ตอนที่ 273 ผลักให้มาจนถึงจุดนี้ / ตอนที่ 274 ขอร้องอย่าทำเอง
ตอนที่ 273 ผลักให้มาจนถึงจุดนี้
ตี้อู๋เปียนครุ่นคิดแล้วถามขึ้น “ซาลาเปาน้อย เดือนธันวาฉันจะเข้าเขตป่าชั้นในของป่าเซียนโหยวกับเธอได้หรือยัง”
ตอนหน้าหนาวก็น่าจะได้ครึ่งปีแล้ว แม่ของลู่หันซูรอไม่ไหว
ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับซาลาเปาน้อย เขาคงไม่มีทางเหนื่อยตัวเอง อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็รักชีวิตตัวเองมาก
เขาต้องการพาซาลาเปาน้อยไปเก็บหญ้าร้อยรสกับดอกพันวันเพื่อช่วยชีวิตแม่ของศิษย์น้องเธอ ไขปริศนาการหายตัวไปของเธอ
จริงสิ ต้องเก็บผลหมื่นปีด้วย
ใครจะไปรู้ว่าวันไหนเผื่อต้องใช้! ก็เหมือนหญ้าร้อยปีกับดอกพันวัน!
ตี้อู๋เปียนแอบนึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ฟังเสี่ยวฉยงพูดให้จบ
“ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่คุณห้ามออกจากรัศมีวงแขนของฉันเด็ดขาด”
วรยุทธ์ไม่มี ความรู้เรื่องพิษเป็นศูนย์ ถ้าไปไหนไกลเธอไม่รับประกันความปลอดภัยของเขา
“ได้ ไว้พวกเรากลับจากเผ่า เธอเอาพวกภาพสมุนไพรให้ฉัน ฉันจะไปตามหาก่อน”
“อืม พยายามให้เต็มที่แล้วกัน อันที่จริงฉันหายตัวไปได้ยังไงมันไม่สำคัญแล้ว”
ก็ไม่ใช่เพราะเธอใจกว้างอะไร แต่เป็นเพราะเมื่อชาติที่แล้วผ่านการนองเลือดผ่านภูเขาซากศพมา ชาตินี้เธอจึงใจกว้างกับเพื่อนมนุษย์มากขึ้น
ขอแค่คนร้ายไม่โผล่ออกมาทำร้ายคนรอบตัวเธออีก เธอก็ไม่อยากเอาถึงขั้นฆ่าแกง
แต่อันตรายที่ไม่แน่นอนยังต้องทำให้กระจ่าง เพราะคนในครอบครัวจะเป็นห่วง
“อันตรายที่ซ่อนอยู่ยังไม่ถูกกำจัด พวกเราจะวางใจไม่ได้ ซาลาเปาน้อย เธออย่าคิดว่าตัวเองวรยุทธสูงแล้วจะประมาทนะ”
ตี้อู๋เปียนคิดเหมือนคนตระกูลเย่ว์
พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง คนร้ายอยู่ในที่มืด ไม่ระวังไม่ได้
“อืม ฉันจะระวังความปลอดภัย”
รับปากไปส่งเดช ในใจกลับไม่คิดแบบนั้น
ภายใต้ฝีมือที่ล้ำเลิศ แผนสกปรกทุกอย่างล้วนเป็นเพียงเมฆที่เบาบาง
ลู่จือฉินก็ไม่กังวลความปลอดภัยของลูกศิษย์เลยสักนิด
ประการแรกเพราะเดิมทีความสามารถของลูกศิษย์ก็เพียงพอที่จะรับมือกับแผนชั่วร้ายได้สบาย
จักรพรรดินีสิบกว่าปี ไม่ได้เป็นโดยสูญเปล่านะ!
ประการสองเพราะเรื่องนี้ไม่มีทางพุ่งเป้ามาที่เสี่ยวเยาเยา ไม่มีใครมีความแค้นกับเด็กทารกเพียงคนเดียว
ถ้าไม่พุ่งเป้ามาที่เผ่าก็ต้องเป็นสักคนในตระกูลเย่ว์ อย่างเช่นคุณนายเป่ยซีแม่ของเสี่ยวเยาเยา
แต่คุณนายเป่ยซีก็ไม่เหมือนคนที่จะเป็นศัตรูกับใคร
หาแรงจูงใจของเรื่องนี้ได้ยากจริงๆ
ช่างเถอะ ศึกมาก็สู้ ปัญหามาก็แก้
เรื่องนี้ไม่รีบ มู่เถาเยาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อันนั่ว สถานการณ์ของเหลยถิงเป็นไงบ้าง”
หลังกลับมาจากหมู่บ้านตงจี๋มีเวลาไม่มาก เธอจึงไม่ได้เจอหน้าเหลยถิง
“อาจารย์อาเล็ก ตอนนี้พี่ชายผมดีขึ้นมากแล้วครับ ถึงแม้จะยังผอมอยู่ แต่สีหน้าก็มีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง แต่เขายังอยากไปหาเจียงเย่ว์ที่เมืองหลวงช่วงสุดสัปดาห์ครับ”
“ฉันจะให้คนสั่งงานเขา เขาจะได้ปลีกตัวไปไหนไม่ได้”
เฉิงอันนั่วขมวดคิ้วถาม “ปัญหาใหญ่อยู่ที่ครอบครัวเจียงเหรอครับอาจารย์อาเล็ก”
“อืม ยังอยู่ในช่วงรวบรวมหลักฐาน”
ดูจากหลักฐานที่มีตอนนี้ ตัดสินโทษสิบปียังเบาไป
“งั้นพี่ชายผมคงต้องเสียใจแน่ๆ แล้ว”
ต่อให้เจียงเย่ว์บริสุทธิ์ ทั้งสองคนก็หมดหนทางจะเดินต่อไปด้วยกันได้แล้ว
“ก็ยังดีกว่าแลกด้วยชีวิต”
จากหลักฐานที่สืบได้มากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่เชื่อว่าเจียงจี๋จะแค่อยากให้เหลยถิงทุกข์ทรมานเบาๆ
สองสามีภรรยาคู่นี้อดทนเก่งจริงๆ !
ตี้อู๋เปียน “ซาลาเปาน้อย พูดเรื่องอะไรกันเหรอ ทางเมืองหลวงมีเรื่องอะไร ฉันช่วยได้หรือเปล่า”
มู่เถาเยายิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ไม่เหมาะจะสืบกันเองแล้ว ฉันเตรียมจะให้คนส่งเรื่องนี้ไปที่สถานีตำรวจสักแห่งในเมืองหลวงแล้ว”
“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อืม เจียงจี๋พ่อของแฟนพี่ชายที่เป็นญาติอันนั่วเคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉัน ต่อมาถูกอาจารย์ไล่ออกจากสำนัก พอเขารู้ว่าแฟนของลูกสาวเป็นหลานชายของศิษย์พี่ใหญ่ฉันก็ลงมือวางยาพิษ…ไม่ใช่แค่เหลยถิงที่โดน ยังมีคนอื่นๆ ที่ถูกทดลองยาด้วย…”
มู่เถาเยาเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้เขาฟัง
ตี้อู๋เปียน “ซาลาเปาน้อย ส่งเรื่องให้พี่รองของฉัน เขาจะไปจัดการสั่งลูกน้องเอง”
เรื่องนี้ไม่เล็ก ต้องสืบให้ถึงที่สุด
“ก็ได้ สามีภรรยาคู่นี้คือปัญหาใหญ่ ไม่รู้ว่ามีคนตกเป็นเหยื่อเท่าไร…”
ลู่จือฉิน “เหมียวฉีเข้าไปยุ่งเรื่องที่เจียงจี๋จับคนอื่นทดลองยาด้วยเหรอ”
“เหมือนจะไม่นะคะ แต่ต้องรู้แน่นอน ก็แค่เธอไม่แคร์ว่าเจียงจี๋จะทำอะไร”
เย็นชาถึงขั้นที่หากสามีถูกตัดสินโทษประหารชีวิตก็คงไม่รู้สึกอะไรเลยหรือเปล่า
ความสัมพันธ์แบบนี้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผลักให้เจียงจี๋กู่ไม่กลับแล้ว
ใบหน้าขาวเนียนของปาอินขมวดคิ้ว “ฉันคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ มีลูกกันแล้วยังไม่เกิดความรู้สึกผูกพันกันเลยสักนิดเหรอ งั้นทำไมตอนนั้นเหมียวฉีต้องแต่งงานกับเขาด้วย”
เฉิงอันนั่ว “อาจเพราะอยากอาศัยอยู่ในเมืองหลวงหรือเปล่า ผมสงสัยว่าเธอจะเป็นตัวการหลักที่อาจารย์อาเล็กหายตัวไป”
ลู่จือฉิน “เสี่ยวเยาเยา อาการของเหมียวอวี้ไม่ค่อยดี ถ้าจะหวังให้หาหญ้าร้อยรสกับดอกพันวันเจอในครึ่งปีออกจะคาดหวังมากไปหน่อย”
หากมีแค่หญ้าร้อยรสก็ทำได้เพียงรักษาชีวิตของเหมียวอวี้ไว้ ปริศนาเรื่องที่หายตัวยังคงไม่คลี่คลาย
หากไม่มีหญ้าร้อยรส ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ดอกพันวัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังมีเหมียวฉีอยู่ หนูจะหาทางทำให้เหมียวฉีเปิดปาก”
ถึงแม้เดิมทีเธอไม่ได้อยากรู้ความจริงมากนัก แต่แม่ของเธออยากรู้ คนตระกูลเย่ว์อยากรู้
ก็แค่เรื่องนี้ไม่รีบ อีกครึ่งปีค่อยว่ากัน
เฉิงอันนั่ว “งั้นตอนอาจารย์อาเล็กอยู่ในเผ่าระวังครอบครัวเหมียวไว้หน่อยนะครับ”
เขารู้ว่าอาจารย์อาเล็กจะต้องไปเจอพ่อแม่ของแม่ลู่แน่นอน มีความเป็นไปได้ที่จะเจอกับครอบครัวลุงใหญ่ของแม่ลู่ด้วย
“ไม่เป็นไร ฉันหน้าตาไม่เหมือนคนตระกูลเย่ว์ ไม่ได้แซ่เย่ว์ด้วย พวกเขาเชื่อมโยงไม่ได้หรอก อีกทั้งปกติก็ไม่ได้มีโอกาสเจอคนครอบครัวเหมียวได้ง่ายๆ”
เผ่าใหญ่ขนาดนั้น ขอแค่ไม่จงใจ อยากเจอคนคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
ลู่จือฉินลูบผมยาวดำสลวยของลูกศิษย์ “เสี่ยวเยาเยา ไว้อาจารย์จะไปบ้านครอบครัวเหมียวเป็นเพื่อนนะ”
“ค่ะ”
พวกเธอสองคนหน้าใหม่ทั้งคู่ ย่อมไม่เป็นที่สงสัย
ตอนที่ 274 ขอร้องอย่าทำเอง
เครื่องบินขับไม่ช้าไม่เร็ว ประมาณบ่ายสี่โมงครึ่งก็ลงจอดที่ลานจอดเครื่องบินของตำหนักพระจันทร์ในเผ่าหมาป่าพระจันทร์
ทุกคนในตระกูลเย่ว์และตระกูลเป่ย รวมถึงครอบครัวของปาเฝ่ย หลานเทียนญาติผู้พี่ของปาอิน และยังมีอวิ๋นไป๋ ต่างมารอรับพวกเขา
พอเห็นมู่เถาเยา บรรดาคนสูงวัยก็ตื่นเต้นกันมาก กอดเธอชนิดที่ไม่ยอมปล่อย
เย่ว์หลั่งผู้เป็นพ่อร้อนใจจนแทบกระทืบเท้า แต่ก็จนปัญญา ใครใช้ให้นั่นคือพ่อแม่และพ่อตาแม่ยายล่ะ!
เย่ว์จือเหิงกับเย่ว์จือกวงก็ร้อนใจ แต่ไม่ถึงกับทุรนทุรายแบบพ่อ
เพราะพวกเขารู้ว่า มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงตาของพวกเขาเข้าใกล้น้องสาวหรอก
พวกเขาก็เลยคุยกับตี้อู๋เปียน เฉิงอันนั่ว พ่อบ้านจง อยู่ตรงอวิ๋นไป๋ก่อน
เย่ว์เลี่ยงจูงลู่จือฉินมาคุยหัวเราะคิกคัก
ปาอินถูกคนครอบครัวปากับหลานเทียนให้ความสนใจ
บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก
สิบกว่านาทีต่อมาบรรดาคนสูงวัยถึงยอมปล่อยมือ เย่ว์หลั่งจับมือมู่เถาเยาท่าทางเหมือนจะร้องไห้
“พ่อคะ”
“ลูกรัก”
มู่เถาเยา “…” เธอไปต่อไม่ถูกเลย
จบบทสนทนาไปทั้งแบบนี้
เย่ว์เลี่ยงมองลูกสาวที่ลำบากใจด้วยความรู้สึกขำ สักพักถึงพาลู่จือฉินไปตรงหน้าสองพ่อลูก ช่วยแก้สถานการณ์ให้
“เสี่ยวเยาเยา แนะนำอาจารย์สามของหลานให้ทุกคนรู้จักสิ”
คนตระกูลเย่ว์เคยไปประเทศเหยียนหวงเยี่ยมมู่เถาเยากันหมดแล้ว จึงรู้จักเฉิงอันนั่ว แต่ลู่จือฉินเป็นอาจารย์ที่มู่เถาเยาเพิ่งฝากตัวเป็นศิษย์เมื่อไม่นานมานี้ คนอื่นๆ เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกยกเว้นเย่ว์เลี่ยง เป่ยซี และเย่ว์จือเหิง
มู่เถาเยารีบแนะนำให้ทุกคนรู้จักอาจารย์สาม
ย่าหยางเข่อเหยายิ้มให้หลานสาว “เสี่ยวเยาเยา อาจารย์สาม พวกเราเข้าบ้านกันก่อน พักผ่อนสักหน่อยค่อยกินข้าวกัน ตอนเที่ยงอยู่บนเครื่องบินไม่ได้กินดีๆ แน่เลยใช่ไหม”
คุณยายหลานซีพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ นั่งเครื่องบินกันมานานขนาดนี้คงเหนื่อยแย่ เดิมทีสุขภาพของอู๋เปียนก็ไม่ค่อยดี เข้าไปนั่งคุยในบ้านกันดีกว่า”
ตี้อู๋เปียนที่ถูกเรียกชื่อรู้สึกอย่างรุนแรงว่าต้องคุยกับครอบครัวของซาลาเปาน้อยเรื่องสุขภาพของเขาสักหน่อย “คุณยายหลานครับ ตอนนี้ผมดีขึ้นมากแล้วครับ ไม่แย่เท่าไร”
คุณตาเป่ยหมิงตั้งใจมองตี้อู๋เปียนแล้วยิ้มพลางพูด “ดูแล้วก็เหมือนดีขึ้นมากจริงๆ”
“ซาลาเปาน้อยฝังเข็มเก่งมากครับ” ตี้อู๋เปียนยิ้มให้ผู้อาวุโส ดุจดอกท้อแย้มบาน
“อยู่แล้ว! หลานสาวฉลาดเหมือนตา!”
ทุกคน “…”
วันนี้คุณปู่เย่ว์หมิงอารมณ์ดี ไม่อยากเถียงด้วย
เย่ว์จือเหิงกับเย่ว์จือกวงเรียกทุกคนขึ้นรถเพื่อกลับเข้าบ้าน
ประมาณครึ่งชั่วโมงรถก็ไปถึงหมู่อาคารหลักของตำหนักพระจันทร์
ปราสาทขนาดใหญ่แบบโบราณตรงหน้านี้ไม่เพียงแต่จะมีความสร้างสรรค์ที่เปี่ยมล้น ยังผสมผสานกับศิลปะทางการทหารและสุนทรียศาสตร์ โอ่อ่า หรูหรา มีกลิ่นอายโบราณ อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ของเผ่าหมาป่าพระจันทร์
ปราสาทอายุหลายร้อยปียังคงตั้งตระหง่านสง่างามท่ามกลางวันเวลา ราวกับกินวัตถุกันเสียเข้าไป ไม่มีร่องรอยของการสึกกร่อนแม้แต่น้อย
พอเข้าประตูเย่ว์หลั่งก็พูดกับลูกสาวชนิดที่แทบทนรอไม่ไหว “ลูกรัก พ่อจัดเตรียมห้องให้ลูกแล้ว เดี๋ยวลองดูนะว่ามีอะไรไม่ชอบไหม พ่อจะปรับปรุงให้”
“หนูชอบแน่ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
เย่ว์หลั่งลูบศีรษะลูกสาว “อาของลูกเลือกชุดไว้ให้เยอะแยะเลยนะ ต่อไปไม่ต้องขนสัมภาระมาหรอก”
“ค่ะ”
พอเห็นเวลาพอประมาณแล้ว นายใหญ่ของครอบครัวปาเฝ่ย หรือก็คือปาเยี่ยนหรูพ่อของปาอินต่างเอ่ยปากขอตัว
ปู่เย่ว์ “เยี่ยนหรู กินข้าวกันก่อนค่อยกลับเถอะ นานๆ จะได้อยู่กันพร้อมหน้า”
ย่าเย่ว์ก็พยักหน้า “นั่นสิ ถึงเวลากินข้าวแล้ว ใช้เวลาไม่นานหรอก กินแล้วค่อยกลับ พวกเราก็ไม่ได้เจออินอินมานานแล้วเหมือนกัน”
ปาอินคล้องแขนพ่อแล้วจับโยก “พ่อคะ พ่อกับแม่เจอเสี่ยวเยาเยาครั้งแรก อยู่นานหน่อยสิคะ จะได้ทำความคุ้นเคยกัน”
เดิมทีเธอคิดว่าจะมีแค่หลานเทียนมารับ นึกไม่ถึงว่าพ่อแม่และพี่ชายก็มาด้วย
พวกเขาอยากรู้จักเสี่ยวเยาเยาแน่นอน ไม่อย่างนั้นพ่อยุ่งจะตาย ไม่มีทางหาเวลามารับเธอหรอก วันนี้ก็ไม่ใช่สุดสัปดาห์ด้วย
อันที่จริงครอบครัวปาเยี่ยนหรูมาตามคำเชิญของเย่ว์หลั่ง
สองสามีภรรยาก็อยากรู้จักเจ้าหญิงน้อยเหมือนกัน
พวกเขาสงสัยเหลือเกินว่าเจ้าหญิงน้อยที่ลูกชายลูกสาวบอกว่าเก่งมากจะเป็นอย่างไร
“งั้นพวกเรากินข้าวก่อนค่อยกลับ”
เดิมทีครอบครัวปาอินก็มาตำหนักพระจันทร์บ่อยอยู่แล้ว กินข้าวกับตระกูลเย่ว์เป็นเรื่องปกติ
ที่เขาออกตัวขอกลับก่อนก็เพราะไม่อยากรบกวนเวลาของครอบครัวเย่ว์ที่ได้อยู่กันพร้อมหน้า ไม่ใช่เพราะเกรงใจ
ตระกูลปากับตระกูลเย่ว์แน่นแฟ้นมาหลายพันปี ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน
หลังจากหลานสาวคนเล็กโทรหาอาจารย์สองคนกับแม่ที่อยู่หมู่บ้านเถาหยวนซานเสร็จ เหล่าผู้สูงวัยก็เดินนำไปห้องอาหาร
นั่งล้อมโต๊ะกลมขนาดใหญ่กันจนเต็ม
มู่เถาเยามองอาหารด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
ถึงแม้ปาอินกับเหลียงจีก็เคยทำอาหารของเผ่าให้กิน แต่ไม่หลากหลายและอลังการเท่าบนโต๊ะใหญ่นี้
เย่ว์เลี่ยงยิ้ม “เสี่ยวเยาเยา อาหารพวกนี้ถูกปากไหม”
มู่เถาเยาพยักหน้า ไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าของตัวเองเวลานี้ให้ความรู้สึกที่ว่า ‘ฉันกำลังน้ำลายสอ’
เย่ว์หลั่งคีบกับข้าวให้ลูก “ลูกรัก นี่เป็นอาหารถนัดของฝีมือยอดกุ๊กอันดับหนึ่งของเผ่าเรา ลองกินดูนะว่าชอบไหม”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
“รีบกินเถอะ ถ้าไม่ชอบพรุ่งนี้พ่อจะโชว์ฝีมือเอง”
มู่เถาเยาตอบทันที “หนูชอบค่ะ”
อย่าลงมือทำเองเลยนะ!
เธอยังจำรสชาติหวานเลี่ยนครั้งล่าสุดได้อยู่เลย…
กลัวแล้วๆ !