“ขอถามได้หรือไม่ สามขั้นตอนนั้นคืออะไรหรือ”
“ยามนี้ ข้ายังไม่กล้าพูดอะไรมากจริงๆ” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและส่ายศีรษะพลางผลักอาวุธเวททั้งสองชิ้นกลับคืนไปให้เขา
เขาไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับกรรมนั้น
ทว่าบัดนี้ แม่ทัพตงมู่เป็นผู้ส่งสารขององค์เง็กเซียน หลี่ฉางโซ่วจึงรู้ว่าไม่อาจทำให้เขาขุ่นเคืองได้
และบนพื้นฐานของการไม่รับผลของกรรมและไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ เขาจึงทำได้เพียงให้ความคิดกับแม่ทัพตงมู่…
เหตุใดต้องรีบร้อนให้ของล้ำค่าแก่ข้าเช่นนี้
ในหอโอสถแห่งยอดเขาหยกน้อย ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วพึมพำกับตัวเอง เขาได้แอบส่งตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกไปนอกสำนักเพื่อไปยังขอบทะเลทักษิณ
แต่แม่ทัพตงมู่ยืนกรานที่จะให้หลี่ฉางโซ่วเก็บคลังเวทจัดเก็บทั้งสองเอาไว้เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณต่อหลี่ฉางโซวอย่างซาบซึ้งใจ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่หลี่ฉางโซ่ว มอบให้เขาเป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาโดยการรักษาตามอาการ หาใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาไม่ ทว่ามันก็ดูราวกับว่าได้เปิดประตูสู่โลกใหม่ให้เขาแล้ว…
หลี่ฉางโซ่วแอบคาดคำนวณและตระหนักว่าสมบัติที่เขาได้รับจะเพียงพอสำหรับเขาสองสามปี
หลังจากการแข่งขันภายในสำนักสิ้นสุดลง ยอดเขาต่างๆ ของสำนักตู้เซียนก็เงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว และเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ก็กลับมาฝึกฝนต่อทุกวันอีกครั้ง
หลิงเอ๋อร์ จิ่วจิ่ว และโหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งเพิ่งมาถึงเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว ในเวลานี้ กำลังดื่มและเล่นกันสนุกสนานอยู่ในกระท่อมมุงจาก
มันเป็นการรวมตัวของเหล่าเทพธิดา ซึ่งไม่เหมาะที่หลี่ฉางโซ่วจะปรากฏตัวออกมา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ข้ามไปหา และในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็พลันหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาและลงสลักเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เขาต้องทำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนจะถึงการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋า
ขั้นแรก เขาต้องปรับแต่งรากฐานค่ายกล เพิ่มเติมค่ายกล และสร้างฐานหลักของระบบค่ายกลของยอดเขาหยกน้อย
ขั้นที่สอง เขาจะปรับปรุงทักษะสงบลมปราณเต่าต่อไปเพื่อจัดการกับสถานการณ์ในกรณีที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยง ‘ภัยพิบัติ’ ได้ หลี่ฉางโซ่วได้ตัดสินใจที่จะไม่ไปเข้าร่วมการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋า ตราบใดที่เซียนจินทั้งสองในสำนักไม่มาตรวจสอบและดูแลเขา เขาก็จะสามารถจัดการรับมือกับมันได้เอง
แต่หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่า เรื่องนี้ต้องไม่ง่ายขนาดนั้นอย่างแน่นอน…
หลังจากสองเรื่องนี้แล้ว เขาจะพยายามทำเงินจากการเล่นแร่แปรธาตุ
มีสิ่งที่ไม่ได้เขียนเอาไว้บนม้วนไม้ไผ่ ซึ่งเป็นสองสิ่งที่เขาต้องทำ นั่นคือ เขาต้องติดตามความเคลื่อนไหวของผู้คนในยอดเขาเซียนหลิน และช่วยให้อาจารย์ของเขาออกจากการปิดด่าน
และด้วยวิธีนี้ ชีวิตการฝึกฝนของเขา หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันภายในสำนักก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ
หลี่ฉางโซ่วใช้เวลาสามปีในการทำงานก่อนที่เขาจะสามารถเปลี่ยนสมบัติและของขวัญจากแม่ทัพตงมู่ให้เป็น ‘ระบบป้องกันแห่งยอดเขาหยกน้อย’
หลี่ฉางโซ่วกังวลว่าคลังเวทจัดเก็บทั้งสองซึ่งแม่ทัพตงมู่มอบให้เขาเก็บรักษาไว้จะมี ‘การติดตาม’ ดังนั้นเขาจึงปิดการใช้งานพวกมันโดยตรง
หลังจากตรวจสอบสมบัติและศิลาวิญญาณอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ใช้ตำราลับแห่งเผ่าเวทเพื่อปิดผนึกทีละของชิ้นก่อนที่จะเก็บไว้ในถุงเก็บสมบัติของเขา สมบัติและอาวุธเวทที่อยู่ภายในนั้น หลี่ฉางโซ่วได้จัดเตรียมเอาไว้เพื่อมอบให้กับตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่รับผิดชอบในการป้องกัน เขาไม่อาจเก็บมันเอาไว้ข้างกายเขาได้…จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ได้ทำการคาดคำนวณเกี่ยวกับการเดินทางและเส้นทางการกลับมาของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ เขาให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ใช้ทางอ้อมสักสองสามเส้นทางก่อนจะกลับไปที่บริเวณใกล้เคียงกับสำนักตู้เซียน แล้วจากนั้น อาจารย์ของเขาก็จะออกไปนำตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์กลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย
ในยามนี้ เขาไม่อาจเปิดเผยตัวตนในยามนี้ของเขาต่อองค์เง็กเซียนได้
เขาจะไม่ยอมให้ภาพลักษณ์ของ “สุดยอดเซียนเหลี่ยมจัดปัญญาเลิศ” ที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างพากเพียรต้องถูกทำลาย…หลังจากวางรากฐานค่ายกลส่วนนั้นแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ได้หลอมโอสถบางอย่าง เขาคาดคำนวณว่าสุราของอาจารย์อาน้อยใกล้จะหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงบ่มสุราชั้นดีจำนวนหนึ่งเอาไว้ให้นาง
เขาได้ตัดเซียนเมามายออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว มันย่อมจะส่งผลกรรมบางอย่าง
ในวันนี้…เมื่อทุกอย่างมั่นคง หลังจากที่ยุ่งอยู่สองสามปีแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ต้องการพักผ่อน
การฝึกฝนก็เป็นเฉกเช่นนี้ มันต้องอาศัยการพักผ่อนอย่างเหมาะสม หากเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ก็รังแต่จะส่งผลให้อ่อนล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจเท่านั้น
ในขณะนั้น เขาได้เดินเล่นไปรอบๆ ยอดเขาหยกน้อย ซึ่งถือเป็นช่วงการพักผ่อนที่หาได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น มันยังง่ายสำหรับเขาที่จะสัมผัสได้ถึงบางอย่างจากก้นบึ้งในใจและเกิดจิตอริยะขึ้นมาเป็นครั้งคราว
ขณะที่เขาเดินผ่านป่า เขาก็สูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่นและถอนหายใจออกมา
เมื่อเขาเดินไปรอบๆ เขาก็มาถึงกรงสัตว์วิญญาณที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างอุตสาหะในตอนนั้น
หลี่ฉางโซ่วเลี้ยงสัตว์วิญญาณเพื่อ ‘คุณค่าโอสถ’ เป็นหลัก โอสถบางชนิดต้องใช้เลือดสัตว์วิญญาณ นอกจากนั้น ยังมีสัตว์ร้ายกลายพันธุ์อย่างแมงมุมสามตาที่สามารถใช้ได้
ในขณะนี้ เมื่อมองดูกรงสัตว์วิญญาณ เขาก็รู้สึกว่าสัตว์วิญญาณส่วนใหญ่ไร้ประโยชน์จริงๆ
แต่ท้ายที่สุด หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงมีความรู้สึกบางอย่างกับพวกมัน เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่มีอะไรทำ เขาจะมาหยอกล้อ ‘เจ้าอ้วนสอง’ ที่หัวทางทิศตะวันตกและ ‘อาฮัว’ ทางทิศตะวันออก แล้วเขาก็จะมีความสุขและสบายใจ
วันนี้ หลี่ฉางโซ่วเดินไปที่กรงสัตว์วิญญาณของเจ้าอ้วนสองตามเคย และทว่ารอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไป
หือ?
เจ้าอ้วนสองอยู่ที่ใดกัน
ทว่ากรงสัตว์วิญญาณยังคงเดิมโดยไม่มีที่ใดบุบสลาย ดูเหมือนว่าพวกมันจะหนีออกไป
จากนั้น เขาจึงกวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปตรวจสอบ…
เอ๋?
เหตุใดสัตว์วิญญาณมากกว่าครึ่งจึงหายไปจากกรงสัตว์วิญญาณของเขา
หลี่ฉางโซ่วตรวจสอบศิษย์น้องหญิงของเขา ท่านอาจารย์ และอาจารย์อาน้อยของเขาซึ่งกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงของหลิงเอ๋อร์ในทันที ในเวลานี้ เขาพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติกับยอดเขาหยกน้อย โดยปกติแล้ว เขามักจะกวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปบนยอดเขาหยกน้อย เมื่อเขากำลังปรับแต่งรากฐานค่ายกล หรือฝึกฝน และหากมีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้น เขาก็จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเอง
หากไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้น ภาพเหล่านั้นก็จะกลายเป็นความทรงจำ พวกมันไม่สามารถเข้าสู่จิตใจของเขาได้ และจะถูกเก็บเอาไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจของเขาเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญที่ฝึกฝนมานานหลายร้อยปีแล้ว ต้องมีความพร้อมเสมอ ‘ทักษะ’ ประเภทนี้นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วบีบนิ้วคำนวณและค้นหาความทรงจำของเขา และไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เห็นภาพเหตุการณ์ประจำวันที่เขามองข้ามไปโดยไม่รู้ตัวมาก่อน…
ราวสามปีที่แล้ว ในยามบ่ายวันหนึ่ง สามสาวโฉมงามได้มาปรากฏตัวในกรงสัตว์วิญญาณ
หลิงเอ๋อร์มองไปที่สัตว์ร้ายที่ตายเพราะนางลืมให้อาหารมันด้วยความทุกข์ใจ ในเวลานั้น นางรู้สึกอับจนหนทางอย่างยิ่ง ในขณะนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันถอนหายใจและกล่าวว่า “ศิษย์น้อง ข้าเสียใจด้วย เจ้าอย่าเศร้าโศกไปเลย ทำใจให้ร่าเริงขึ้นดีกว่า”
“ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้ ข้าละเลยมันไป เพราะการแข่งขันภายในสำนัก อย่างมากที่สุดข้าก็ถูกศิษย์พี่ดุว่าเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
หลิงเอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ และยิ้ม “เช่นนั้น ก็เป็นโอกาสที่ข้าจะได้แสดงฝีมือของข้าแล้ว วันนี้เราไปที่ลำธารด้านหลังและย่างมัน ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ทันใดนั้น จิ่วจิ่วก็สนับสนุนอย่างร่าเริงทันที แม้โหย่วฉินเสวียนหย่าจะขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้หยุดยั้ง
ดังนั้น ในอีกครึ่งเดือนต่อมา…
“หลิงเอ๋อร์น้อย ดูนี่สิ มันดูเหมือนจะป่วยหรือไม่”
“อืม…ข้าก็ว่ามันป่วย”
“เราควรย่างมันดีหรือไม่”
“ของแบบนี้ต้องเคี่ยวแล้วทำเป็นน้ำแกง แล้วจะได้ลิ้มรสชาติที่ดีที่สุด” “ได้เลย!”
ดังนั้น สิบวันต่อมา…
“หาได้ยากที่เสี่ยวหยาจะมาที่นี่ในวันนี้ เหตุใดจึงไม่มีสัตว์วิญญาณที่น่ารักตัวใดชนต้นไม้เข้าสักต้นนะ”
อาจารย์อาแอบยกมือขึ้นแล้วชี้มือของนางออกไป แล้วจู่ๆ สัตว์วิญญาณสองตัวก็วิ่งชนต้นไม้จนตายทันที พวกมันยังสดมาก
และเจ็ดวันต่อมา…
“ดูเหมือนว่า เจ้าตัวนี้จะเป็นโรคลมแดด!”
และสามวันต่อมา…“ว้าว ดูเหมือนว่า เจ้าตัวนี้จะมีจิตมาร! เสี่ยวหยา เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่”
“เจ้าค่ะ!” โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าหงึกหงัก
“อันใดกัน…พวกท่านรู้ด้วยหรือเจ้าคะ” หลิงเอ๋อร์น้อยร้องออกมาอย่างรู้สึกผิด
อีกครั้ง…และอีกครั้ง…
ไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยุดการตรวจสอบแล้วยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างกะทันหัน
ไม่นะ ข้าแค่เวียนหัวเล็กน้อย
หากเขาออกมาจากการปิดด่านในอีกหนึ่งปีต่อมา สัตว์วิญญาณทั้งหมดในกรงสัตว์วิญญาณคงจะถูกผู้บำเพ็ญสตรีทั้งสามคนกินจนหมด! “หลานหลิงเอ๋อร์!”
สาวน้อยที่กำลังคัดลอกพระสูตรมั่นคงใต้ต้นหลิวพลันตัวสั่นสะท้านพลางยกมือขึ้นปิดตา
จบแน่แล้ว ถูกจับได้แล้ว…
ฉับพลันนั้น หลิงเอ๋อร์ได้ยินเสียงที่ฟังดูคล้ายกับลมหนาวจากแดนนรกขุมที่เก้าที่พุ่งทะลุผ่านเข้าไปในหูของนางจากทางด้านหลัง
“ไป ไปเชิญศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินของเจ้ามาที่นี่ ข้ามีอะไรบางอย่างจะพูดกับนาง”
“เอ่อ…เจ้าค่ะ!”
มือของหลิงเอ๋อร์สั่นสะท้านในขณะที่รวบชายกระโปรงขึ้นแล้วรีบขับเคลื่อนเมฆบินตรงไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์