บทที่ 212 มีแรงเหมือนกัน
เหยาซูรู้สึกว่าตัวเองถูกกำหนดให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของชายผู้นี้แล้ว
หญิงสาวปล่อยตัวไปตามความคิดของตัวเอง ค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้หลินเหราจากนั้นก็จูบเปลือกตาของเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนพึมพำว่า “ดวงตาของอาเหรางดงามมาก ข้าชอบยิ่งนัก”
แววเปล่งประกายในดวงตาของหลินเหราเปลี่ยนไปทันใด
น้ำพุที่เดิมทีไหลเอื่อยเฉื่อยราวกับได้รับความร้อนจากอุณหภูมิใต้พิภพ จู่ ๆ มีไอร้อนระอุพวยพุ่งออกมายามมองเหยาซู มิอาจควบคุมตัวเองได้
เหยาซูไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกลางวันแสก ๆ จึงถอยหลังด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวดึงมือที่ถูกกุมไว้กลับมาและกลับไปยังตำแหน่งเดิม ก่อนจะพูดกับหลินเหราด้วยเสียงที่อ่อนโยนลง “ไปทำอาหารได้แล้ว! คืนนี้มีแค่เราสองคน ห่อเกี๊ยวน้ำดีหรือไม่? ข้าอยากกินพอดี”
ฝ่ามือของหลินเหรายังหลงเหลือความอ่อนโยนและความอบอุ่นไว้ เขาประสานมืออย่างแผ่วเบาและพยักหน้าตอบรับ
หลังจากที่ทั้งสองกินข้าวมื้อค่ำเสร็จ ซานเป่าก็ตื่นพอดี
ตอนนี้เขาโตขึ้นมาก มีความอยากรู้อยากเห็นต่อโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ เหยาซูมักจะวางเขาไว้ข้างกาย เด็กน้อยจะสำรวจโลกด้วยตัวเขาเองและเล่นอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน
ตอนนี้ยังพอมีเวลาพักเหลืออยู่ เหยาซูจึงเอ่ยให้หลินเหราเล่นกับซานเป่า
หญิงสาวให้เหตุผลประการหนึ่งว่า “ท่านออกจากบ้านไปตอนกลางวัน กลับบ้านตอนกลางคืน ซานเป่ายังไม่ได้เจอท่านเลย! หากปล่อยให้นานกว่านี้ เกิดซานเป่าไม่รู้จักพ่อของเขาขึ้นมาจะทำอย่างไรดีเล่า? สู้ถือโอกาสนี้พาเขาเล่นสักรอบ ไม่แน่ว่าซานเป่าอาจจะเรียนรู้การขานเรียกท่านพ่อเป็นคนแรกก็ได้นะ”
หลินเหรารู้สึกขบขันอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งสิ่งใด
แม้ว่าตอนที่กลับมาถึงบ้านในช่วงค่ำซานเป่าจะหลับไปแล้ว และออกจากบ้านในช่วงเช้าขณะที่เขายังไม่ตื่น แต่ก็ขอให้เขาได้หลับอยู่ข้างกายของซานเป่า ตกดึกค่อนคืนเด็กทารกมักจะร้องไห้เพราะปวดปัสสาวะ ร้องไห้สะดุ้งตื่นจากความฝัน ร้องได้โดยไร้เหตุผล หลินเหรามักจะคอยกล่อมนอนทั้งสิ้น
ช่วงเวลาเดียวที่จะปลุกเหยาซูคือตอนที่ซานเป่าหิว
สถานการณ์นี้หลินเหราจะอุ้มซานเป่าวางลงข้างกายของเหยาซู มีหลายครั้งหลายคราที่นางสะลืมสะลืออยู่ในความฝัน แต่ก็ยังป้อนนมให้ลูกได้
แต่ในเมื่อเหยาซูอยากให้เขาพาลูกเล่น หลินเหราก็ต้องยินยอมเป็นธรรมดา
“จะเล่นกับเขาอย่างไรดี?” เขานั่งลงริมเตียงมองซานเป่าที่ส่งเสียงอ้อแอ้กับตัวเองและปรายตามองเหยาซู “เขาดูเหมือนจะไม่อยากเล่นกับผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ ข้าจะทำอะไรได้บ้าง?”
เหยาซูพูดว่า “อุ้มขึ้นมาสิ! ตอนนี้เขาหนักมากเลยนะ ข้าอุ้มจนปวดแขนไปหมดเลย…”
เมื่อเห็นหลินเหราดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ เหยาซูจึงต้องแสดงเอง
หญิงสาวอุ้มซานเป่ามาใต้วงแขนในท่านอนคว่ำเหมือนตอนนอนบนเตียงปกติ และโอบเอวของเด็กทารกไว้ พร้อมกับพาเขาเดินขึ้นหน้า ส่วนปากก็พูดว่า “ยิงกระสุนปืนใหญ่! ปัง! โดนพ่อเจ้าเต็ม ๆ!”
จู่ ๆ ศีรษะของเด็กทารกที่พุ่งตรงเข้ามาชนก็หยุดชะงักลงก่อนถึงตัวหลินเหรา เหยาซูดึงตัวเขากลับไปเหมือนกับระฆัง จากนั้นก็พุ่งชนอีกครั้ง “ยิง! โดนอีกแล้ว!”
ซานเป่าหัวเราะคิกคักอย่างหยุดไม่อยู่
การละเล่นเด็ก ๆ เช่นนี้ หลินเหราไม่เคยเล่นมาก่อน แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเหยาซูกับเด็กน้อยเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส ทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับตัวซานเป่าไว้ “ข้าเล่นเป็นแล้ว”
เหยาซูกลับเอี้ยวตัวหลบ และอุ้มเด็กทารกมาอีกด้านก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แย่งลูกให้ได้สิ ใครแย่งได้ก็เป็นของคนนั้น!”
ซานเป่าไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของผู้ใหญ่ แต่เขาเข้าใจความรู้สึกที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงจึงหัวเราะกับเหยาซูไม่หยุด
หลินเหราเข้าร่วมการละเล่นระหว่างสองแม่ลูก สวมบทเป็นคนร้ายที่จะเข้ามาชิงตัวเด็กอย่างเต็มที่ ยื่นแขนออกไปคว้าตัวซานเป่าจากอ้อมกอดของเหยาซูโดยไม่ได้ออกแรงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นการกระทำที่อ่อนโยนมาก
เขาพูดเสียงต่ำและแฝงไปด้วยความขบขัน “แย่งได้แล้ว ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว”
เสียงหัวเราะนั้นเปรียบเสมือนโรคติดต่อ ซานเป่าร้องตะโกนเสียงอ้อแอ้ไร้ความหมายออกมาจากปาก พร้อมกับเสียงหัวเราะที่หยุดไม่อยู่ ทำให้เหยาซูหัวเราะไม่หยุดไปตามกัน
หญิงสาวหัวเราะพลางพูดว่า “เยี่ยม ให้ท่านแล้วกัน ให้ท่านไปเลย เจ้าก้อนน้อยตัวหนัก ถ่ายก็เหม็นโฉ่ ข้าไม่เลี้ยงแล้ว!”
หลินเหราตอบรับ “อื้อ ให้ข้าเถอะ แต่ถ้าข้าไม่อยากเลี้ยงแล้ว จะทำอย่างไรเล่า?”
เหยาซูรีบส่ายหน้าทันควัน “อย่ามาคืนข้านะ ให้ไปแล้วจะมาคืนข้าไม่ได้”
หลินเหราหัวเราะเสียงเบา จากนั้นก็วางเด็กทารกตัวน้อยลงบนไหล่ของตัวเอง
ก่อนที่เหยาซูจะข้ามเวลามาที่นี่ นางเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งชีวิตตัวเองจะมาถึงขั้นเลี้ยงลูกน้อย สวรรค์ก็รู้ว่าแม้แต่การคบหาดูใจกันนางก็ไม่เคยมีเลยสักครั้ง
ทว่านับตั้งแต่ที่ตัวเองมาถึงที่นี่ ได้เลี้ยงดูซานเป่า เหยาซูก็ได้เรียนรู้วิธีการเลี้ยงเด็กแบเบาะอย่างเอาใจใส่และมีความอดทนในการเล่นกับเด็กโดยไม่รู้ตัว กระทั่งการขับถ่ายของซานเป่าทุกวัน ก็ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดหนึ่งรอบ
สุดท้ายนางก็กลายเป็นคุณแม่มือใหม่ที่ได้มาตรฐานคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
หญิงสาวได้เฝ้ามองซานเป่าที่เติบโตขึ้นวันแล้ววันเล่า ตอนนี้เห็นเขานั่งอยู่บนไหล่ของผู้เป็นพ่อ ก็ยิ่งไม่กลัว และอดรู้สึกไม่ได้จริง ๆ ว่าซานเป่านั้นโตขึ้นมากแล้ว
เหยาซูเหนื่อยกับการเล่นสุดแรงเกิดเมื่อครู่ จึงนั่งลงริมเตียงพลางจ้องมองสองพ่อลูกอย่างพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
หลินเหราเห็นนางนั่งลงแล้ว จึงตามมานั่งข้างกายของภรรยา
เหยาซูพูดประท้วงว่า “เป็นพ่อจะแอบขี้เกียจไม่ได้ รีบไปเล่นกับลูกเดี๋ยวนี้”
หลินเหราอุ้มซานเป่าด้วยมือข้างเดียวและพูดว่า “นั่งก็เล่นได้”
เกี๊ยวน้ำที่หลินเหราห่อเมื่อตอนค่ำถูกปากเหยาซูมาก หญิงสาวกินไปไม่น้อยเลย จึงเลยรู้สึกอยากย่อยพอดี แต่ครั้นได้นั่งก็รู้สึกว่าไม่อยากลุกขึ้นแล้ว
จู่ ๆ นางก็บังเกิดความคิดเฉียบแหลม ด้วยการเหยียดขาทั้งสองขาให้สูงเท่าระดับเตียงที่นั่ง จากนั้นก็พูดกับหลินเหราว่า “วางซานเป่าลงสิ”
หลินเหราไม่เข้าใจ แต่ก็ยังอุ้มซานเป่านอนคว่ำลงบนหน้าขาของเหยาซู
เหยาซูจับแขนน้อย ๆ ทั้งสองข้างของซานเป่า แล้วใช้เท้าขวางไม่ให้ซานเป่าลื่นไถลลงไป จากนั้นก็วางขาลงอย่างเนิบช้า และยกขึ้นอีกครั้ง แล้ววางลง ซานเป่ามีท่าทางตื่นเต้นหลังได้รับรู้ว่าถูกจับลอยอยู่บนขาของเหยาซู เมื่อเห็นว่าจะได้เล่นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงหัวเราะคิกคักไม่หยุด
การเคลื่อนไหวแบบนี้ทำได้ไม่กี่ครั้ง เมื่อเหยาซูเหนื่อยก็จะเริ่มหายใจหอบ “หนักจริง ๆ ซานเป่าแม่ยกเจ้าไม่ไหวแล้ว…”
หลินเหราไม่ค่อยเห็นเหยาซูเล่นเป็นเด็กเช่นนี้บ่อยนัก และไม่รู้มาก่อนว่าปกติแล้วจะเล่นเช่นนี้กับซานเป่า
กระทั่งได้ยินหญิงสาวพูดกับเขา “การเล่นเช่นนี้ก็เป็นการออกกำลังกายส่วนขาเหมือนกัน ท่านไม่ลองดูหน่อยหรือ?”
หลินเหราคิดว่าการออกกำลังส่วนขาของเขาไม่ใช่การฝึกแบบนี้ แต่เมื่อเห็นเหยาซูเหงื่อออกเต็มหน้าผาก อีกทัังดวงตาคู่นั้นก็เต็มไปด้วยความคาดหวังระยิบระยับ จึงรับตัวซานเป่ามาจากนาง
เขาลองวางเด็กน้อยลงบนขาของตัวเองตามเหยาซู แต่เพราะขาที่ยาวเกินไป เท้าจึงไม่สามารถขวางไม่ให้ซานเป่าลื่นไถลลงไปได้
หลินเหราจึงทำได้แค่ต้องหยุดใช้ประโยชน์จากเท้า และจับแขนของเด็กทารกไว้แน่น จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นและลงตามท่าทางของเหยาซูแทน
ซานเป่าก็ยังคงหัวเราะอย่างมีความสุขไม่หยุด ก่อนหน้านั้นเหยาซูได้ทำตัวเองเป็นเครื่องยกเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดแรง แต่ในตอนที่วางลงบนขาของผู้เป็นพ่อ หลินเหราเหมือนกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และให้ซานเป่าเล่นสนุกให้พอ
เหยาซูนั่งมองอยู่ข้างกายอดพูดไม่ได้ว่า “นี่แหละการเลี้ยงลูก สองสามีภรรยาจะต้องร่วมด้วยช่วยกัน… เหมือนกับการใช้แรงงานเช่นนี้ รู้เช่นนี้ให้ท่านทำไปนานแล้ว!”
สวรรค์รู้ว่านับตั้งแต่ที่นางเลี้ยงดูซานเป่า กล้ามเนื้อบนแขนก็ได้เพิ่มมากขึ้นพอตัว
ไม่ว่าจะก่อนข้ามเวลามาหรือร่างเดิม ไหล่ของนางไม่เคยต้องแบกเช่นนี้มาก่อน แต่เพราะต้องอุ้มลูกเป็นเวลานาน ตอนนี้นางกลับมีพละกำลังเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว
หลินเหราไม่โต้แย้งคำพูดของเหยาซู
ก่อนหน้านั้นตอนที่อาจื้อและอาซือยังเด็ก เพียงแค่เรื่องในนาก็ยุ่งตัวเป็นเกลียวแล้ว เขาไม่มีเวลาช่วยเลี้ยงลูกเลย อย่าว่าแต่การเล่นกับเด็ก ๆ ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่ผ่อนคลายเช่นนี้เลย
ต่อมาเมื่อเด็กทั้งสองคนโตขึ้นหน่อย เดินเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใหญ่เฝ้ามากนัก
แต่ต้องบอกว่าประสบการณ์ที่ได้เล่นกับซานเป่าในวันนี้ ช่างมีความสุขและมีค่ามากจริง ๆ
กลางวันที่ต้องนั่งเกวียนวัวผ่านหมู่บ้านนั้น เหยาซูรู้สึกว่าร่างกายนั้นเปื้อนไปด้วยดินไม่น้อย หลังกินมื้อค่ำเสร็จก็ต้มน้ำ ทั้งสองคนเล่นกับซานเป่าอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้เขาสำรวจโลกเพียงลำพัง ส่วนตัวเองก็หมุนตัวและเดินเข้าไปอาบน้ำร้อนในครัว
อากาศในค่ำคืนนี้ไม่หนาวนัก เหยาซูอาบน้ำเสร็จจึงตรงขึ้นเตียงก่อน ส่วนหลินเหราตามมาไม่นานก็อาบเสร็จและแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม
เมื่อซานเป่าเห็นผู้ใหญ่นอนแล้ว ตัวเองจึงเลียนแบบผู้ใหญ่ หัวถึงหมอนและนอนราบ
เหยาซูพูดกับหลินเหราเสียงเบา “ปกติจะต้องเล่านิทานกล่อมนอน วันนี้หัดนอนเลียนแบบผู้ใหญ่เชียวนะ”
หลินเหราหันกลับมองซานเป่าแวบหนึ่ง ดวงตาสีดำใสแป๋วของเด็กทารกยังคงเบิกกว้าง ไม่ได้มีท่าทางง่วงนอนแต่อย่างใด
เขาขยับเข้าใกล้เหยาซูและพูดเสียงเบาเหมือนกัน “ยังอยากเล่นอยู่เลย ดูท่าคงไม่ง่วง”
เหยาซูหาวหนึ่งวอด หางตามีน้ำตารื้นออกมา จากนั้นก็พูดด้วยท่าทางเกียจคร้านว่า “วันนี้เขานอนนานมาก ก็เลยไม่ง่วง แต่ข้าทนไม่ไหวแล้ว…”
ดวงตาของหลินเหราเผยแววตาอบอุ่น มือขวาลูบศีรษะของเหยาซูพลางตอบกลับนางด้วยเสียงเบาว่า “ง่วงก็นอนเถอะ ข้าจะเฝ้าเขาเอง”
เหยาซูตอบรับเสียงต่ำหนึ่งครั้ง หาวอีกหนึ่งหวอดแล้วค่อยหลับตาลงอย่างช้า ๆ
……………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ตอนผู้แปลยังเด็กแม่ก็เคยจับเหาะแบบนี้เหมือนกันนะคะ สนุกทีเดียวเชียว แต่คนยกก็คือเหนื่อยใช่ย่อยเลยล่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)