ใครดีกับนาง นางก็ทำดีต่อพวกเขายิ่งกว่า นอกจากท่านพ่อ ก็ไม่เอนเอียงหาผู้ใดทั้งนั้น!

หนานกงจ้าน : …ข้าซึ้งใจมาก แต่ว่า…

“ของพวกนี้ข้าเอาไปหมดไม่ได้หรอก”

เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ คล้ายกับฟังที่ท่านอาสี่พูดไม่กระจ่าง รู้สึกสับสนเล็กน้อย

กรอบหน้าเด่นชัดทั้งยังเด็ดเดี่ยวของหนานกงจ้านฉายแววผิดหวัง เขาเดินเข้าไปลูบหัวเสี่ยวเป่าพลางอธิบายว่า

“ข้าต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด จึงนำคนและสัมภาระขึ้นหลังม้าไปเพียงไม่มาก นำของมากมายเช่นนี้ไปด้วยไม่ได้หรอก”

ม้าเพียงไม่กี่ตัว ลำพังแค่บรรทุกคนเดินทางไกลก็เหนื่อยเกินพอ ไม่สามารถแบกของเยอะกว่านี้ได้อีกแล้ว

เสี่ยวเป่ามีสีหน้าเศร้าหมองในทันที ใบหน้าน้อย ๆ ปรากฏรอยยับยู่ น้ำตาคลอดูน่าสงสารจับใจ

“เอาไปไม่ได้หรือ”

นางเตรียมข้าวของไว้ตั้งมากมาย แต่กลับนำไปด้วยไม่ได้ หากระหว่างทางท่านอาสี่รู้สึกหนาว หิวหรือว่ากระหายขึ้นมาจะทำอย่างไร แล้วถ้าตอนกลางคืนไม่มีที่นอนจะทำอย่างไร

กลุ้มใจ.jpg

หนานกงจ้านคุกเข่าอยู่ระดับสายตาของเสี่ยวเป่า “ไม่ต้องเป็นห่วงไป อาสี่เคยเดินทางตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”

เสี่ยวเป่าพุ่งตัวเข้าใส่อ้อมแขนของเขา กอดคอท่านอาสี่พลางถูไถไปมาพร้อมกับเอ่ยกำชับเสียงหวาน

“ท่านอาสี่ต้องระวังตัวนะ อย่าทำให้ท่านพ่อกับเสี่ยวเป่าเป็นห่วง”

พูดไปพลางก็หยิบหยกขาวขึ้นมาหนึ่งชิ้น มันมีขนาดเล็กพอ ๆ กับกระดุมราบรื่น*[1]

“ท่านพ่อมอบสิ่งนี้ให้เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่าให้ท่านอาสี่ มันจะช่วยคุ้มครองท่าน”

ผิวสัมผัสของหยกขาวนั้นละเอียดทั้งยังขาวใสและเกลี้ยงเกลา งดงามราวกับรัศมีพร่ามัวกำลังเปล่งประกาย

ที่จริงแล้วหยกขาวมิได้มีลักษณะเช่นนี้ในตอนแรกเริ่ม เสี่ยวเป่าพกมันติดตัวและคอยบำรุงด้วยพลังวิญญาณทุกวัน ทั้งยังแช่ในโอสถเหลวที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นเวลานาน

นางชอบหยกชิ้นนี้มาก แต่เมื่อคิดว่าท่านอาสี่กำลังจะไปออกรบ ก็ตัดสินใจมอบหยกขาวชิ้นนี้ให้กับเขา

อย่างแรกคือไว้เป็นเครื่องรางนำโชค ส่วนเหตุผลอีกข้อก็คือหยกมีจิตวิญญาณ มันดูดซับพลังวิญญาณและฤทธิ์ยาของนางเอาไว้ หากท่านอาสี่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บในสนามรบ นางก็หวังว่าพลังวิญญาณและฤทธิ์ยาที่อยู่ภายในหยกขาวชิ้นนี้จะช่วยให้ท่านอาสี่แคล้วคลาดปลอดภัย

“เจ้าชอบสิ่งนี้มากเลยมิใช่หรือ…”

เสี่ยวเป่ายิ้มหวานดูน่ารักอ่อนโยน

“เสี่ยวเป่ายังมีอีกเยอะเลย”

นางมิได้บำรุงหยกเพียงแค่ชิ้นเดียว

นางชื่นชอบหินหยกและอัญมณีสวยงาม ไม่ว่าท่านพ่อ ท่านพี่ หรือว่าท่านอาเจ็ดก็ให้นางมาไม่น้อย

ครั้งหนึ่งเสี่ยวเป่าค้นพบโดยบังเอิญว่าหินหยกบางชนิดสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ ทว่ามีไม่มากนัก จนถึงตอนนี้นางพบหินหยกชนิดนี้เพียงห้าชิ้นเท่านั้น ทุกชิ้นล้วนแช่อยู่ในขวดโหลที่บรรจุโอสถและพลังวิญญาณเอาไว้

แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เสี่ยวเป่าคิดเอาเอง นางก็มิรู้ว่ามันจะให้ผลเช่นไร

เพราะว่าท่านอาสี่ต้องไปออกรบ นางจึงคิดจะมอบหยกให้เขาหนึ่งชิ้น แม้แต่พี่รองก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

หินหยกชิ้นอื่น ๆ เสี่ยวเป่าตั้งใจว่าจะแช่ให้นานอีกหน่อย จากนั้นก็ค่อยให้ท่านพ่อหาช่างแกะสลักให้เป็นรูปเป็นร่างแล้วจึงมอบให้ท่านพ่อกับพวกท่านพี่

เพียงแต่ว่ามีน้อยเกินไป ไม่พอแบ่งให้กับทุกคน

หนานกงจ้านในยามนี้คิดว่านอกจากความสวยงามแล้ว ก็ไม่เห็นว่าหยกชิ้นนี้จะต่างจากหยกชิ้นอื่นตรงไหน เพียงแต่เป็นของขวัญจากหลานสาวจึงรับเอาไว้ มิหนำซ้ำยังสวมไว้ที่คออย่างทะนุถนอม

ข้าวของเครื่องใช้ที่เสี่ยวเป่านำมาให้มีมากเกินไป ลำพังแค่เสื้อขนสัตว์ก็หลายตัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีถุงมือ ผ้าพันคอ และสนับเข่า ข้าวของที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นเสบียง ทั้งยังมีขนมอบและบะหมี่ที่สามารถเก็บไว้ได้อีกมากมายหลายอย่าง

เขาเข้าใจความสำคัญของขนมอบและบะหมี่เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ทำให้รู้สึกปวดใจมากขึ้นไปอีก

เอาไปทั้งหมดไม่ได้!

เสี่ยวเป่าเลือกออกมาบางส่วนอย่างพิถีพิถัน แต่จำนวนก็ยังเยอะเกินไปอยู่ดี

ในที่สุดหนานกงจ้านก็ออกโรงเอง เขาเลือกนำของไปเพียงนิดเดียวทำเอาเสี่ยวเป่ารู้สึกเศร้าใจ

“ถ้ามีไปรษณีย์ก็คงจะดี”

หนานกงจ้านที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินหลานสาวตัวน้อยบ่นพึมพำเบา ๆ

หนานกงจ้าน “???”

“ไปรษณีย์คืออะไร”

เสี่ยวเป่ากะพริบตาคู่โต แย่แล้ว เผลอพึมพำความในใจออกไปอีกแล้วสิ

“มันคือ… คือการส่งของเพคะ”

หนานกงจ้าน “ก็สำนักคุ้มภัยอย่างไรเล่า ทว่าน่าเสียดายนักที่สำนักคุ้มภัยไม่อยากไปส่งของท่ามกลางสภาพอากาศเช่นนี้”

“มันไม่เหมือนกัน”

เสี่ยวเป่าพึมพำ “ไปรษณีย์ส่งของได้ทุกประเภท ไม่ว่าเมืองไหน ๆ ก็มีทั้งนั้น ทั้งยังรวดเร็วและส่งของทุกวันอีกต่างหาก”

โดยพื้นฐานแล้วคนรุ่นหลังมักจะชอบซื้อสินค้าออนไลน์ ดังนั้นจึงมีไปรษณีย์ให้บริการอยู่เต็มไปหมด ถึงขั้นในเมืองเล็ก ๆ ยังมีจุดรับส่งไปรษณีย์อยู่หลายแห่ง

แม้เสี่ยวเป่าจะไม่เคยซื้อของทั้งยังไม่เคยส่งไปรษณีย์ แต่นางได้เห็นมามากจึงพอรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง

ตอนนั้นนางคิดเพียงว่ามันก็สะดวกดี แล้วมนุษย์ก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะเดินไปซื้อของเอง

แต่ว่าตอนนี้…

ฮือ ๆ ๆ…ไปรษณีย์เป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ หากว่าที่นี่มีไปรษณีย์ละก็ อยากส่งอะไรให้พี่รองกับท่านอาสี่ก็ไม่มีปัญหา

ถึงแม้สำนักคุ้มภัยจะช่วยขนส่งสิ่งของได้ แต่ก็ใช้เวลานานในการออกเดินทางแต่ละครั้ง เพราะว่าพวกเขาต้องรวบรวมสินค้าให้เพียงพอถึงจะออกเดินทางได้ มิหนำซ้ำเส้นทางก็ไม่ปลอดภัยอีกด้วย

หนานกงจ้านมิได้เก็บไปใส่ใจ หลังจากเก็บข้าวของที่เสี่ยวเป่านำมาให้เรียบร้อยแล้วก็พานางกลับวัง เขายังมีธุระให้ต้องจัดการอีกหลายเรื่อง

ทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับเปิดศึกกับหนานจ้าวได้ทุกเมื่อ เขามิเคยเกรงกลัวสงคราม แต่มีอีกหนึ่งปัญหาที่เขาเป็นกังวลมากที่สุด

“ทุกปีจะมีทหารที่บาดเจ็บหลังจบศึกสงครามจำนวนมาก ทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านี้จะจัดการเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ”

พวกเขาล้วนเป็นพี่น้องในสนามรบ ทั้งยังเป็นทหารของเขา

ทหารเหล่านี้มิอาจสู้รบได้อีก ส่วนใหญ่ร่างกายพิกลพิการ ในยุคสมัยนี้ เหล่าทหารพิการที่กลับบ้านเกิดเมืองนอนล้วนแต่ถูกทอดทิ้ง เพราะเมื่อไม่สามารถช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา พวกเขาก็เป็นเพียงภาระ ต่อให้มีสัมพันธ์ที่ดีเพียงใด แต่นานวันเข้าสัมพันธ์พวกนั้นก็จะค่อย ๆ เลือนหาย สุดท้ายไม่ว่าไปที่ใดก็ล้วนแต่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์

ทั้งที่เป็นผู้ปกป้องรักษาบ้านเมือง เป็นวีรบุรุษในสงคราม แต่สุดท้ายกลับต้องใช้ชีวิตอย่างต่ำต้อยน่าเวทนา ถึงขั้นมีทหารที่ร่างกายไม่สมประกอบจำนวนไม่น้อยที่กลับไปบ้านแล้วฆ่าตัวตาย

หนานกงจ้านเคยเห็นกับตาของตน เมื่อได้พบกับทหารของเขาอีกครั้งหลังจากกลับบ้านไปได้ไม่กี่ปี บ้างกลายเป็นขอทานเพราะความพิกลพิการ บ้างก็ถูกที่บ้านด่าทอทุบตี ทำให้รู้สึกต่ำต้อยจนมิอาจปฏิเสธได้แม้แต่ประโยคเดียว บ้างชีวิตก็ถูกเหยียบย่ำจมดินและกระโดดน้ำตายในที่สุด…

เพราะเคยเห็นจึงรู้ดีว่าผู้ที่รอดชีวิตจากการสูญเสียแขนขาในสงคราม ทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าคนที่ตายในสนามรบเสียอีก

แต่การจะจัดหาที่ทางให้กับคนเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหามานับตั้งแต่อดีต ต้าเซี่ยได้เตรียมการไว้แล้วว่าจะมอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งให้แก่ทหารทุกคนที่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าเงินพวกนั้นมิอาจเลี้ยงดูพวกเขาไปทั้งชีวิต

ราชสำนักเองก็ไม่สามารถเลี้ยงดูคนตั้งมากมายไปตลอดชีวิตเช่นกัน

หนานกงจ้านช่วยเหลือทหารพิการเหล่านั้นด้วยเงินของตัวเองมาโดยตลอด แต่เขามิอาจช่วยเหลือได้ทุกคน

เมื่อสงครามอุบัติขึ้น สิ่งที่ต้องดิ้นรนให้ได้มาก่อนศึกสงครามคือผู้คน อาวุธ และเสบียง แต่ปัญหาที่ต้องจัดการหลังศึกสงครามก็สำคัญไม่แพ้กัน

หนานกงจ้านมีสีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาสีมรกตมิอาจทนไหว “ข้าได้เห็นชีวิตของเหล่าทหารพิการที่ถูกปลดประจำการ ข้าจึงอยากช่วยเหลือพวกเขาให้ได้มากที่สุด”

เขารู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่คนพวกนั้นต่างก็เป็นทหารของเขา

หนานกงสือเยวียนย่อมเข้าใจในเรื่องนี้ดี ตัวเขาเองก็เคยนำทหารออกรบไม่ต่างไปจากน้องชาย

ทว่าปัญหานี้มิเคยได้รับการแก้ไขแม้แต่ครั้งเดียว

“แม้ข้าจะสามารถจัดหาที่ทางให้พวกเขาได้บางส่วน แต่ว่าจวนเจิ้นหนานอ๋องไม่มีที่พอให้พวกเขาแล้ว”

เขานึกออกเพียงวิธีโง่เขลา โดยการรับทหารทุพพลภาพที่ไร้บ้านมาไว้ที่จวนเจิ้นหนานอ๋องให้คอยช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ

“เสด็จพ่อ ลูกเองก็รับทหารปลดประจำการบางส่วนให้มาทำหน้าที่องครักษ์ได้พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงฉีซิวลุกขึ้นยืน แต่เขารู้ดีว่านี่มิอาจช่วยแก้ปัญหาได้

ต่อให้องค์ชายทุกพระองค์จะรับเหล่าทหารเอาไว้ แต่ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

“ท่านอาสี่ พวกเขาเก่งกาจมากใช่หรือไม่”

หนานกงจ้านเดินทางมาหารือปัญหานี้กับเสด็จพี่เป็นการส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เสี่ยวเป่าจึงอยู่ด้วย นางวิ่งไปนั่งในอ้อมแขนของท่านพ่ออย่างว่าง่าย

พวกเขามิได้ปิดบังบทสนทนาแต่อย่างใด เสี่ยวเป่าจึงได้ยินทุกสิ่งอย่างชัดเจน

หนานกงจ้านพูดอย่างภาคภูมิใจ

“แน่นอน พวกเขาล้วนเป็นทหารที่ฝึกฝนในสนามรบมาเป็นอย่างดี เป็นชายชาติทหารผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง!”

ทว่าบุรุษเหล่านี้กลับมิได้มีจุดจบอันงดงาม นี่เป็นเรื่องที่หนานกงจ้านรู้สึกเสียใจตลอดมา

เสี่ยวเป่ากะพริบดวงตากลมโต “เช่นนั้นก็ให้พวกเขาช่วยขนส่งสิ่งของสิเพคะ”

จู่ ๆ เสี่ยวเป่าก็จุดประกายความคิดขึ้นมาได้ หลัก ๆ ก็เป็นเพราะว่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กับท่านอาสี่ไปพอดี

คนในยุคนี้ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยและความลำบาก พวกเขายอมทำทุกอย่างขอเพียงสามารถหาเงินมาจุนเจือครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีได้

ส่งของแค่รอบเดียว สำนักคุ้มภัยสามารถหาเงินได้มากกว่าคนธรรมดาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ทว่าสิ่งที่พวกเขาทำล้วนแต่เป็นการถวายเลือดเนื้อให้กับคมดาบ โจรภูเขาคืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขา

แต่ว่าทหารที่เคยฆ่าคนและเห็นเลือดไหลนองในสนามรบมาแล้ว ย่อมไม่มีทางหวาดหวั่น!

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกไป สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่เสี่ยวเป่าเป็นตาเดียว

[1] กระดุมราบรื่น (平安扣) หมายถึง หยกที่ทำเป็นทรงเหรียญจีนโบราณ มีรูตรงกลาง สมัยก่อนจนถึงปัจจุบันมีความเชื่อว่าสามารถอธิษฐาน วิงวอนขอความช่วยเหลือหรือขอสิ่งที่ปรารถนาผ่านรูเหรียญเพื่อติดต่อกับเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้