บทที่ 215 ไฉนเลยจะต้องไปกลับด้วยตัวเองด้วย

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 215 ไฉนเลยจะต้องไปกลับด้วยตัวเองด้วย

เหยาเฟิงตกตะลึงไปก่อนจะเข้าใจความหมายของเหยาซู ต่อมาก็ได้สติ “เจ้าหมายถึงนิสัยของเด็กทั้งสองคนหรือ?”

เหยาซูพยักหน้า “ข้าเป็นมารดาของพวกเขา แต่เพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ จึงมักสู้ความชัดเจนของคนภายนอกไม่ได้”

นับตั้งแต่เหยาซูพาเด็ก ๆ กลับมาบ้านตระกูลเหยา ตัวนางเองก็ไม่ค่อยได้ออกสู่โลกภายนอกมากนัก จึงกลายเป็นเหยาเฉาและสะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาที่ไปมาหาสู่กับอาจื้อและอาซืออยู่เสมอ ยิ่งทำให้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็ก ๆ มากขึ้น แม้ว่าเหยาซูจะไม่เคยคุยเรื่องนิสัยของเด็ก ๆ กับคนในครอบครัว แต่ในใจกลับเป็นกังวลอยู่ตลอด

เหยาเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังครุ่นคิด หลังจากที่พยายามไตร่ตรองถ้อยคำอยู่พักใหญ่ ก็ค่อย ๆ พูดว่า “ในตอนที่มาบ้านแรก ๆ ท่าทีของต้าเป่าและเอ้อเป่าดูไม่ดีนัก … ข้าว่าน่าจะเป็นเพราะสภาพจิตใจ”

เหยาซูได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว นิ้วมือทั้งสองข้างงอเข้าหากันไม่รู้ตัวก่อนจะถามว่า “พวกเขาเป็นอย่างไร?”

เหยาเฟิงพูดว่า “ก่อนหน้านั้นที่ไม่เคยบอกเจ้า เพราะเป็นความตั้งใจของท่านแม่ หลังจากที่เจ้าคลอดซานเป่า เดิมทีเราไม่อยากคิดมากตั้งหน้าตั้งตาเฝ้าบำรุงดูแลเจ้าเป็นเวลาสองสามเดือนจนร่างกายของเจ้าค่อย ๆ ดีขึ้น เรื่องหยุมหยิมเหล่านี้จึงไม่คุ้มที่จะนำมากวนใจเจ้า”

เหยาซูจึงพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “แต่ตอนนี้ข้าดีมากแล้ว พี่ใหญ่…”

เหยาเฟิงยิ้มราวกับปลอบใจ “อาซูอย่าเพิ่งร้อนใจไปไย เจ้าอยากรู้สิ่งใดพี่ใหญ่จะบอกเจ้าทุกอย่าง”

หญิงสาวพบว่าตัวเองยั้งสติไม่อยู่จึงถอนหายใจออกมา มือที่เดิมทีกำหมัดแน่นก็ค่อย ๆ คลายออกอย่างช้า ๆ “อื้อ ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อเหยาเฟิงเห็นนางสงบลงจึงพูดต่อว่า “ตอนที่มาถึงบ้านใหม่ ๆ อาจื้อเงียบมาก อาซือก็ขลาดกลัว ตกกลางคืนท่านแม่จึงพาเด็ก ๆ มานอนข้างกาย อาจื้อถูกจัดให้นอนเป็นคนแรกสุด แต่เด็กคนนี้เป็นคนหัวรั้น ไม่ยอมให้ใครมากอดและไม่พูดสิ่งใด ก่อนนอนจะต้องอาบน้ำให้เด็ก ๆ แต่อาจื้อไม่ชอบให้ผู้อื่นมาแตะเนื้อต้องตัว ท่านแม่จึงให้เขาอาบน้ำเอง แต่ครั้งนั้นเพราะน้ำอาบไม่พอ และเขาก็ไม่พูดสิ่งใด…ตกกลางคืนก็เป็นท่านแม่นั่นแหละที่สังเกตเห็นมือที่แดงเถือกทั้งสองข้างของเขา จึงได้รู้ว่าเขาใช้น้ำร้อนที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วอาบน้ำให้ตัวเอง ร่างกายก็เลยแดงไปหมด”

เหยาเฟิงปรายตามอง ครั้นเห็นสีหน้าที่ดูเศร้าหมองของน้องสาวจึงไม่อาจพูดต่อได้

กระทั่งได้ยินเหยาซูเอ่ยถามด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “เขาเป็นอะไรมากไหมเจ้าคะ? โดนลวกร้ายแรงหรือไม่? ”

เหยาเฟิงพูดเสียงเบาด้วยการปลอบใจว่า “ไม่เป็นอะไรหรอก เด็กคนนี้ไม่ได้โง่เขลา รู้จักเทน้ำผสม ไม่ได้ร้อนขนาดนั้นจึงพออาบได้ ท่านแม่เลยดึงตัวเขามาทายา ถึงบอกว่าแปลก เพราะหลังจากบีบบังคับให้ทายาจนเสร็จแล้ว อาจื้อกลับไม่ได้ปฏิเสธการแตะต้องตัวของผู้อื่นอีกแต่อย่างใด”

เหยาซูไม่เคยสังเกตเห็นว่าอาจื้อนั้นเคยต่อต้านสัมผัสจากผู้อื่นมาก่อน เพราะต่อหน้านาง คนที่อาจื้อสัมผัสคือคนที่มีความสนิทสนมและคุ้นเคยที่สุดจึงไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้

ในใจของนางจึงเกิดความทุกข์ใจที่พูดไม่ออกบางอย่าง “ข้าดูแลพวกเขาไม่ดีเอง”

ครั้นเหยาเฟิงเห็นน้องสาวเป็นเช่นนี้ จึงอดพูดไม่ได้ว่า “ตอนนี้อาจื้อก็ดีขึ้นแล้วมิใช่หรือ? บางครั้งก็เห็นว่าดูร่าเริงยิ่งกว่าต้าหลางเสียอีก ไม่เป็นไรหรอกมันผ่านไปแล้ว”

เหยาซูฝืนยิ้ม

หญิงสาวรู้ว่าความเจ็บปวดที่ลูกได้รับเมื่อครั้งยังเด็กมักจะติดเหมือนเงาตามตัวพวกเขาไปเนิ่นนาน บางทีในตอนนี้อาจื้ออาจจะแสดงว่าเป็นปกติต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่ในใจเขาจะลืมความเจ็บปวดที่ได้รับจากตระกูลหลินเมื่อครั้งอดีตได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?

หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เหตุใดเขาถึงต่อต้านการสัมผัสของผู้อื่นล่ะ?

เหยาเฟิงเสียใจที่ตัวเองเล่าเรื่องในอดีตออกไปจนหมดเปลือก ครั้นเห็นท่าทางเช่นนี้ของเหยาซู เห็นได้ชัดว่านางกำลังโทษตัวเอง

ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนหัวข้อมาที่เอ้อเป่าด้วยการพูดว่า “อาซือดีหน่อย ตอนนั้นนางขี้ขลาดและหวาดกลัวมาก แต่ต่อมาท่านแม่มักจะพานางไปทุกที ไม่ว่าจะเดินตลาด เดินบนท้องถนน หรือแม้แต่ไปเที่ยวเตร่บ้านของสหาย ก็ล้วนพาอาซือติดตามอยู่ข้างกายเสมอ เจอใครก็เที่ยวเอ่ยชมว่าเด็กน้อยหน้าตาน่ารักคนนี้คือหลานสาวของนาง”

ครั้นพูดถึงอาซือ ในที่สุดใบหน้าของเหยาซูก็เปื้อนรอยยิ้มบาง ๆ

หญิงสาวพยักหน้าและพูดว่า “มิน่าล่ะเอ้อเป่าถึงได้สนิทกับท่านยายของนางที่สุด”

เหยาเฟิงคล้อยตามนางและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก็บอกแล้วว่าเด็ก ๆ รู้ว่าใครดีกับเขา ใครที่ไม่ดีกับเขา และรู้ดีที่สุดว่าควรจะสนิทกับใคร”

เหยาซูมองไปยังใบหน้าของพี่ใหญ่ที่มีริ้วรอยขึ้นอย่างเด่นชัดและนัยน์ตาที่สุขุมคู่นั้นด้วยสภาพจิตใจที่ดีขึ้นมาก

นางจึงพูดอย่างจริงจังว่า “เมื่อหลายเดือนก่อนที่อยู่บ้าน ต้องรบกวนท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชายและเหล่าพี่สะใภ้คอยดูแล…”

เหยาเฟิงหุบยิ้ม และมักจะทำอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งยังเด็ก นั่นคือการเคาะศีรษะของเหยาซูอย่างเบามือ “พูดอะไรโง่ ๆ เจ้าเป็นน้องเล็กสุดของบ้าน เป็นสุดที่รักของท่านพ่อและท่านแม่ เป็นน้องสาวคนเล็กของเหล่าพี่ชาย เราไม่ดูแลเจ้า แล้วจะไปดูแลใคร?”

เหยาซูรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ และรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองได้มาเจอครอบครัวเช่นนี้

เหยาเฟิงเห็นน้องสาวกำลังคิดหนัก จึงตั้งใจจะหยุดพูดหัวข้อนี้และพูดเรื่องอื่นแทน

“ได้ยินว่ากิจการร้านขายชาดในเมืองของเจ้าไม่เลวเลย คราวที่แล้วเถ้าแก่หูกลับมายังหมู่บ้านตระกูลเหยารอบหนึ่ง เอาแต่ชื่นชมเจ้ากับครอบครัวไม่หยุด บอกว่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปในร้านก็เป็นเจ้าที่หาคนได้ กิจการเลยไปได้ดี”

เหยาซูยิ้ม “เถ้าแก่หูก็ชมเกินไป แต่ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูป ร้านของเราก็คิดจะเสริมเข้าไปด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรถ้ามองจากกำไรเสื้อผ้าสำเร็จรูปน่าจะทำเงินได้มากกว่าวัสดุผ้า”

ในด้านการทำการค้าขาย เหยาเฟิงมีความเชี่ยวชาญมากกว่าเหยาเฉามาโดยตลอด ด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกลและสติปัญญาอันแก่กล้าของเขา เมื่อได้ยินความคิดของเหยาซู ก็รู้ทันทีว่านางทำการวิเคราะห์ด้านนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว

เหยาเฟิงพยักหน้า “เสื้อผ้าสำเร็จรูปได้กำไรมากกว่าวัสดุผ้า เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ได้ลงมือทำอย่างเป็นระบบระเบียบ เพราะฝีมือยังไม่พอ และยังหาคนที่เหมาะสมกับด้านนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตออกมา จะต้องได้รับความชื่นชอบเป็นจำนวนมากและจะขายราคาสูงไม่ได้…”

เขาเห็นถึงปัญหาจากมุมมองของคนดูแลร้านขายผ้า ตอนนี้กิจการร้านขายผ้ากำลังคงที่ เพียงแต่ในช่วงฤดูวสันต์นี้เขาจะต้องลงใต้ไปเลือกผ้าอีกครั้ง จึงจำเป็นต้องใช้เงินทุนที่หามาได้ตลอดหนึ่งปี ดังนั้นความต้องการของร้านขายผ้าที่มีต่อเสื้อผ้าสำเร็จรูปจึงไม่ได้เร่งรัดมากขนาดนั้น

เหยาซูพูดว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล ข้ารู้จักเถ้าแก่ที่ขายผ้าสำเร็จรูปโดยเฉพาะอยู่ท่านหนึ่ง นางมักจะเดินทางล่องเหนือลงใต้ นางเคยรับปากว่าจะช่วยข้าหาช่างตัดผ้าของพื้นที่นี้”

บางทีอาจเพราะรู้ว่าเหยาเฟิงนั้นกังวลเรื่องใดเป็นที่สุด นางจึงพูดเสริมอีกว่า “เรื่องรูปแบบ พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นกังวล สหายผู้นี้เป็นสตรี วิสัยทัศน์ยอดเยี่ยมอย่าบอกใครเชียว”

เมื่อเหยาเฟิงได้ยินนางพูดเช่นนี้จึงอดชื่นชมและอยากรู้ไม่ได้ “ตอนนี้หญิงสาวที่ทำธุรกิจก็มีไม่มากนัก ได้ยินเจ้าพูดว่านางเองมักจะชอบเที่ยวเตร่ข้างนอก สหายเช่นนี้ อาซูต้องแนะนำให้ข้ารู้จักบ้างแล้วล่ะ”

เหยาซูพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว วันข้างหน้าถ้าได้ร่วมงานกัน พี่ใหญ่จะได้เป็นเถ้าแก่ใหญ่ของร้านขายผ้าของเรา จะไม่เจอกันได้อย่างไร?”

เหยาเฟิงคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข คล้อยตามกับการหยอกเย้าของน้องสาว

เหยาซูกไม่ได้คุยกับพี่ใหญ่หลายวัน ทั้งสองคนจึงได้พูดคุยกันครู่ใหญ่

กระทั่งเหยาเฟิงดื่มน้ำไปไม่น้อย และได้พักผ่อนมากพอก็ถึงคราวกล่าวลา

เหยาซูรู้สึกอาลัยอาวรณ์ จึงกล่าวออกมาว่า “ไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือ? ไม่ง่ายเลยที่จะได้มาหากันครั้งหนึ่ง พี่ใหญ่ยังไม่เห็นเลยว่าเราอยู่ที่นี่กันเป็นอย่างไรบ้าง”

เหยาเฟิงระบายยิ้ม เขาเป็นพี่ใหญ่ มักจะปล่อยให้เหยาเฉาและเหยาซูคิดเรื่องราวต่าง ๆ ให้รอบคอบด้วยตัวเอง เคยชินกับการที่น้องสาวพึ่งพาตัวเองเป็นครั้งคราว

เขามองเหยาซู นัยน์ตาฉายแววตาแห่งความคะนึงหาก่อนจะพูดว่า “หลังจากที่เจ้าโตแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ออกเรือนกับตระกูลหลินแล้ว ก็เท่ากับยุติการไปมาหาสู่ระหว่างญาติมิตร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความใกล้ชิด เจ้าไม่รู้หรอกว่าพี่ใหญ่คะนึงหาถึงน้องสาวที่เดินตามหลังข้าต้อย ๆ และขานเรียก ‘ท่านพี่ ท่านพี่’ ผู้นั้นมากแค่ไหน…”

เหยาซูใจเต้นแรง

สำหรับนางแล้วบางทีอาจเพราะเหยาเฟิงและเหยาเฉาเป็นพี่น้อง เป็นครอบครัวที่นางเพิ่งมีในโลกใบนี้ แต่ในสายตาของพี่ชายทั้งสองคน พวกเขาเห็นนางเป็นน้องสาวจากใจจริง รักและเอ็นดูนางตั้งแต่เด็กจนโต

หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าของร่างเดิมถึงได้เอาแต่ใจกระทั่งเรื่องการแต่งงานที่ไม่พอใจ ถึงขั้นตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวของตนเอง เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลเหยาต่างก็มีความห่วงใยและคิดถึงนางอยู่เสมอ

เหยาซูยิ้ม จากนั้นก็พูดกกับเหยาเฟิงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “พี่ใหญ่ ข้ารู้ ไม่ว่าจะโตแค่ไหนข้าก็จะเป็นน้องสาวทางสายเลือดที่สนิทสนมกับท่านและพี่รองที่สุด เราจะเป็นพี่น้องที่คอยสนับสนุนกันและกันแบบนี้ตลอดไป”

เหยาเฟิงทอดถอนใจ จากนั้นก็ลูบศีรษะของเหยาซูอีกครั้ง

เขาลุกขึ้นยืนพลางพูดว่า “แม้ว่าที่ดินในครอบครัวของเราจะยกให้คนในหมู่บ้านทำการเพาะปลูกไปแล้ว แต่ท่านพ่อยังต้องให้ความร่วมมือในการปรับหน้าดินทั้งหมู่บ้าน ตอนนี้เกิดฝนตกหนักสองครั้ง ในที่สุดเรื่องน้ำใช้ก็ไม่ต้องยื้อแย่งกับตระกูลตะวันออกและตระกูลตะวันตกอีก แม้ว่าปัญหาในตอนนี้จะได้รับการจัดการไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน แต่ก็ยังต้องคอยตามเก็บรายละเอียดอีกบางส่วน ข้าคงอยู่นานไม่ได้”

ครั้นเหยาซูได้ยินว่าเขามีธุระต้องไปทำต่อจริง ๆ จึงไม่รั้งไว้อีก แค่บ่นอีกเล็กน้อยว่า “คราวต่อไปถ้ายุ่งละก็ ให้ใครก็ได้ในหมู่บ้านที่ต้องเข้าเมืองพาเด็ก ๆ มาส่งที่นี่ก็ได้ ไฉนจะต้องวิ่งไปกลับเองด้วย”

เหยาเฟิงดีดหน้าผากของเหยาซูหนึ่งครั้ง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “เจ้านี่ช่างฉลาดเสียจริง ถึงตอนนั้นหากเกิดอะไรขึ้นมาจะให้ข้าบอกเจ้าและอาเหราอย่างไรเล่า?”

เหยาซูยิ้ม โดยไม่พูดสิ่งใดอีก

นางพาเหยาเฟิงมาส่งหน้าบ้าน จึงได้เห็นเด็กทั้งสามคนกำลงเล่นด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยาเอ้อหลาง เขาถือหนังยางที่เหยาต้าหลางซื้อให้เขาในมือ แล้ววิ่งหาก้อนหินไปทั่วทุกหนแห่ง

เอ้อหลางนั้นสายตาเฉียบแหลม เขาชำเลืองมาเห็นเหยาเฟิงก่อนและตะโกนเรียกขึ้น “ลุงใหญ่!”

เขาวิ่งมาตรงหน้าเหยาเฟิง ดวงตาเปล่งประกายและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ลุงใหญ่ฝากไปขอบคุณญาติผู้พี่แทนข้าด้วย หนังยางเส้นนี้ข้าชอบมากขอรับ”

ปกติแล้วเหยาเฟิงจะค่อนข้างเข้มงวดเวลาอยู่ต่อหน้าของเด็ก ๆ เหยาเอ้อหลางก็กลัวเขาเช่นกัน หากไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรจะไม่ชอบเข้าใกล้เขา กลัวจะถูกลุงใหญ่คนนี้ถามถึงการเรียนว่าไปถึงไหนแล้ว

ครานี้เหยาเฟิงกลับไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้เด็ก ๆ ตรงกันข้ามกลับยิ้มให้เขา “อีกสองสามวันเจ้าก็ไปขอบคุณเขาเองละกัน จริงสิ ต้าหลางยังฝากข้ามาบอกเจ้าด้วย ครั้งนี้เขาจะลงใต้กับข้า ถามเจ้าว่ามีสิ่งของอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษหรือไม่”

……………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

บ้านนี้ครอบครัวอบอุ่นดีนะคะ พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวดีเหลือเกิน โชคดีแล้วที่บ้านฝั่งแม่เป็นแบบนี้

ไหหม่า(海馬)