บทที่ 213 ไม่ชอบใช้กับเรื่องจริงจัง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 213 ไม่ชอบใช้กับเรื่องจริงจัง

ในตอนอาบน้ำ ทั้งสองคนได้ใช้ผงสมุนไพรจ้าวเจี่ยวฝีมือของเหยาซูทั้งสิ้น ทั้งยังเติมกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาลงไปด้วย

เหยาซูหลับตาลงเงียบ ๆ พร้อมกับสูดกลิ่นหอมบางเบาของดอกกุ้ยฮวา เห็นได้ชัดว่าบนกายของหลินเหราก็เป็นกลิ่นนี้เช่นกัน หากแต่เขากลับยื่นหน้าเข้ามาดมดอมข้างกายนาง

ระยะห่างของทั้งสองคนห่างกันเพียงหนึ่งชุ่น เหยาซูหลับอย่างไร้ความกังวล หลินเหราเองก็เฝ้ามองนางอยู่เงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยสิ่งใด

ภายในห้องมีเสียงร้องอ้อแอ้ของซานเป่าเป็นครั้งคราว นอกจากนั้นก็มีเพียงเสียงลมหายใจอันนิ่งสงบของเหยาซู และเสียงปะทุไหม้ฉับพลันจากตะเกียงน้ำมัน

ไออุ่นกระจายไปทั่วทั้งห้อง

เช้าวันรุ่งขึ้น เหยาเอ้อหลางจำได้ว่าอาจื้อและอาซือจะกลับจากหมู่บ้านตระกูลเหยาวันนี้ จึงวิ่งออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ มาเฝ้าอยู่ข้างกายเหยาซูก่อนจะเอ่ยถาม

“เหตุใดอาจื้อและอาซือยังไม่กลับมาอีกล่ะขอรับ?”

“พวกเขากลับมาวันนี้มิใช่หรือขอรับ?”

“จะถึงบ้านตอนเช้าหรือไม่? ลุงใหญ่มาส่งหรือไม่ขอรับ?”

เหยาซูเอือมระอาจนปวดหัวระบม พยายามปลอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เหยาเอ้อหลางไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น พลังของเขาเหมือนจะไม่มีวันหมดลง

หลังจากนั่งบนเก้าอี้อย่างสงบได้เพียงครู่เดียว เขาก็หันหน้ามาถามเหยาซูอีก “ท่านอา เหตุใดพวกเขายังไม่กลับมาอีกเล่า…”

เหยาซูรู้สึกว่านางได้ตอบคำถามนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หญิงสาวคิดมาตลอดว่าตัวเองมีความอดทนต่อเด็กได้ดี แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กชายที่ชอบเซ้าซี้ไม่ยอมเลิก เหยาซูกลับรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งกว่าเดิม

นางพยายามเบนความสนใจของเหยาเอ้อหลาง “เอ้อหลาง ช่วยดูแลซานเป่าให้ข้าหน่อยได้หรือไม่? ข้าจะไปต้มน้ำร้อนในครัว”

เด็กชายพยักหน้า

เหยาเอ้อหลางมีเรื่องต้องทำจึงสงบลงไม่น้อย กระทั่งเหยาซูกลับมาจากห้องครัว ก็เห็นเขากำลังนั่งพูดคุยอยู่กับซานเป่าเสียงเบาอยู่ตรงขอบเตียง

เหยาซูถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็รุดเดินหนึ่งก้าวเพื่อฟังว่าเขาคุยอะไรกับซานเป่าอย่างสนใจ

กระทั่งเห็นเหยาเอ้อหลางยื่นหน้าเข้าไปข้างหูของน้องชาย จากนั้นก็เล่นกับเขาพลางบ่นอุบอิบว่า “ซานเป่าหนอซานเป่า ไม่รู้ว่าพี่ชายและพี่สาวของเจ้าจะกลับมาเมื่อใด …เจ้าก็ยังเด็กเกินไป ข้าไม่กล้าพาเจ้าออกไปเล่นข้างนอกหรอก”

เหยาซูได้ยินว่าเขากำลังนึกถึงอาจื้อและอาซือ จึงอดกุมขมับไม่ได้

เหตุใดก่อนหน้านั้นนางถึงไม่เคยมองออกว่าเด็กทั้งสามคนเล่นด้วยกันจนสนิทสนมขนาดนี้ ถึงขั้นแยกจากกันไม่ได้เลยทีเดียว

ครั้นเห็นเหยาเอ้อหลางทอดถอนใจ เหยาซูก็ทั้งขบขัน ทั้งสับสน

หญิงสาวนั่งลงตรงหน้าเด็กสองคน จากนั้นก็เอ่ยถามเหยาเอ้อหลางด้วยเสียงอ่อนโยน “เอ้อหลางคงเบื่อที่ต้องอยู่บ้านมากเลยใช่หรือไม่? ถึงได้อยากให้อาจื้อและอาซือกลับมาไว ๆ”

เหยาเอ้อหลางทอดถอนใจเหมือนกับผู้ใหญ่ตัวน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้า “นอกจากข้าจะคิดถึงอาจื้อและอาซือแล้ว ก็ยังคิดถึงพี่ใหญ่ด้วยขอรับ… ในเมืองมันไม่น่าสนใจหรอก ท่านพ่อเองก็ยุ่งตัวเป็นเกลียวไม่เห็นแม้แต่เงาทุกวัน หากไม่ใช่เพราะท่านอาเขยพาข้าและอาจื้อไปขี่ม้า ก็คงจะอึดอัดกระวนกระวายใจจริง ๆ”

เหยาซูรู้ว่าเหยาเอ้อหลางคุ้นเคยกับป่ามาตั้งแต่เด็ก แม้แต่หมู่บ้านตระกูลเหยาก็ยังกักขังเขาไว้ไม่ได้ เวลาว่างมักจะไปวิ่งเล่นหลังเขา กระโดดน้ำจับปลา ปีนต้นไม้เก็บไข่นก ทุกสิ่งทุกอย่างเขาวิ่งเล่นจนชินหมดแล้ว ตอนนี้มาอยู่ในเมืองชิงถงคงจะเบื่อน่าดู

ครั้นนางเห็นท่าทางผิดหวังของเหยาเอ้อหลาง จึงอดลูบศีรษะของเด็กชายไม่ได้ และพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เอ้อหลาง ข้าบอกเจ้าแล้ว… ยามรอใครสักคน ในใจห้ามคิดว่าเหตุใดถึงยังไม่มา และห้ามสนใจเวลาที่นานขนาดนั้น ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าวันนี้น้องชายและน้องสาวจะกลับมา ก็ไม่เห็นต้องเป็นกังวลอะไรเลย มิใช่หรือ?”

เหยาเอ้อหลางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสับสนและพูดด้วยความไม่เข้าใจ “ห้ามสนใจเวลางั้นหรือขอรับ?”

ต้าหลางและเอ้อหลางเด็กน้อยทั้งสองคน แม้ว่าจะมีอายุไม่ต่างกันนัก แต่สติปัญญากลับต่างกันโดยสิ้นเชิง

บางทีอาจเพราะว่าเหยาต้าหลางรู้ว่าตัวเองเป็นพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก จึงจัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างสุขุมโดยไม่พูด ทั้งยังชอบคิดมาก ส่วนเหยาเอ้อหลางมักจะชอบความอิสระและความรู้สึกไร้การผูกมัด ทำตามใจตัวเอง ไม่ชอบคิดมาก

แต่ด้วยท่าทางร้อนรนของเขา เหยาซูจึงต้องอดทนอธิบายอย่างอดไม่ได้ “อาเพิ่งพูดอยู่นี่อย่างไร ว่าในใจเจ้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะกลับมาวันนี้ใช่หรือไม่?”

เหยาเอ้อหลางพยักหน้า

เหยาซูพูดอีกว่า “งั้นอาขอถามเจ้า ทุกครั้งที่ได้เล่นกับพวกเขา เวลามักผ่านไปเร็วเสมอใช่หรือไม่? เจ้าคงจะไม่สังเกต แต่เวลาที่อ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ ดูเหมือนจะยาวนานไม่จบไม่สิ้นสักทีใช่ไหมเล่า?”

เหยาเอ้อหลางพยักหน้าและพูดซ้ำ ๆ ว่า “ใช่ ๆ เป็นเช่นนี้เลย ท่านอารู้ได้อย่างไรขอรับ?”

เหยาซูยิ้มและพูดให้เขาคิดตาม “เอ้อหลางรู้สึกว่าความรู้สึกที่รอต้าเป่าและเอ้อเป่าอยู่ที่บ้าน มันไม่แตกต่างไปจากการอ่านหนังสือเลย จนอยากจะให้มันผ่านไปโดยเร็ว แต่เวลาก็ช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกินใช่หรือไม่?”

ดวงตาของเหยาเอ้อหลางเปล่งประกาย “ใช่! เป็นเช่นนี้เลย!”

“งั้นเอ้อหลางเคยคิดหรือไม่ทั้งที่เห็นอยู่ว่าระยะเวลามันเท่ากัน แต่เพราะเหตุใดในบางครั้งมันถึงได้ผ่านไปไวนัก แต่บางครั้งก็เหมือนจะช้าเสียเหลือเกิน?”

เด็กชายนอกจากจะใช้สมองในการเล่นแล้ว เรื่องอื่น ๆ ก็ดูจะไม่สนใจอะไรอีก

หลังจากที่เหยาซูถามคำถามนี้ เขาก็ได้แต่เกาศีรษะ ครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดก็มีคำตอบเลือนลางอยู่ในใจ “เป็นเพราะข้าไม่ชอบ มันก็เลยผ่านไปช้าเหลือเกินใช่หรือไม่ขอรับ?”

หญิงสาวพูดเสียงอบอุ่น “ก็ไม่เชิง เอ้อหลางเข้าใกล้สาเหตุมากขึ้นแล้ว แค่คิดให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย หลังจากได้ผลลัพธ์หนึ่งออกมา ก็ลองคิดดูว่าผลลัพธ์นี้พอจะหาสาเหตุได้บ้างหรือไม่?”

ครั้นเห็นเขากลัดกลุ้มใจจนเกิดรอยยับย่นบนใบหน้า เหยาซูจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง

บางทีอาจเพราะวิธีการถามของผู้เป็นอานั้นอบอุ่นและอ่อนโยน กระทั่งมีความอดทนมากเป็นพิเศษ เหยาเอ้อหลางจึงไม่รู้สึกว่าการคิดปัญหาเป็นเรื่องที่ทำให้กลุ้มใจมากแต่อย่างใด

เขาครุ่นคิดอย่างวิตกครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเหยาซู “เหตุใดเรื่องที่ข้าไม่ชอบทำเวลามันถึงได้ผ่านไปช้านัก…. นั่นเพราะความสนใจทั้งหมดของข้าอยู่ที่ความคาดหวังให้เวลามันผ่านไปเร็ว ๆ ถ้าเป็นตอนที่ได้ขี่ม้ากับอาจื้อ ข้าก็สนใจแค่ม้าว่าจะบังคับเดินอย่างไรให้มั่นคง จนลืมเรื่องเวลาไป! ดังนั้นเวลามันก็เลยผ่านไปเร็ว!”

ยิ่งเอ้อหลางพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าที่ตัวเองพูดก็มีเหตุผล เพราะสิ่งที่ตัวเองคิด มันมีความน่าเชื่อถืออย่างมากต่อเหตุผลนี้

เหยาซูยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะพูดชื่นชมว่า “เอ้อหลางเฉลียวฉลาดมาก ต่อไปจะทำสิ่งใดก็ต้องคิดให้มากขึ้นว่าเพราะเหตุใด แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร จะรีบทุกข์ใจเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

เหยาเอ้อหลางเข้าใจ ก่อนจะพูดอย่างรวบรัดได้ใจความว่า “มิน่าเล่าท่านอาถึงไม่อยากให้ข้าคิดมากว่าเหตุใดน้องชายและน้องสาวถึงยังไม่กลับ เหตุใดเวลาถึงได้ผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน …. ถ้าข้าไปทำเรื่องอื่น เวลาก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว น้องชายและน้องสาวก็จะกลับมา!”

เหยาซูเห็นเหยาเอ้อหลางคิดได้ จึงเอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “เอ้อหลางพูดถูกแล้ว”

ดวงตาของเหยาเอ้อหลางเปล่งประกายทันใด จากนั้นก็มองดูเหยาซู และพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านอาเก่งยิ่งนัก!”

ความศรัทธาของเด็กน้อยมักจะเกิดขึ้นผ่านเรื่องเล็ก ๆ บางทีอาจเพราะคำพูดของผู้ใหญ่ บางทีอาจเพราะเรื่องที่ผู้ใหญ่ทำ ในสายตาของเด็กล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ

เหยาซูเห็นหลานชายที่กำลังมองมาทางตนเองด้วยความศรัทธาคล้ายกับสัตว์ตัวน้อยที่เลี้ยงจนเชื่อง จึงอดพูดด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ต่อไปถ้าเอ้อหลางพบเจอเรื่องราวก็ต้องคิดให้มาก จะได้เก่งเช่นนี้”

เด็กชายพยักหน้าอย่างหนักแน่น

เหยาซูอดทนพูดคุยกับเด็กชายอีกครู่หนึ่ง กระทั่งพบว่าเหยาเอ้อหลางนั้นเฉลียวฉลาดมากจริง ๆ เพียงแต่ความเฉียบแหลมของเขา มักไม่ชอบใช้กับเรื่องที่จริงจังเท่านั้นเอง

………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ถ้าเข้าใจธรรมชาติของเอ้อหลางแล้ว เด็กคนนี้ก็มีฝีมือใช้ได้คนหนึ่งเลยล่ะค่ะ

ไหหม่า(海馬)