บทที่ 271 ข้าอยากฆ่าคนคนหนึ่ง

“ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบคดีการลักพาตัวสมาชิกในครอบครัวของกองทัพทหารเกราะเหล็กอย่างละเอียด กวาดล้างพรรคพวกของสี่ขุนศึก อย่าละทิ้งทหารที่เกิดและตายเพื่อต้าจิ้น”

“ฝ่าบาท อย่าทำให้คนทั้งใต้หล้าต้องผิดหวังเลยพ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นฉางซานนำบัณฑิตที่อยู่ด้านหลัง คุกเข่าลงกับพื้นโดยพร้อมเพรียงกัน

แม้ว่าพวกเขาจะคุกเข่าลง แต่ใบหน้าของพวกเขากลับมุ่งมั่น หลังตั้งตรง หากฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่รับปาก พวกเขาจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

เดิมคนที่ยังตะโกนว่าถูกใส่ร้าย ตอนนี้เริ่มตระหนักได้ถึงความสิ้นหวัง จึงร้องไห้พลางมองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินและทุก ๆ คน

นอกจากนี้ยังมีคนที่มาจากครอบครัวยากจนที่ถูกครอบครัวของพวกเขาดูถูก และยังมีเจ้าหน้าที่ที่ถูกพวกเขารังแกอีกด้วย เมื่อกำแพงเริ่มสั่นคลอนผู้คนจึงช่วยกันผลักให้ล้ม อำนาจในวันนี้สูญสิ้นไป ทั้งตระกูลมีความผิด เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้แก้แค้นก็คงไม่มีอีกแล้ว

ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิดไม่ถึงว่าเผยยวนจะทำถึงขั้นนี้จริง ๆ เขาถึงขนาดลงมือประหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง ปากบอกว่าให้ตรวจสอบ แต่ว่าลับหลังคนกลับถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว ยังจะตรวจสอบอะไรอีก!?

ตัดแขนซ้ายขวาของเขาเช่นนี้ อำนาจฮ่องเต้ของเขาจะเหลืออะไรอีก

ถังกั๋วกงเอ่ยเตือนอย่างใจเย็น “ฝ่าบาท ตอนนี้ไม่มีทางเลือกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”

แน่นอนว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็รู้ว่าไม่มีทางเลือก เขาคิดว่าเผยยวนก็แค่แมวป่วยตัวหนึ่ง อย่างไรซะก็ต้องสนใจชื่อเสียงที่ตัวเองสั่งสมมา ทว่าก็ยังถูกเขาบีบจนถึงขั้นนี้

กองทัพทหารเกราะเหล็กไม่ยอมแพ้และเริ่มล้อมเข้ามา

ฮ่องเต้เซี่ยเจินหลับตาลง “ประหารเก้าชั่วโคตร”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาครอบครัวของขุนศึกทั้งสี่ก็หน้ามืด ก่อนที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินจะพูดอะไรต่อ พวกเขาก็ถูกคนหิ้วออกไปตัดหัวเสียแล้ว

ฉากอันนองเลือดทำให้ผู้ชายบางคนยังอดที่จะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ แต่เหตุผลที่ต้องตัดรากถอนโคนนั้น พวกเขาเป็นคนสอนให้กองทัพทหารเกราะเหล็กเอง!

“ค่ายของขุนศึกทั้งสี่ให้นายพลของราชสำนักดูแลต่อ เรื่องนี้มอบหมายให้…”

เขาต้องการมอบหมายให้หานเหล่ย แต่ในการเจรจานั้นเขาได้รับปากที่จะถอดหานเหล่ยออกจากตำแหน่งขุนนาง อย่างไรเสียวงการขุนนางก็มีขึ้นมีลง ผ่านช่วงเวลานี้ไปค่อยคืนตำแหน่งเดิมให้อีกที

แต่ตอนนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลับพบว่าตนเองไม่มีคนที่จะพึ่งพาได้เลยแม้แต่คนเดียว

บ้างก็ยังมีคุณสมบัติไม่พอ บ้างก็ยังทำไม่ได้ในตอนนี้

ฮ่องเต้เซี่ยเจินมองถังกั๋วกง “มอบให้ถังกั๋วกงก็แล้วกัน”

อย่างไรเสียเขาก็ยังภักดีอยู่ จุดนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินยังสามารถเชื่อใจได้

ก่อนที่เขาจะหาคนใหม่ได้ ให้อดีตแม่ทัพในราชสำนักเป็นผู้ควบคุมอำนาจของกองทัพ หากฝึกทหารได้ก็ถือเป็นการดี

เขาถูกกองทัพทหารเกราะเหล็กบีบจนถึงขั้นนี้ จึงไม่มีหน้าที่จะอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว “ประกาศราชโองการของข้าออกไป เรื่องใดควรตรวจสอบก็ต้องตรวจสอบ เรื่องใดควรทำก็ต้องทำ”

เอ่ยจบ ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็สะบัดแขนเสื้อและจากไปทันที

คราวนี้กองทัพทหารเกราะเหล็กไม่ได้ขวางเขาไว้แต่อย่างใด แต่เลือกที่จะแหวกทางให้พวกเขาเดินจากไป

ทุกย่างก้าวของฮ่องเต้เซี่ยเจินล้วนกลัวว่าพวกเขาจะโจมตีตลอดเวลา แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น เมื่อเขากลับมาถึงที่กระโจมเหงื่อก็แตกพลั่ก ๆ

หลังจากถอดหมวกออก ผมปลอมนั่นก็หลุดออกไปหลายจุด ฮ่องเต้เซี่ยเจินพิงลงบนเตียงและไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่

เจียงเต๋อก็ไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน การที่กองทัพทหารเกราะเหล็กข่มขู่ในวันนี้ หากประมาทเพียงเล็กน้อยก็เท่ากับเป็นการเปลี่ยนแผ่นดิน ตัวเขาเองก็นับว่ารอดมาได้อย่างหวุดหวิดเช่นกัน

“เจียงเต๋อ เจ้าว่าข้าแก่แล้วใช่หรือไม่?”

ผ่านไปเนิ่นนาน ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงได้เอ่ยถามออกมา

เจียงเต๋อรีบตอบกลับ “ฝ่าบาทตรัสอะไรเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้พระองค์อยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของชีวิต วัยหนุ่มแน่นและเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา จะแก่ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”

“ตั้งแต่เผยยวนกลับมา ข้ารู้สึกว่าเวลาของข้าเหลือไม่มากแล้ว และตอนนี้ข้าก็หัวเดียวกระเทียมลีบ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิดถึงฝันร้ายที่ฝันถึงอยู่ทุกคืน “เป็นเซี่ยอวี้ เขาโทษข้า นี่คือผลกรรมของข้า เขาต้องการให้ข้าได้รับความอัปยศ”

เจียงเต๋อไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

แต่จู่ ๆ ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลับดึงเขาเอาไว้ “เผยยวนจะไปจากหมู่บ้านตระกูลเฉินไม่ได้ ตอนนี้ไท่ซ่างหวงปกป้องเขาอยู่ ข้าทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรเขาไม่ได้ตลอดไป ขอเพียงเขาอยู่ที่นี่ไม่ไปซีเป่ย ข้าก็ไม่กลัวว่าเขาจะก่อกบฏอีก!”

คนซีเป่ยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฮ่องเต้ชื่อว่าอะไรแต่กลับรู้จักเผยยวนดี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเผยยวนตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นต้าจิ้นจะต้องถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างแน่นอน

แต่หากเผยยวนนำทหารลุกฮือก็เท่ากับว่าเขาเป็นคนทรยศ เผยยวนข่มขู่เขาและบีบให้เขาลงโทษคนของขุนศึกทั้งสี่สถานหนักไปแล้ว ก็คงจะไม่มีข้ออ้างอะไรอีกแล้ว

และเขายิ่งสร้างความสัมพันธ์กับคนที่นี่มากเท่าใด จุดอ่อนของเขาก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

“เจียงเต๋อ ข้าเห็นว่าจวนหย่งกวานโหวไม่มีคนดูแล คงไม่เหมาะเท่าใดนัก ไม่สู้ให้คนไปจัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อย จากนั้นก็ตกรางวัลเสียหน่อย ฉลองที่หย่งกวานโหวหายจากอาการป่วย”

เมื่อเห็นฮ่องเต้เซี่ยเจินเปลี่ยนเรื่อง เจียงเต๋อก็ได้สติขึ้นมา “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

จี้จือฮวนเลือกเรือนที่เคยใช้รักษากองทัพทหารเกราะเหล็กก่อนหน้านี้ เพื่อใช้รักษาผู้หญิงเหล่านี้

โชคดีที่พวกนางทำงานหนักมานานร่างกายจึงแข็งแรงดี แม้ว่าตอนนี้พวกนางจะอ่อนเพลียเล็กน้อย อาการบาดเจ็บภายนอกเหล่านั้นรักษาไม่นานก็หายได้ ไม่ถูกยาสลบทำลายสมองก็พอแล้ว

แต่สิ่งที่พวกนางมีความสุขที่สุดก็คือการได้กลับมาพบหน้าคนที่ตัวเองรัก

บางครั้งคุยไปคุยมาก็แอบร้องไห้ไปด้วย

“พวกเรากับซิ่งเชี่ยว ฟางฟาง เสี่ยวเม่ยถูกจับขึ้นรถม้าพร้อมกัน เถ้าแก่เนี้ยฮวาบอกว่าจะช่วยพวกเราเขียนจดหมายไปถาม พี่เถี่ยหนิวไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ พวกนางต้องไม่เป็นอะไรแน่”

จะไม่กังวลได้อย่างไรกัน หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางเล่า?

พวกเขาแทบอยากจะไปเจียงหนานเสียเดี๋ยวนี้

ฮวาเซียงเซียงหยิบพู่กันขึ้นมาพลางเอ่ยขึ้น “เอาเช่นนี้ ข้าจะให้พ่อข้าส่งรายชื่อกลับมาก่อน แล้วค้นหาตามชื่อและสำมะโนครัว วางใจเถอะ พวกนางอยู่กับพ่อข้าที่นั่นปลอดภัยแน่นอน ไม่มีใครกล้าเข้าไปชิงคนจากกลุ่มกองเรือหรอก”

เถี่ยหนิวได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับทหารเกราะเหล็กอีกหลายคน บอกว่าจะคุกเข่าให้ฮวาเซียงเซียง

“นี่ ๆ ๆ พวกเจ้าอย่าทำเช่นนี้ ข้าอายุยังน้อยรับการคารวะเป็นพิธีรีตองเช่นนี้ไม่ไหวหรอก หากเห็นข้าเป็นคนในครอบครัวก็ไม่ต้องเกรงใจกันเช่นนี้อีก” ฮวาเซียงเซียงเขียนคำสั่งลงบนจดหมายเต็มไปหมด

“เขียนเสร็จแล้ว นกพิราบส่งสารของเราล่ะ?”

เซียวเย่เจ๋อเหลือบมองไปที่หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อที่รออยู่ใต้ชายคาทางเดิน

“แควก” เมื่อหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อร่อนลงมา โต๊ะตัวนั้นถึงกับสั่นสะเทือน มันเหยียดอุ้งเท้าออกไปและมองไปที่ฮวาเซียงเซียง

“นี่…นี่จะได้จริงหรือ? อ้วนขนาดนี้ อาจถูกยิงลงมาและถูกย่างกินก่อนกระมัง”

“วางใจเถอะ มันฉลาดมาก” จี้จือฮวนนำจดหมายยัดเข้าไปในกระบอกจดหมาย

หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อก็ขยับปีกและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกินยาหลิงเฉวียนเข้าไปหรือไม่ มันถึงได้ฉลาดเป็นกรดและเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ดีอีกด้วย

ฮวาเซียงเซียงยกมือขึ้นป้องเหนือคิ้ว เมื่อเห็นหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อบินไกลออกไปจนลับตา ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความดีใจ “นกตัวนี้ดีจริง ๆ หากเอามาย่างกินเนื้อนั่นต้องเคี้ยวอร่อยเป็นแน่”

เซียวเย่เจ๋อที่กำลังจะบอกว่าหากเจ้าชอบข้าจะมอบให้ ก็รีบหุบปากลงทันที

เขาหันหน้าไป จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? เฮอะ เหตุใดเจ้าถึงตามพวกเราเข้ามาในหมู่บ้านได้”

เยว่พั่วหลัวที่กำลังจัดหม้อ ชาม และกระทะทุกใบให้เป็นระเบียบเรียบร้อยตามขนาดอยู่ที่มุมห้อง ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง “เจ้ากำลังพูดกับข้าหรือ?”

เซียวเย่เจ๋อเลิกคิ้วขึ้น “ใช่สิ ไม่อย่างนั้นที่นี่ยังจะมีใครเป็นคนนอกอีก”

เยว่พั่วหลัวไม่สนใจเขา “ข้าอยู่กับพวกเจ้ามาตลอดนั่นแหละ เดินเท้าเหนื่อยมากเลย ส่วนพวกเจ้ามีทั้งม้าทั้งรถ”

เซียวเย่เจ๋อกลอกตามองบน “ตอนนี้พวกเราไม่เดินทางแล้ว เจ้าก็ไปได้แล้ว”

แม้ว่านางจะช่วยเหลือพวกเขา แต่นางสามารถฆ่าคนได้ด้วยหนอนไม่กี่ตัว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนดีอะไร ดังนั้นไม่เข้าใกล้นางจะเป็นการดีที่สุด

เยว่พั่วหลัวเองก็ไม่ได้ไม่พอใจแต่อย่างใด ที่นางมาจงหยวนแต่เดิมก็เพราะมีภารกิจ เพียงแต่นางยังมีเรื่องที่ไม่ได้ทำ

“ตอนนี้ข้ายังไปไม่ได้ ข้าต้องฆ่าเขาเพื่อสำนักกู่” คนที่นางชี้ก็คือไป๋จิ่นที่กำลังแทะขนมเปี๊ยะอยู่

.

.

.