ตอนที่ 211

My Disciples Are All Villains

จ้าวยู่ได้ตอบกลับมา “เยี่ยนซานได้มาที่นี่ก็เพื่อที่จะเอาเศษเสี้ยวฟากฟ้ามาคืน ตอนนี้เขากำลังรอท่านอาจารย์อยู่ที่ห้องโถงใหญ่แล้วค่ะ”

“เยี่ยมมาก” ลู่โจวได้ลุกขึ้นยืนช้าๆ ตัวเขาได้เปิดประตูห้องลับก่อนที่จะเดินออกมา ตัวเขาได้เหลือบมองไปที่จ้าวยู่ในขณะที่ออกมาจากห้องลับ

จ้าวยู่ทักทายลู่โจวด้วยการคารวะ

ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้เอ่ยปากถามออกไป “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นยังไงบ้าน? “

จ้าวยู่ตอบกลับมา “ศิษย์ได้พักฟื้นอย่างเต็มที่มาแล้ว เพราะแบบนั้นศิษย์หายดีแล้วค่ะ ศิษย์จะตั้งใจฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะพัฒนาพลังวรยุทธตัวเองให้ถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ให้ได้”

ศิษย์สาวกทั้งเก้าของลู่โจวมีเพียงจ้าวยู่กับซู่ฮ่องกงเท่านั้นที่ยังคงมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์

ที่ซู่ฮ่องฝึกฝนตัวเองไปมากกว่านี้ไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาฝึกฝนเคล็ดวิชางสายฟ้าหายนะทั้งเก้าในเวอร์ชันที่มีข้อบกพร่อง

ถ้าหากจ้าวยู่ฝึกฝนเคล็ดวิชาหยกเจิดจรัสสำเร็จ นางจะต้องพัฒนาพลังวรยุทธไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวยู่เองไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถเลย ลู่โจวเชื่อมั่นในศิษย์คนนี้มาก

ลู่โจวที่พูดเสร็จก็ได้เดินไปยังห้องโถงใหญ่พร้อมกับเอามือไขว้หลังเอาไว้

จ้าวยู่เดินตามหลังไปด้วยความเคารพ

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็ได้เดินมาถึงห้องโถงใหญ่

ในตอนนี้โจวจี้เฟิง, ต้วนมู่เฉิง และหมิงซี่หยินมายืนรออยู่ก่อนแล้ว

เยี่ยนซานได้คุกเข่าลงอยู่ที่ใจกลางห้องโถง ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่รอบๆ อย่างกังวล

เมื่อเห็นลู่โจว ทุกๆ คนก็ทำความเคารพตัวเขาในทันที

ลู่โจวได้เดินไปที่บัลลังก์อย่างสง่างาม

เยี่ยนซานที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าลง ตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น

สายตาของลู่โจวจับจ้องไปที่แขนขวาของเยี่ยนซาน มันถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลที่ดูสกปรก แขนของเขาดูเหมือนว่าจะถูกตัดขาดไป

ในที่สุดเยี่ยนซานก็ได้พูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโส ข้าดีใจจริงๆ ที่ไม่ได้ทำงานล้มเหลว ข้าสามารถเอาเศษเสี้ยวฟากฟ้ากลับมาได้แล้ว”

ต้วนมู่เฉิงรีบนำเศษเสี้ยวฟากฟ้าที่ได้มาคืนให้กับลู่โจวด้วยความเคารพ

ลู่โจวได้เหลือบมองมัน เศษเสี้ยวฟากฟ้าชิ้นนี้ดูไม่ได้แตกต่างอะไรจากชิ้นอื่นๆ หลังจากที่เขาได้หยิบเศษเสี้ยวฟากฟ้ามา ในตอนนั้นตัวเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนขึ้น

“ติ้ง! ได้รับเศษเสี้ยวฟากฟ้า ได้รับรางวัลแต้มบุญ 100 แต้ม”

ลู่โจวเหลือบมองที่เมนูภารกิจ แม้ว่ารวบรวมเศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้งหมดได้ 8 ชิ้นแล้ว แต่ถึงแบบนั้นตัวเขากลับไม่ได้รางวัลอะไรเพิ่มเติม ในตอนนั้นเองเขาก็นึกถึงธนูฟากฟ้า ตัวเขาจะต้องแยกเศษเสี้ยวฟากฟ้าที่อยู่ในนั้นออกมาให้ได้ซะก่อน

“ท่านอาจารย์ เนื่องจากเยี่ยนซานเอาเศษเสี้ยวฟากฟ้ากลับมาได้ พวกเราควรจะ…” ต้วนมู่เฉิงพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา

เยี่ยนซานที่เห็นโอกาสอันนี้ก็ได้รีบก้มหน้าลง หน้าผากของเขากระแทกไปที่พื้นห้องโถงใหญ่ดังสนั่น “ท่านผู้อาวุโส ขอความเมตตาให้กับข้าด้วย! ข้าสามารถหาเศษเสี้ยวฟากฟ้ามาได้แล้ว ข้าหวังว่าท่านจะรักษาคำพูดที่เคยพูดเอาไว้กับข้า ท่านผู้อาวุโส! ” เยี่ยนซานกัดฟันพูดออกมาโดยไม่มีท่าทีที่จะหยุด

ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถามออกมาอย่างเฉยเมย “ตอนนี้สถานการณ์ที่สำนักแห่งความบริสุทธิ์เป็นยังไงบ้าง? “

เยี่ยนซานที่ได้ฟังแบบนั้นก็หยุดโวยวาย ตัวเขาได้เงยหน้าขึ้นก่อนที่จะพูดออกมา “ตอนที่ข้าอยู่ที่สำนักแห่งความบริสุทธิ์ที่นั่นกำลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ผู้อาวุโสจากสำนักนั่นต่างก็ต่อสู้ดิ้นรนกันเพื่อแสวงหาอำนาจ และเพราะแบบนั้นข้าจึงฉวยโอกาสที่จะขโมยเศษเสี้ยวฟากฟ้าชิ้นนี้กลับมาได้”

“ตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างงั้นหรอ? “

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสำนักของพวกนั้นกำลังบาดเจ็บสาหัสและกำลังเก็บตัวเองเพื่อรักษาตัวอยู่…ตอนนี้พวกเขาไม่มีผู้นำอีกต่อไป! ” เยี่ยนซานได้ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

“แล้วยอดฝีมือยู่ฮงยี่ไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอกหรอ? “

“เอ่อ…” เยี่ยนซานพูดตะกุกตะกัก ดูเหมือนว่าตัวเขาจะกลัวเกินกว่าที่จะพูดเรื่องนี้ออกมาได้

ทุกการเคลื่อนไหวของเยี่ยนซานไม่อาจจะหลุดรอดสายตาของลู่โจวไปได้ “มีอะไรเจ้าก็พูดออกมาซะเถอะ ที่นี่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีอิสระให้เจ้ามากพอ”

เยี่ยนซานดูเหมือนจะดีใจเมื่อได้ยินแบบนี้ ตัวเขาเริ่มที่จะมั่นใจมากขึ้นหลังจากที่ได้ฟังคำยืนยันจากมหาวายร้ายคนนี้

“สามวันที่แล้ว ฮั๊วจงหยางแห่งโถงมังกรฟ้าจากสำนักอเวจี และไปยู่ชิงแห่งโถงพยัคฆ์ขาวจากสำนักอเวจีได้พาคนบุกโจมตีสำนักแห่งความบริสุทธิ์! ยู่ฮงยี่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ในครั้งนั้น”

คนอื่นๆ ที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็รู้สึกตกใจ

ยู่เฉิงไห่เจ้าสำนักอเวจี เป็นศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า ใครจะคาดคิดว่าสำนักอเวจีจะเริ่มเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่หัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้

เมื่อเยี่ยนซานพูดจบตัวเขาก็เหลือบมองไปที่ลู่โจว ตัวเขากำลังกลัวว่าลู่โจวกำลังจะรู้สึกโกรธเพราะได้ฟังเรื่องของอดีตลูกศิษย์คนนี้

ลู่โจวยังคงดูสงบราวกับสายน้ำ ในตอนนั้นตัวเขาได้แต่ใช้ความคิดอยู่คนเดียว ‘ด้วยความแข็งแกร่งของสำนักอเวจี การที่จะกวาดล้างสำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ปัญหาเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ยังคงจะเป็นสายสัมพันธ์ สิบสุดยอดสำนักแห่งฝ่ายธรรมะเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์หนึ่งในสิบสุดยอดสำนักมาโดยตลอด การโจมตีสำนักแห่งความบริสุทธิ์ไปไม่ต่างอะไรจากการโจมตีสิบสุดยอดสำนักฝ่ายธรรมะเช่นกัน สำนักอเวจีจะมีพลังมากพอที่จะสู้กับอีกเก้าสำนักเลยอย่างงั้นหรอ? ‘

ต้วนมู่เฉิงได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ตอนนี้สำนักแห่งความบริสุทธิ์ตกอยู่ในความโกลาหล…ด้วยฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ศิษย์คิดว่าเขาจะต้องสร้างปัญหาให้กับพวกเรามากขึ้นแน่”

“ยู่เฉิงไห่อยากที่จะได้อะไรจากการโจมตีกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมา

“อืม…ข้าในฐานะคนนอกคงไม่อาจที่จะทราบได้” เยี่ยนซานตอบกลับมา

สำนักอเวจีได้ขยายพลังอำนาจในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สำนักฝ่ายอธรรมมากมายหลายสำนักต่างก็ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับสำนักอเวจีไป มีเพียงวิหารปีศาจเท่านั้นที่ไม่ยอมร่วมมือกับสำนักอเวจี แต่ในตอนนี้วิหารปีศาจก็ถูกศาลาปีศาจลอยฟ้าทำลายไปมากแล้ว ณ ตอนนี้ต้วนชิง ผู้ที่รับหน้าที่ดูแลวิหารปีศาจแทบที่จะไม่สามารถที่จะเอาชีวิตรอดได้ ในตอนนี้จึงไม่มีสำนักใดที่มีพลังเทียบเท่าได้กับสำนักอเวจีได้อีก

ลู่โจวจำความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองอันยางได้ ที่เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีคนแอบอ้างเป็นสำนักอเวจี คนพวกนั้นพยายามที่จะสังหารเหวยซู่หยานแม่ทัพหลวงแห่งพระราชสำนักให้ได้

เยี่ยนซานรีบพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด “ข้าทำดีที่สุดแล้วเพื่อที่จะช่วยงานของท่าน…ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ท่านผู้อาวุโส”

ลู่โจวมองไปที่เยี่ยนซานอย่างเยือกเย็น

จากแขนที่เยี่ยนซานเสียไป เท่ากับว่าเยี่ยนซานไม่สามารถที่จะทำสิ่งที่ถนัดได้มากที่สุดอย่างการขโมยได้อีกต่อไป ดูเหมือนว่าช่วงเวลาแห่งการเป็นหัวขโมยของเขาก็คงจะจบเพียงเท่านี้ บางทีนี่อาจจะเป็นโทษที่เยี่ยนซานสมควรจะได้รับแล้ว

ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่คิดที่จะถือโทษเจ้าแล้ว”

เยี่ยนซานในตอนนี้รู้สึกเหมือนกับได้รับนิรโทษกรรมสำหรับความผิดที่ตัวเขาเคยก่อ ตัวเขาได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ขอบคุณท่านผู้อาวุโส! ขอบคุณท่านจริงๆ! ” หลังจากนั้นโจวจี้เฟิงก็ได้ส่งเยี่ยนซานออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป

ศาลาปีศาจลอยฟ้ากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นานลู่โจวก็ได้เอ่ยปากถามขึ้น “ผู้อาวุโสอยู่ไหนกัน? “

“ผู้อาวุโสฮั๊วได้ลงจากภูเขาไปแล้วครับ ตอนนี้เขาควรที่จะกลับมาแล้ว” ต้วนมู่เฉิงได้ตอบกลับมา

ในตอนนั้นเองฮั๊ววู่เด๋าก็ได้เดินมาอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อเข้ามาถึงห้องโถงตัวเขาก็ได้คารวะลู่โจวในทันที “ท่านปรมาจารย์”

“ไม่จำเป็นจะต้องพิธีรีตองหรอก”

“ข้ามีคำถามท่านปรมาจารย์”

“พูดออกมาซะ”

“มีหญิงสาวนางหนึ่งคุกเข่าอยู่ที่เชิงเขา นางมีชื่อว่าฮั๊วยู่จิง ข้าเคยพบนางมาหลายครั้งแล้ว…นางเป็นผู้ที่มีฝีมือในการใช้ธนู ถ้าหากศาลาปีศาจลอยฟ้ายอมให้นางเข้าร่วมด้วย ข้าคิดว่ามันคงจะมีแต่ผลดีกับพวกเรามากกว่า”

ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย “ผู้อาวุโสฮั๊ว เจ้าเองมาจากสำนักหยุนก่อนที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้า สำนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักลั่วต่างก็มีสัมพันธ์ใกล้ชิดมาโดยตลอด เจ้าไม่กลัวว่านางจะตกที่นั่งลำบากจากการตัดสินใจอย่างงั้นหรอ? “

เมื่อเทียบกับฮั๊วยู่จิง สถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างจากในตอนที่ฮั๊ววู่เด๋าเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้ามาก

ฮั๊ววู่เด๋าได้ถอนหายใจก่อนที่จะตอบกลับมา “นางไม่มีที่ให้ไปแล้ว”

เมื่อได้ยินแบบนั้นต้วนมู่เฉิงก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ผู้อาวุโสฮั๊ว ข้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่าหรอกนะ! เพียงแค่ไม่มีที่ให้ไปอย่างงั้นหรอ? และเพราะแบบนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างพวกเราถึงจะต้องยอมรับนางรึไงกัน? ท่านคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นที่พักพิงของผู้ไร้บ้านอย่างงั้นสินะ? “

ฮั๊ววู่เด๋าตื่นตระหนกมากเมื่อได้ฟังแบบนั้น ตัวเขารีบโค้งคำนับให้อย่างรวดเร็ว “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะหมายความว่าแบบนั้น…”

“หมายความว่ายังไงกัน!? ท่านน่ะมาจากสำนักหยุน เดิมทีท่านเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ท่านพยายามที่จะก่อตั้งกลุ่มคนเป็นของตัวเองเพื่อก่อเหตุจลาจลอย่างงั้นสินะ? ” ต้วนมู่เฉิงรีบถามออกไป

“ต้วนมู่เฉิง เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงขนาดนั้นหรอก…ข้าน่ะไม่ใช่คนไร้ยางอายแบบนั้น! “

ต้วนมู่เฉิงมักจะเป็นคนอารมณ์ร้อนมาโดยตลอด เมื่อตัวเขาได้ยินสิ่งที่ไม่ชอบ ตัวเขาก็พร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ออกมาได้ทุกเมื่อ

ดูเหมือนว่าการทะเลาะเบาะแว้งจะเริ่มต้นขึ้นมาซะแล้ว

“พอได้แล้ว” เสียงของลู่โจวได้ดังก้องไปทั่วห้องโถง

ต้วนมู่เฉิงและฮั๊ววู่เด๋าต่างก็เงียบลงในทันที

ลู่โจวได้จับจ้องไปที่ฮั๊ววู่เด๋า “ฮั๊วยู่จิงแท้จริงแล้วเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ ถ้าหากนางเป็นเด็กที่ไม่มีความอดทนอะไรเลย เจ้าคิดจริงๆ หรอว่านางเหมาะที่จะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าน่ะ? “

ในตอนนั้นเองฮั๊ววู่เด๋าก็เริ่มที่จะสำนึกขึ้นได้ ตัวเขาได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะพูดอย่างเร่งรีบ “ข้าฮั๊ววู่เด๋า ขอสาบานด้วยชีวิต ถ้าหากฮั๊วยู่จิงแสดงท่าทีทรยศต่อศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้าผู้นี้จะเป็นคนที่สังหารนางกับมือเอง”