คนอื่นๆ ต่างก็ตกใจที่ฮั๊ววู่เด๋ายอมสาบานโดยที่เอาชีวิตเข้าแลก เป็นความจริงที่ตัวเขามาจากสำนักหยุน ฮั๊วยู่จิงเองก็มาจากสำนักลั่ว หลังจากที่หยุนเทียนลั่วก่อตั้งสำนักขึ้นมา สำนักทั้งสามก็เริ่มแยกตัวออกมาจนกลายเป็นสำนักหยุน, สำนักเทียน และสำนักลั่ว พวกเขาต่างก็เป็นมิตรกันในระดับหนึ่ง และเนื่องจากมีแหล่งที่มาเป็นแหล่งเดียวกันเป็นธรรมดาที่ฮั๊ววู่เด๋าจะพูดแทนฮั๊วยู่จิงแบบนี้ แต่ถึงแบบนั้นการที่ตัวเขาสาบานด้วยชีวิตเป็นอะไรที่แปลกมาก จะมีใครสักกี่คนที่สาบานเอาชีวิตเข้าแลกกับคนที่เพิ่งพบกันไม่กี่ครั้งแบบนี้
“ผู้อาวุโส ท่านน่ะมีความสัมพันธ์ยังไงกับฮั๊วยู่จิงกันแน่? ” ต้วนมู่เฉิงถามออกมาตรงๆ เห็นได้ชัดว่าการที่ทั้งคู่ต่างก็ใช้นามสกุลเดียวกันเป็นเรื่องบังเอิญเกินกว่าที่จะยอมรับได้
ฮั๊ววู่เด๋าส่ายหัว “ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับนาง…ได้โปรดคิดเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนด้วยท่านผู้อาวุโส! “
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่แยแส “ผู้อาวุโสฮั๊ว ข้าไม่ได้อยากรู้ความสัมพันธ์อะไรเจ้ากับนางหรอกนะ ถ้าหากฮั๊วยู่จิงอยากที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ … ข้าก็ยินดีที่จะให้โอกาสนาง…”
ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกดีใจที่ได้ยิน ก่อนที่ตัวเขาจะได้พูดแสดงความขอบคุณ ลู่โจวก็ได้พูดออกมาซะก่อน “ถ้าหากนำนางนำหัวของผู้ฝึกยุทธคนใดก็ได้ที่มีพลังร่างอวตารที่มีดอกบัวมากกว่าสามกลีบขึ้นไปมาได้ ข้าจะยินดีให้นางเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าเอง”
“…” ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก “เอ่อ…เอ่อ…” ใบหน้าของเขาดูเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้ตะคอกขึ้นมา “ข้ารู้ดีว่าท่านอาจจะไม่เชื่อใจพวกเรา…ถ้าหากนางทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ นางจะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าไปได้ยังไงกัน? “
เหล่าสาวกต่างก็พอใจกับเงื่อนไขที่ผู้เป็นอาจารย์วางเอาไว้
แม้ว่าจะมีคนที่มีพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่สักแค่ไหน แต่ถ้าหากไม่กล้าที่จะสังหารศัตรูแม้แต่คนคนเดียว การเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าของคนคนนั้นก็จะไม่ได้มีประโยชน์อะไร ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ไม่อาจที่จะเก็บคนที่ไร้ประโยชน์อยู่ได้ ฮั๊ววู่เด๋าเองก็เข้าใจดี ตัวเขาได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ได้เลยท่านปรมาจารย์! เนื่องจากนางเองก็อยากที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้า เพราะแบบนั้นการที่นางจะแสดงฝีมือก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกแต่อย่างใด”
ลู่โจวได้โบกมือขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อเห็นแบบนั้นฮั๊ววู่เด๋าก็ได้ออกจากห้องโถงใหญ่ไปก่อนที่จะเดินไปยังเชิงเขา
“แล้วเจ้าแปดอยู่ไหนกัน? ” ลู่โจวได้ถามขึ้น
“ศิษย์น้องแปดกำลังซ่อมบำรุงศาลาอยู่ครับ ศิษย์จะรีบไปหาเจ้านั่นเอง” ต้วนมู่เฉิงที่พูดเสร็จก็ได้เดินออกไป
ไม่นานนักต้วนมู่เฉิงก็ได้พาซู่ฮ่องกงมาที่ห้องโถงใหญ่ ซู่ฮ่องกงที่มาถึงก็ได้คุกเข่าลงในทันที ตัวเขาได้ยกมือขึ้นมาก่อนที่จะคารวะลู่โจว “ท่านอาจารย์ ขอให้ท่านมีชีวิตอยู่อีกเป็นพันเป็นหมื่นปี ขอให้ท่านคงอยู่ตลอดไป! “
‘ถ้าหากจะหาใครที่มีความไร้ยางอายมากที่สุด เจ้านี้คงจะต้องเป็นคนนั้นแน่ เขาคิดคำพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน? ‘
ลู่โจวมองไปที่ซู่ฮ่องกงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะคิดยังไงกับศาลาปีศาจลอยฟ้า? “
ซู่ฮ่องกงรีบตอบกลับอย่างเร่งรีบ “ท่านอาจารย์ ที่นี่ก็เหมือนกับบ้านของศิษย์ ศิษย์ชอบที่นี่มาก! ไม่มีที่ไหนที่เหมือนกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้อีกต่อไป ศิษย์รู้สึกสบายจริงๆ เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่”
“จริงๆ อย่างงั้นหรอ? “
“คำพูดของศิษย์ไม่มีคำโกหกแม้แต่คำเดียว ศิษย์ไม่กล้าที่จะโกหกท่านอาจารย์”
ต้วนมู่เฉิงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก จ้าวยู่เองก็ได้แต่ส่ายหัว
ลู่โจวได้ถามต่อไป น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูเยือกเย็นเช่นเดิม “แล้วเจ้าคิดว่าคนอื่นๆ เป็นยังไงกัน? “
ซู่ฮ่องกงที่พบกับคำถามนี้รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ‘วันนี้ท่านอาจารย์เป็นอะไรกัน? ทำไมท่านถึงถามความเป็นอยู่ของข้าแบบนี้? ‘ ซู่ฮ่องกงไม่ได้ขยับไปไหน ตัวเขากำลังรู้สึกอึดอัดใจอยู่
ท้ายที่สุดซู่ฮ่องกงก็ได้ตอบกลับมา “ศิษย์พี่สามและศิษย์พี่สี่ดูแลข้าเป็นอย่างดี…ศิษย์พี่ห้าเองก็มักจะพูดคุยกับข้าเมื่อนางมีเวลา ส่วนศิษย์น้องเล็ก…” ซู่ฮ่องกงหยุดพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะมองไปรอบๆ ตัว เมื่อไม่เห็นหยวนเอ๋อเขาก็ได้กลืนน้ำลายก่อนที่จะพูดต่อไป “ศิษย์น้องเล็กยังคงอ่อนโยนเหมือนกับผ้าขาวอันบริสุทธิ์ นางปฏิบัติกับศิษย์เป็นอย่างดีราวกับพวกเราเป็นเหมือนกับครอบครัวกัน”
ในบรรดาเหล่าสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้า ซู่ฮ่องกงเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าพอที่จะพูดจาอวดดีแบบนี้
“แล้วเจ้าได้พบกับเจ้าเจ็ดด้วยสินะ? ” ลู่โจวได้ถามออกมาอีกครั้ง
“พวกเราเข้ากันได้ดีมาโดยตลอด…ศิษย์พี่เจ็ดมักจะดูแลข้าเป็นอย่างดี…” สีหน้าของซู่ฮ่องกงเปลี่ยนไป “ทะ…ท่านอาจารย์ ศะ…ศิษย์ฟังคำถามของท่านผิดไป ศิษย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับศิษย์พี่เจ็ดเลย! ” ซู่ฮ่องกงรู้ว่าได้พูดผิดไปแล้ว เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงพยายามพูดแก้ตัวด้วยความหวาดกลัว
ลู่โจวได้พูดต่อไป “บอกข้ามา เจ้าเจ็ดรู้อะไรเกี่ยวกับเคลื่อนไหวของข้าไหม? “
สีหน้าของซู่ฮ่องกงเปลี่ยนไป ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ศิษย์พี่เจ็ดมีแหล่งข่าวอยู่ทั่วทั้งยุทธภพ แน่นอนว่า…เขาจะต้องรู้แน่! “
“แล้วเจ้าคิดว่าใครกันคือแหล่งข่าวของเขาที่อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้า? “
ทุกๆ อย่างถูกเฉลยมาแล้ว
ความจริงลู่โจวคิดว่าแปลกมาโดยตลอดตั้งแต่ที่ตัวเขาไปยังเมืองอันยาง
เรื่องที่แปลกอย่างแรก ยู่ฉางตงปรากฏตัวขึ้นมาก่อนที่จะมอบของขวัญให้กับหยวนเอ๋อ หลังจากนั้นก็มียู่เฉิงไห่ตามมา จากข้อมูลที่เจียงอาเฉียนมีดูเหมือนว่าสีวู่หยานี่แหละคือต้นตอของเรื่องทั้งหมด ถ้าหากไม่มีใครส่งข่าวให้กับสีวู่หยา จะต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้แน่
สีวู่หยาคงจะจงใจหลอกให้หมิงซี่หยินพาซู่ฮ่องกงกลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า…การกระทำที่กล้าหาญแบบนี้คงจะมีแต่สีวู่หยาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้ามากพอที่จะทำ
“ศิษย์น้องแปด…เป็นเจ้าเองอย่างงั้นหรอ?! ” ต้วนมู่เฉิงรีบเดินไปด้านหน้าก่อนที่จะจับคอเสื้อของเขาเอาไว้
ซู่ฮ่องกงมีร่างกายที่อวบอ้วนและค่อนข้างหนัก แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ถูกผู้เป็นศิษย์พี่ยกขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
“ท่านอาจารย์…ศิษย์อธิบายเรื่องนี้ได้! ศิษย์พี่ปล่อยข้าลงเถอะ! ” ซู่ฮ่องกงรีบพูดออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
ต้วนมู่เฉิงมองไปที่ลู่โจวก่อนที่จะรอฟังคำแนะนำ
“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะอธิบายยังไง” ลู่โจวได้พูดขึ้น
ต้วนมู๋เฉิงรีบปล่อยตัวซู่ฮ่องกงลง ตัวเขาที่ถูกปล่อยตัวได้ล้มลงไปกับพื้นในทันที แม้ว่าจะล้มลงไปแต่ซู่ฮ่องกงก็ไม่กล้าที่จะปริปากบ่น ตัวเขารีบลุกขึ้นมาในทันที ซู่ฮ่องรีบคุกเข่าก่อนที่จะพูดต่อไป “ศิษย์พี่สีวู่หยา…ข้าหมายถึงคนทรยศคนนั้น! ” ตัวเขาได้สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะพูดต่อไป “เขาได้บอกเอาไว้ว่าจะไม่ทำอะไรศาลาปีศาจลอยฟ้าและจะยื่นมือช่วยที่นี่อีกด้วย! และเพราะแบบนั้นศิษย์ก็เลยให้ข้อมูลกับเขาไป ศิษย์ไม่ได้ตั้งใจท่านอาจารย์”
“แล้วเจ้าก็เชื่อเขาอย่างงั้นสินะ? ” ต้วนมู่เฉิงได้มองซู่ฮ่องกงอย่างเหยียดหยาม
ในตอนนั้นเองที่ห้องโถงใหญ่ก็ได้เงียบลง บรรยากาศในตอนนี้ดูตึงเครียดขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ซู่ฮ่องกงพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์ ให้ศิษย์พูดตามตรงที่หุบเขาพยัคฆ์ของศิษย์อยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะศิษย์ได้ศิษย์พี่เจ็ดนี้แหละคอยดูแลศิษย์เสมอมา…แม้ว่าศิษย์พี่จะชอบวางแผนเอาไว้แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่เคยที่จะทำร้ายพวกเรา ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองเองก็ชื่นชมในความสามารถของเขาเช่นกัน” เมื่อพูดจบตัวเขาก็ได้ก้มหน้าลง ซู่ฮ่องกงไม่แม้แต่จะกล้าส่งเสียงหายใจออกมาดังๆ หัวใจของเขาเต้นแรงและรั่วอย่างที่ไม่เคยเป็น
‘ข้าต้องตายแน่ ถ้าหากผลมันออกมาดีที่สุดข้าก็คงจะถูกเนรเทศออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่ และถ้าหากเป็นผลร้ายที่สุด ข้าก็คงจะต้องอัมพาตไปตลอดชีวิตแน่’
ลู่โจวไม่ได้รีบร้อนที่จะลงโทษอะไรซู่ฮ่องกง ที่เป็นแบบนี้เพราะตัวเขายอมพูดความจริงออกมา ในบรรดาศิษย์ทรยศทั้งหลายนอกเหนือจากยี่เทียนซินที่สมรู้ร่วมคิดกับผู้ฝึกยุทธฝ่ายธรรมะ ก็ไม่มีใครเคยคิดต่อต้านศาลาปีศาจลอยฟ้าตรงๆ มาก่อน ในโลกแห่งยุทธภพนี้ทุกๆ คนมักจะมองสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าทั้งหมดว่าเป็นเหล่าร้าย แม้ว่าจะออกไปแล้วแต่ความจริงเรื่องนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
แม้ว่าจะเป็นความผิดของซู่ฮ่องกงแต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่ความผิดที่จะต้องเอาชีวิตกัน แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ปล่อยให้ซู๋ฮ่องกงลอยนวลไปไม่ได้ ‘ฉันจะต้องลงโทษศิษย์ให้หนักกว่านี้ถ้าหากเจ้าพวกนี้ติดต่อกับศิษย์ทรยศ’ เมื่อคิดได้แบบนั้นลู่โจวก็ได้พูดขึ้น “ส่งเจ้านี้ไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนซะ เฆี่ยนวันละ 50 ครั้ง แล้วก็ผนึกพลังวรยุทธของเขาด้วย…”
“ครับท่านอาจารย์” ต้วนมู่เฉิงคารวะขึ้น
ซู่ฮ่องกงรีบโค้งคำนับก่อนที่จะพูดต่อไป “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เมตตา! “
ต้วนมู่เฉิงรีบลากซู่ฮ่องกงออกจากห้องโถงใหญ่ไป “ติ้ง! สั่งสอนซู่ฮ่องกงสำเร็จ ได้รับแต้มบุญ 200 แต้ม”
การลงโทษซู่ฮ่องกงไม่ใช่ปัญหาอะไร ที่สำคัญกว่านี้ลู่โจวจะต้องหาทางจัดการกับศิษย์ทรยศทั้งสาม
หลังจากนั้นไม่นานลู่โจวก็ค่อยๆ ยืนขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ตัวเขาจะต้องศึกษาเศษเสี้ยวฟากฟ้าที่ได้มา แต่ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้วิ่งเข้าห้องโถงใหญ่มาซะก่อน “ท่านอาจารย์! “
“เกิดอะไรขึ้น? ” ลู่โจวรีบถามออกมา
หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังด้านนอกของศาลาปีศาจลอยฟ้า “มีขอทานหัวรั้นไม่ยอมไปจากที่นี่ แม้ว่าฮั๊วยู่จิงจะจากไปแล้ว…แต่ขอทานคนนั้นไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้ดื่มเหล้า”
จ้าวยู่ที่ได้ฟังแบบนั้นงุนงง “ศิษย์น้องเล็ก ที่ภูเขาทองของเราไม่ใช่สถานที่ที่ใครอยากจะดื่มเหล้าจะมาได้ รีบไล่เขาไปสิ! “
“ข้าทำแล้ว แต่เจ้านั่นก็กลับเข้ามาใหม่! “
“กลับเข้ามาใหม่อย่างงั้นหรอ? ” จ้าวยู่ถามออกมาอย่างไม่เชื่อ
“ศิษย์คิดว่าแปลกมากก็เลยพาเจ้านั่นมาที่นี่ก็เพื่อที่จะพบท่านอาจารย์! ” หยวนเอ๋อพูดขึ้น
ม่านพลังป้องกันของภูเขาทองได้ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังอันลึกลับ แม้แต่ยอดฝีมือทั้งสิบจากสำนักฝ่ายอธรรมเองยังไม่สามารถที่จะฝ่าม่านพลังนี้เข้ามาได้ ขอทานนั่นเป็นใครกันถึงได้ฝ่าม่านพลังมาได้?
เรื่องนี้ไม่สามารถที่จะปล่อยปละละเลยได้
เมื่อลู่โจวไดยินแบบนั้นตัวเขาก็เดินลงไปจากบันไดก่อนที่จะออกจากห้องโถงใหญ่
ที่ด้านนอกศาลาปีศาจลอยฟ้า
ขอทานเฒ่าคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้นหิน เขาคนนี้กำลังจ้องมองดวงอาทิตย์อย่างเกียจคร้านก่อนที่จะพึมพำอะไรบางอย่างออกมา “เหล้า…ข้าต้องการเหล้ามากกว่านี้…”
“เจ้านั่นเอง! ” หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังขอทานที่กำลังนอนอยู่บนพื้น
ลู่โจวที่เดินมาใกล้พอได้หยุดเดิน ตัวเขาได้จ้องมองไปที่ชายชราคนนั้น
ชื่อ: ฝานลี่เทียน
เผ่า: มนุษย์
พลังวรยุทธ: สูญหาย
ลู่โจวที่เดินออกมายังคงนิ่งเงียบก่อนที่จะครุ่นคิดเรื่องนี้
ในตอนที่เยี่ยนซานอยู่ที่สำนักแห่งความบริสุทธิ์ เขาได้บอกว่าที่แห่งนั้นถูกสำนักอเวจีเข้าโจมตี เจ้าสำนักม่อหลี่รวมไปถึงยอดฝีมือคนอื่นๆ อย่างยู่ฮงยี่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีแนวโน้มว่าสำนักแห่งความบริสุทธิ์กำลังจะหายไปในอนาคตอันใกล้ ตัวเขาสงสัยมาโดยตลอดว่าทำไมฝานลี่เทียนถึงได้หายตัวไป…
ยอดฝีมือคนนี้ได้หายไปอย่างลึกลับ ยอดฝีมือคนนี้เป็นคนรุ่นเดียวกับฝานซุยเหวิน ตัวเขาได้หายไปชั่วข้ามคืน ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาไปไหน ลู่โจวไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าคนที่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับจะปรากฏตัวขึ้นที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ขอทานเฒ่าที่รอคอยมานานได้พูดขึ้น “เร็ว…เร็วเข้า…ข้ารอคอยเหล้ารสเลิศมาตลอดทั้งวัน…”
“เจ้าน่ะ ยังไม่เข็ดสินะที่ถูกจับโยนไปจากภูเขาน่ะ! ” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาก่อนที่จะยกสายสะพายนิพพานขึ้น
“สาวน้อย ไม่ดีเลย ไม่ดีเลย…การใช้ความรุนแรงแบบนี้น่ะไม่เหมาะกับเจ้าหรอก…”
หยวนเอ๋อได้แต่กัดฟันด้วยความรำคาญใจ นางกำลังที่จะกระโจนเข้าไปโจมตีแล้วแต่ลู่โจวก็ได้ยกมือขึ้นมาห้ามปรามนางซะก่อน “เอาเหล้ามาสิ”
“ฮะ? “
หยวนเอ๋อและจ้าวยู่ต่างก็ตกใจหลังจากที่ได้ยินแบบนั้น
‘ท่านอาจารย์กำลังดูแลขอทานแปลกหน้านี่เป็นอย่างดีอย่างงั้นหรอ? ‘
“ค่ะ ท่านอาจารย์…” จ้าวยู่รีบโค้งคำนับก่อนที่จะเดินไปยังศาลาทางเหนือ
ไม่นานหลังจากนั้นนางก็ได้กลับมาพร้อมกับผู้ฝึกยุทธหญิงสองขวดที่กำลังขนขวดเหล้าขวดใหญ่มาสองขวด
“เหล้า เหล้า เหล้า….” จมูกของฝานลี่เทียนแหลมคมราวกับสุนัข เมื่อขวดเหล้าเข้ามาใกล้ตัวเขามากพอ ตัวเขาก็รีบลุกขึ้นมาในทันที
จ้าวยู่ได้วางขวดเหล้าเอาไว้ข้างๆ กับฝานลี่เทียน ก่อนที่จะถอยกลับมาอย่างเชื่อฟัง
ฝานลี่เทียนดูเหมือนจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นมามาก ตัวเขาได้ยืดตัวขึ้นมาก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้า…เจ้าจะต้องเป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ? “
ลู่โจวไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ตัวเขาได้ชี้ไปยังเหล้าขวดหนึ่งที่ตั้งอยู่บนพื้น “นั่นเป็นเหล้าของศาลาปีศาจลอยฟ้า มันเป็นเหล้าที่ถูกบ่มมากว่าหลายสิบปี”
ดวงตาของฝานลี่เทียนเปลี่ยนไป ดวงตาทั้งคู่ได้เบิกกว้างขึ้น ตัวเขาได้ยกขวดเหล้าขึ้นมาก่อนที่จะสูดดมพวกมัน “นี่มันเหล้ารสเลิศ! เหล้ารสเลิศชัดๆ! “
“อยากจะชิมมันไหมล่ะ? “
“แน่นอน…ข้าจะดื่มมัน! “
“เยี่ยมมาก”
ลู่โจวขยับเข้าไปใกล้ฝานลี่เทียนก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้ารู้ว่าที่นี่เป็นศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ยังจะกล้าบุกมาอีกอย่างงั้นหรอ? “
ฝานลี่เทียนได้เปิดขวดเหล้าก่อนที่จะดื่มมันในทันที ในตอนนั้นเองสีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไป หน้าของฝานลี่เทียนในตอนนี้เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ข้ารู้…แต่ชีวิตของชายชราอย่างข้าช่างไร้ค่า…ข้าน่ะไม่ได้สนใจหรอก…ไม่ได้สนใจเลย…”
‘ไร้ค่า? ‘ ลู่โจวอดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างสงสัย “เจ้าไม่มีพลังวรยุทธแล้ว แล้วเจ้าผ่านม่านพลังมาได้ยังไงกัน? “
“ข้าไม่รู้…ข้าเป็นเพียงขอทานธรรมดาๆ เท่านั้น! ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับม่านพลังนั่นหรอก…” ฝานลี่เทียนแกล้งทำเป็นไม่รู้
ลู่โจวได้ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะส่ายหัว “ยอดฝีมือจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์…ข้าไม่รู้หรอกนะว่าควรจะดีใจไหมที่เห็นเจ้าถึงตกต่ำเช่นนี้ได้”