บทที่ 214 อาจื้อและอาซือเป็นอย่างไรบ้าง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 214 อาจื้อและอาซือเป็นอย่างไรบ้าง?

หลังจากที่เหยาซูพยายามชี้นำอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเอ้อหลางก็คิดวิเคราะห์ถึงปัญหาออกมาด้วยวิธีการที่ดีที่สุด ทั้งยังสามารถอนุมานจากปัญหาหนึ่งไปยังอีกปัญหาหนึ่งได้

หญิงสาวอดบีบจมูกของเอ้อหลางเบา ๆ ไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยทอดถอนใจ “หัวไวจริงเชียว หากเจ้าเชื่อฟังกว่านี้อีกหน่อยคงจะทำให้หมดห่วงมากขึ้น ใครบ้างเล่าจะไม่ชอบ ได้ยินน้องของเจ้าบอกมาว่าอาฟางชอบเล่นกับต้าหลาง ไม่ยอมเล่นกับเจ้าใช่หรือไม่?”

อาฟางคือเด็กที่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยา ชอบเล่นกับต้าหลางมาก แต่กลับหลบเลี่ยงเอ้อหลาง

เหยาเอ้อหลางพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “จะให้คนอื่นมาชอบข้ามากมายขนาดนั้นด้วยเหตุใด? อีกอย่างต่อให้อาฟางจะอยากเล่นกับข้า ข้าก็ยังไม่ชอบที่นางเรื่องเยอะอยู่ดี! วัน ๆ ก็เอาแต่ห่วงว่ากระโปรงจะเลอะไหม ผมยุ่งหรือไม่….เปลืองแรงเปล่า!”

“ฮ่า ๆ” เหยาซูหลุดหัวเราะออกมา พลางคิดในใจ ‘ต่อไปถ้าเจ้าโตขึ้น เจ้าจะไม่คิดเช่นนี้’

เหยาเอ้อหลางเป็นเด็กที่หน้าตาหล่อเหลาที่สุดในบรรดากลุ่มเด็ก ๆ

องค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับผู้เป็นพ่อมาก ราวกับรวบรวมเอาส่วนที่ดีที่สุดของเหยาเฉาไว้ เมื่อครั้งยังเด็ก ใบหน้าของเขาได้แสดงให้เห็นถึงลักษณะท่าทางหลังเติบโตอย่างชัดเจน

เพียงแต่เพราะเขาซุกซนเกินไป ใบหน้าและทั่วทั้งร่างกายจึงมักจะเปื้อนไปด้วยโคลนตรงนั้นทีเปื้อนดินตรงนี้ทีอยู่บ่อยครั้ง ผู้อื่นจึงไม่สังเกตเห็นว่าเขามีหน้าตางดงามเพียงใด

ขณะที่อยู่ในบ้านของเหยาซูตอนนี้ ใบหน้าของเหยาเอ้อหลางยังคงขาวเนียนและสะอาดสะอ้าน เสื้อผ้ารองเท้าก็ยังไม่เปื้อนดิน ทำให้เหยาซูอดคิดไม่ได้ว่าตนเพิ่งจะได้เห็นหน้าตาที่สะอาดสะอ้านของหลานชายคนรองชัดขึ้นก็วันนี้เอง

นางบีบแก้มของเหยาเอ้อหลางอีกครั้ง และพูดด้วยเสียงอบอุ่น “รีบโตได้แล้ว เจ้าลิงจอมซน”

เด็กชายปล่อยให้เหยาซูกระทำด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ในตอนที่จะปฏิเสธนั้น ก็ได้ยินเสียงล้อเกวียนดังแว่วมาจากนอกลานบ้าน

ดวงตาของเขาเปล่งประกาย “อาจื้อและคนอื่นๆ กลับมาแล้ว!”

เหยาซูปล่อยแก้มของเหยาเอ้อหลาง มองเห็นเขาวิ่งออกไปคล้ายกับลมพายุ ปากก็ตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจว่า “อาจื้อ! อาซือ! พวกเจ้าใช่หรือไม่?”

เหยาซูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดในใจว่า เอ้อหลางคงไม่สามารถอยู่นิ่งได้เพียงสักนิดเดียวจริง ๆ

ซึ่งคนที่กลับมาจากข้างนอกก็คืออาจื้อและอาซือ เป็นเด็กสองคนนี้จริง ๆ เหยาเฟิงบังคับเกวียน ออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า

“พี่ใหญ่ เหตุใดมาเช้านักเล่าเจ้าคะ?”เหยาซูเอ่ยถาม

เหยาเฟิงมองไปทางเด็กทั้งสามคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างเจื้อยแจ้วแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างจนปัญญา “ตั้งแต่กินข้าวเช้าเสร็จ ต้าเป่าและเอ้อเป่าก็พร่ำเพ้อว่าอยากกลับบ้าน ทั้งยังบอกอีกว่าเอ้อหลางกำลังรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน…เห็นเช่นนี้ ดูท่าจะจริง”

เหยาซูเองก็จนปัญญา “เอ้อหลางนั่งอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้ว ขืนปล่อยให้นั่งต่อไปคงจะเบื่อหน่ายแย่”

เป็นเพราะสองสามวันนี้ทุกคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำไร่ สะใภ้รองเหยาก็วุ่นแต่กับการทำอาหารทำงานบ้าน ไม่ได้ดูแลเอ้อหลางก็เลยไม่ปวดหัว ขาไม่เมื่อย ตัวก็เบาสบาย ทำงานบ้านได้อย่างราบรื่นไม่น้อย

เมี่อหันกลับมาเห็นสีหน้าอับจนปัญญาของเหยาซู เหยาเฟิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “น้องรัก คงลำบากเจ้าแย่!”

ทั้งสองคนเข้ามาในห้อง เหยาซูรินน้ำให้เหยาเฟิงหนึ่งจอก ครั้นเห็นเขาดื่มไปหนึ่งอึกแล้ว จึงถามว่า “เหตุใดถึงไม่พาต้าหลางมาส่งที่นี่ด้วยเล่า? พาเด็กน้อยทั้งสามคนมา รวมกันเป็นสี่คน พวกเขาสี่คนจะได้เล่นด้วยกัน จะได้ประหยัดแรงผู้ใหญ่”

เหยาเฟิงยิ้มอย่างสดใส ก่อนพูดว่า “ตอนนี้จะนำเข้าและตุนวัสดุผ้าในร้านขายผ้า ช่วงต้นฤดูวสันต์ก็จะต้องลงใต้ไปซื้อผ้าชุดใหม่ แต่เพราะการปรับปรุงหน้าดินล่าช้ามาตลอดจนถึงตอนนี้ ปีนี้ต้าหลางก็โตขึ้นแล้ว ข้าเลยอยากพาเขาไปด้วย ถือว่าเป็นการเพิ่มความรู้”

เหยาซูรู้สึกแปลกใจไม่น้อย “พี่ใหญ่พาเขาไปเพียงลำพังหรือ? จะกินจะอยู่พวกพี่ก็ต้องอยู่ด้วยกันอย่างนั้นสิ?”

เหยาเฟิงพยักหน้า “เด็กผู้ชายไม่ต้องพิถีพิถันมากนักหรอก”

นี่คือความคิดที่คนส่วนใหญ่มักเห็นด้วย เพียงแต่เหยาซูเป็นห่วงเท่านั้นจึงถามเขาว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง? ท่านแม่เองก็เห็นด้วยงั้นหรือ แล้ววางแผนการออกเดินทางการเป็นอยู่อย่างไรบ้าง อีกอย่างระหว่างนั้นท่านจะต้องดูแลต้าหลางมาก ๆ นะ!”

ครั้นเหยาเฟิงเห็นนางมีท่าทางเป็นกังวล จึงอดยิ้มไม่ได้ “วางใจเถอะ เรื่องเหล่านี้เรื่องเล็กจะตายไป ต้าหลางก็ยินยอมที่จะออกไปแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง ตอนนี้เขาเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว คงไม่พลัดหลงหรอก!”

เหยาซูรู้ว่าตนแสดงอาการเป็นห่วงมากเกินไป แต่ครั้นนึกถึงโลกในยุคปัจจุบัน ต้าหลางก็ไม่ใช่นักปราชญ์ตัวน้อยอีกแล้ว ต่อให้ผู้ปกครองจะเป็นกังวลอย่างไรก็ไม่ควรจะเกินพอดี

หญิงสาวแค่ขมวดคิ้วและเอ่ยเตือนว่า “อย่าหาว่าข้าคิดมากเลยนะเจ้าคะ แต่เรื่องอาจ้วงของตระกูลหลิน …. เฮ้อ พี่ใหญ่ว่ามันน่าตกใจไหมเล่า อายุเขาก็ยังน้อย…”

เหยาเฟิงรู้ว่าน้องสาวของตนเป็นคนขี้ใจอ่อน จึงพูดปลอบใจนาง “เด็กคนนั้นมีโชคชะตาที่ไม่ดี เกิดมาในครอบครัวเช่นนั้น ช่วงฤดูวสันต์อย่างตอนนี้หมาป่ามักจะออกหากิน แถมที่ที่เขาไปเก็บสมุนไพรก็ลึกเข้าไปบนภูเขา จะให้ทำอย่างไร? อย่าคิดมากเลย ข้าจะดูแลต้าหลางอย่างดี”

เหยาซูพยักหน้าโดยไม่พูดสิ่งใดอีก

ทั้งสองคนพูดคุยสบาย ๆ กันอีกครู่หนึ่ง เหยาเฟิงจึงเปลี่ยนหัวข้อกลับมาที่ตระกูลหลินอีกครั้ง

“เมื่อวานหลังจากที่เจ้ากับอาเหรากลับมา ก็มีข่าวลือจากตระกูลหลินด้านนั้นบอกว่าหลินหงกลับมาแล้ว แต่เพราะรังแกผู้หญิงข้างนอกเจ้าตัวก็เลยถูกคนในบ้านนั้นกักขังไว้ ผู้เฒ่าหลินล้วงเอาทรัพย์สินทั้งหมดออกมาชดใช้จนหมดเกลี้ยง ก็ยังไม่พอ… ได้ยินว่าจะต้องไปหายืมกับผู้อื่นหนึ่งรอบ ทั้งยังลงชื่อยินยอมเป็นหนี้ ถึงจะพาตัวไปได้”

เหยาซูได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากัน ก่อนจะด่าเสียงเบาว่า “ตัวหายนะผู้นี้ เหตุใดถึงพาเขากลับมา”

เหยาเฟิงทอดถอนใจ “หลายครัวเรือนในหมู่บ้าน มักจะมีตัวล้างผลาญแบบนี้อยู่ในครอบครัวเสมอ”

เมื่อเหยาซูนึกถึงทัศนคติที่ตระกูลหลินแสดงออกต่อหลินเหราขึ้นมา จึงอดพูดอย่างรังเกียจไม่ได้ “ครอบครัวใหญ่ขนาดนั้นก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป มิน่าล่ะถึงได้เลี้ยงดูหลินหงออกมาเป็นอันธพาลที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้”

เหยาเฟิงไม่ค่อยเห็นท่าทางเช่นนี้ของน้องสาวเท่าไร จึงพูดอย่างเบิกบานใจ “อาซู เจ้าด่าผู้อื่นได้สะใจยิ่งนัก เหตุใดเมื่อก่อนถึงไม่เห็นว่าเจ้าจะมีฝีปากเก่งกล้าเช่นนี้เล่า?”

เหยาซูมีความรู้สึกที่ดีมากต่อพี่ชายทั้งสองคน ครั้นได้ยินดังนั้นก็ถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่ใช่สตรีปากคอเราะราย อยู่ดี ๆ จะไปด่ากราดให้ผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไรกันเล่า? หากไม่ใช่เพราะเมื่อวานไปบ้านตระกูลหลินมา อีกทั้งได้รับคำพูดของคนในตระกูลนั้นมาสด ๆ ร้อน ๆ”

เหยาเฟิงไม่ต้องคิดก็รู้แจ้ง หลินเหราและเหยาซูจะต้องได้รับความไม่เป็นธรรมตั้งแต่เมื่อวานแน่นอน

จะว่าไปแล้วมันก็เป็นความจริง ตระกูลหลินทำตัวแปลกมาโดยตลอด เห็นได้ชัดว่าหลินเหราเป็นลูกชายคนโตของตระกูล ต่อมาก็กลายเป็นเสาหลักของตระกูล แต่กลับไม่เคยไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้เมื่อลูกชายคนโตที่กำลังมีอนาคตถูกบีบให้ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง กลับเชิดชูลูกชายคนเล็กที่วัน ๆ ไม่ทำอะไรเลยนอกจากเกาะคนอื่น

เขาไม่เข้าใจการกระทำของตระกูลหลินเลยจริง ๆ

เหยาเฟิงขมวดคิ้วและพูดอย่างมีความสุขว่า “โชคดีที่พวกเจ้าออกจากครอบครัวนั้นไปได้… ถ้าอาจื้อ อาซือ และซานเป่าเติบโตในตระกูลหลิน คงหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ไม่ได้ วันข้างหน้าเกิดหลงผิดคงไม่ดีแน่”

ได้ยินคำพูดนี้ เหยาซูก็อดใจสั่นไม่ได้ จากนั้นก็พยักหน้ายอมรับ “พี่ใหญ่พูดถูก ตระกูลนั้น พึ่งพาไม่ได้เลยจริง ๆ”

แม้เหยาซูจะรู้ว่าหลินเหราไม่ใช่ลูกชายร่วมสายเลือดสามีภรรยาตระกูลหลิน แต่เมื่อเห็นทัศนคติที่พวกเขาปฏิบัติต่อลูกชายคนรองและสะใภ้รองแล้ว ก็ยิ่งหนาวสะท้าน

อาจ้วงก็เป็นหลานชายสายเลือดเดียวกันของตระกูลหลินแท้ ๆ แต่จู่ ๆ ก็หายตัวไปเสียอย่างนั้น…

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงอาจื้อและเด็กทั้งสามคน หากยังเลี้ยงดูอยู่ในตระกูลหลิน ไม่แน่อาจจะเกิดหายนะบางอย่างก็เป็นได้

ครั้นคิดได้ว่าเด็กทั้งสามคนตามนิยายต้นฉบับมีนิสัยไม่ดีและมีจุดจบที่น่าเวทนา หัวใจของเหยาซูก็เจ็บปวด ราวกับเห็นจุดจบของลูกทั้งสามที่นางเฝ้าทะนุถถนอมในโลกอีกใบ

ครั้นเห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก เหยาเฟิงจึงพูดปลอบใจ “อย่าคิดมากเลย ตอนนี้เด็ก ๆ ล้วนมีชีวิตที่ดี เป็นเรื่องดีแล้ว”

เหยาซูพยักหน้า

ทั้งสองคนคุยกันถึงประเด็กหลักของเด็ก ๆ เหยาซูได้เอ่ยถามอีกว่า “พี่ใหญ่คิดว่าอาจื้อและอาซือเป็นอย่างไร?”

………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

บ้านหลินไม่ต่างจากขุมนรกจริง ๆ ค่ะ โชคดีที่หลุดพ้นออกมาได้แล้ว

ไหหม่า(海馬)