บทที่ 216 ปมในใจของอาจื้อ
เหยาเอ้อหลางดูตะลึงงันเล็กน้อย จากนั้นก็มองอาจื้อและอาซือ แล้วค่อยหันไปมองเหยาเฟิงอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “พี่ใหญ่จะลงใต้หรือขอรับ?”
เด็กทั้งสองคนเพิ่งนึกขึ้นได้
อาจื้อจึงพูดว่า “เมื่อวานญาติผู้พี่คนโตได้พูดกับเราก่อนนอน ข้ากับเอ้อเป่าก็ลืมบอกไปเสียสนิท….”
หัวใจของเหยาเอ้อหลางเหมือนถูกกรงเล็บกรีด มันเจ็บจี๊ดเสียไม่อาจทนได้ ในระหว่างนั้นก็คิดอยากจะตามไปด้วย แต่ก็กลัวลุงใหญ่ที่เอาแต่ทำหน้าขึงขังไปทั้งวัน ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาไป พวกเขาจะไม่ได้พาเถิงเอ๋อไปขี่ม้าตามที่สัญญากันไว้…
สุดท้ายเขาก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่งและพูดกับเหยาเฟิงว่า “ฝากท่านลุงใหญ่ไปบอกพี่ใหญ่ด้วยว่าให้เขาเอาอะไรมาฝากก็ได้ขอรับ! ของที่พี่ใหญ่ซื้อล้วนแต่เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับข้าที่สุด”
เหยาเฟิงหัวเราะเบา ๆ ยากนักที่จะรู้สึกว่าเอ้อหลางรู้ความขึ้นมากแล้ว จากนั้นก็เคาะศีรษะของเขาอย่างเบามือ “อาของเจ้าเลี้ยงดูเจ้าเป็นอย่างดีสินะ เวลาอยู่บ้านถึงได้รู้ความมากเพียงนี้?”
เหยาเอ้อหลางรู้สึกหวาดผวาจนเส้นขนลุกชันทั่วร่าง…
ท่านลุงใหญ่ยิ้มให้เขาอย่างนั้นหรือ? เขาไม่ได้ตีสีหน้าขึงขังใส่ตนเหมือนอย่างเคยแล้วใช่หรือไม่?
ครั้นเห็นเหยาเอ้อหลางมีท่าทีที่แปลกไป เหยาซูจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
หญิงสาวพูดกับเหยาเฟิงว่า “เอาล่ะ พี่ใหญ่ รีบกลับได้แล้ว ขืนถ่วงเวลานานกว่านี้พระอาทิตย์ไต่สูงขึ้นมา มีหวังคงได้ถูกแดดเผาเป็นแน่”
เหยาเฟิงพยักหน้าให้เหยาซูไปส่งตัวเองนอกบ้าน
ในตอนที่เหยาซูหมุนตัวนั้นก็เห็นเหยาเอ้อหลางกำลังพูดอะไรบางอย่างกับอาจื้อและอาซือ จึงอดเรียกเขาไว้ไม่ได้จากนั้นก็ถามเขาด้วยรอยยิ้ม “เอ้อหลาง เหตุใดตอนที่ลุงใหญ่ลูบหัวของเจ้าถึงได้มีท่าทีเช่นนั้นเล่า? กลัวหรือ?”
เหยาเอ้อหลางทำหน้าตาล้อเลียน พร้อมกับเดินมาตรงหน้าของเหยาซูก่อนที่ปากเล็ก ๆ นั้นจะตะโกนตอบเสียงดัง “เมื่อครู่ข้าก็เพิ่งพูดกับต้าเป่าและเอ้อเป่าอยู่เลย ลุงใหญ่ไม่เคยเป็นเช่นนี้….ให้ตายเถอะ ไม่ถามถึงบทเรียน ไม่ได้ดุข้าก็ช่างเถอะ แต่ยังมาลูบหัวข้าและยิ้มให้ข้าอีก!”
อาซือพูดประท้วงอยู่ด้านข้าง “ลุงใหญ่ไม่ดุนะ”
เหยาเอ้อหลางมองไปทางนางแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่ดุกับเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าลองถามต้าเป้าสิ ปกติลุงใหญ่มักจะทำอย่างไรกับข้า?”
อาจื้อกลายเป็นจุดรวมความสนใจไปโดยปริยาย เขาแสดงสีหน้าจนปัญญาและพูดว่า “ลุงใหญ่นั้นเข้มงวดจะตายไป แต่หากไม่ใช่เพราะพี่รองไม่เชื่อฟัง เขาก็ไม่เป็นเช่นนี้”
เหยาซูเห็นเด็กทั้งสามคนเริ่มถกเถียงกับถึงปัญหานี้อย่างไม่มีหยุดพัก จึงอดขบขันไม่ได้
หญิงสาวเห็นว่าอาจื้อนั้นโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเหยาเอ้อหลางอย่างชัดเจน พาให้นึกถึงท่าทางของเด็กชายตัวน้อยที่เหยาเฟิงได้พูดถึงวันนี้
อาจื้อเมื่อสองสามเดือนก่อน มีท่าทางดุร้ายเหมือนมีหนามแหลมอยู่รอบตัวอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?
เหยาซูพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ต้าเป่ามานี่สิ แม่มีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”
อาซือและเหยาเอ้อหลางกำลังคิดจะตามไปด้วย แต่เหยาซูพลันพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พอแล้ว คนเดียวก็พอ พวกเจ้าสองคนไปเล่นกันก่อนเถอะ”
อาจื้อตามเหยาซูเจ้าไปในห้องอย่างว่าง่าย พลางเอ่ยถามนางด้วยความอยากรู้ “ท่านแม่ มีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยอย่างนั้นหรือขอรับ?”
เหยาซูเองก็ไม่กล้าที่จะพูดเปิดใจกับเขาตรง ๆ จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าด้ายที่ซื้อกลับมาเมื่อสองสามวันยังไม่ได้แกะออกจึงพูดกับอาจื้อว่า “ช่วยแม่หยิบด้ายในตู้ออกมาหน่อยสิ”
วันนั้นอาจื้อได้ตามเหยาซูไปตลาดด้วย จึงรู้ว่าด้ายถูกวางไว้ที่ใด เขาเสาะหาด้ายที่ม้วนพันกันเป็นก้อนกลมทั้งสามม้วนอย่างชำนาญ จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าของเหยาซู
เหยาซูหยิบไม้ยาวและแบนชิ้นหนึ่งออกมาจากตะกร้าขนาดเล็ก และพูดกับอาจื้อว่า “ช่วยแม่พันด้ายกับไม้นี้หน่อยสิ ทำได้ไหม?”
อาจื้อเคยเห็นเหยาซูทำก่อนหน้านั้น งานนี้จึงไม่ยากนัก เขาพยักหน้ารับคำ แต่ก็คิดไม่ตกว่าเหตุใดมารดาถึงให้เขามาทำเรื่องเหล่านี้
เขาหยิบด้ายม้วนหนึ่งออกมา หาส่วนปลายของไหมและยื่นให้ผู้เป็นมารดา เหยาซูก็เริ่มเอาด้ายเส้นนั้นมาพันรอบ ๆ ไม้แท่งนั้น
อาจื้อจะคอยขยับม้วนไหมที่อยู่ในมือ ให้เส้นไหมไม่พันกัน
เมื่อเหยาซูเห็นสายตาของเด็กผู้ชายจ้องมองมาที่ตัวเองตลอดวลา จึงอดถามเขาไม่ได้ “จ้องข้าทำไม?”
อาจื้อส่ายหน้า “แค่กำลังคิดว่าท่านแม่มีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นคงให้เอ้อเป่ามาช่วยแล้ว”
เหยาซูประหลาดใจกับลางสังหรณ์ที่ว่องไวของเด็กชายในวัยแค่นี้ มือที่กำลังเคลื่อนไหวจึงหยุดชะงักลง และอดพูดด้วยความขุ่นเคืองไม่ได้ “เหมือนกับพ่อไม่มีผิด ปราดเปรื่องคล้ายกับลูกหมาป่ายิ่งนัก”
อาจื้อยิ้มแป้น
แม้จะถูกอาจื้อเดาแผนการออกแล้ว แต่เหยาซูก็ไม่ได้อยากให้รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรทั้งหมด
นางยังรู้จักใช้กลยุทธ์ในเชิงอ้อม
หญิงสาวยิ้มและถามอาจื้อว่า “แม่รู้สึกว่าการพูดเรื่องนี้มันยังเร็วไปหน่อย แต่แค่อยากจะถามความคิดเห็นของเจ้า”
อาจื้อปรายตามองราวกับสัตว์ตัวน้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เหยาซูรู้สึกว่าบางครั้งอาจื้อก็น่ารักยิ่งนัก การขยับเส้นไหมในมือยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่ร้อนรนอยู่ในใจก็ค่อย ๆ สงบลง
ต่อให้อาจื้อจะเคยมีข้อบกพร่องในด้านนิสัยแล้วอย่างไรเล่า? เขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับนางแล้ว จะไม่ยอมให้อาจื้อเจริญรอยตามเส้นทางเดิมในอดีตอีกเป็นอันขาด
เหยาซูพูดอย่างอ่อนโยน “ก่อนหน้านั้นอาอวี๋และท่านปู่เซี่ยเคยให้คำแนะนำแก่เจ้ามิใช่หรือ เรื่องการร่ำเรียนหนังสือ? แม่เห็นเจ้าคิดนานแล้ว ในใจพอจะมีความคิดบ้างหรือไม่?”
อาจื้อพูดอย่างจริงจัง “ข้าอยากไปเมืองหลวงขอรับ”
“อ่อ? ไหนแม่ขอฟังความเห็นของเจ้าหน่อยสิว่าเป็นอย่างไร”
อาจื้อรวบรวมถ้อยคำครู่หนึ่งและพูดออกไป “เมืองหลวงใกล้บ้านของเรา อีกอย่างก็อยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาทขององค์จักรพรรดิด้วย ผู้คนและเรื่องราวที่ได้เจอะเจอย่อมต่างกัน บางทีบรรยากาศในการศึกษาของซูโจวอาจจะเข้มงวดกว่า แต่ข้าไม่ได้อยากศึกษาหาความรู้เพียงอย่างเดียว”
เหยาซูรู้มาตลอดว่าอาจื้อเป็นเด็กที่มีตรรกะชัดเจน แค่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าในใจของเขาจะมีแผนการเช่นนี้
เข้าใจจุดเด่นในความต้องการของตนเอง มีผู้ใหญ่หลายคนที่ไม่สามารถทำได้
นางมองอาจื้อ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าอาจื้อที่นางมักคิดว่ายังเด็กเสมอ ตอนนี้กลับโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เหยาซูยื่นมือไปวางบนศีรษะของอาจื้ออย่างอ่อนโยน “หากเจ้าอยากทำ แม่จะสนับสนุนเต็มที่”
เด็กชายยิ้มกว้างอีกครั้ง
เหยาซูพูดคุยกับอาจื้ออีกพักใหญ่ ถามเขาว่าเมื่อคืนนอนบ้านของผู้เป็นยายสบายดีหรือไม่ น้องสาวเชื่อฟังไหม ซึ่งอาจื้อก็ตอบทีละคำถามอย่างตรงไปตรงมา
กระทั่งนางเอ่ยถึงเป้าหมายเดิมในการพูดคุยครั้งนี้ “ต้าเป่าเล่นกับเด็กคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง มีเพื่อนสนิทบ้างแล้วหรือยัง?”
อาจื้อไม่รู้ว่าเหยาซูกำลังถามเขาอ้อม ๆ จึงบอกความคิดในใจของตัวเองกับผู้เป็นแม่หมดเปลือก “ก็ไม่เลว แค่ยังไม่ถือว่าสนิทกันขอรับ”
เหยาซูพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใด และถามอย่างขอไปทีว่า “เถิงเอ๋อล่ะ? เขาก็มาเล่นที่บ้านของเรานานขนาดนั้น เถิงเอ๋อถือว่าเป็นสหายสนิทของเจ้าแล้วหรือยัง?”
อาจื้อมองเหยาซูแวบหนึ่ง หัวคิ้วเริ่มขมวดกันเล็กน้อยเหมือนกับกำลังคิดว่าตัวเองจะพูดอย่างไร
หลังจากที่หยุดชะงักไปชั่วขณะ เขาก็พูดความในใจออกมา “เถิงเอ๋อยังไร้เดียงสามาก คงสนิทกับเอ้อเป่ามากกว่า”
เขาไม่ได้บอกความคิดที่ตัวเองมีต่อเถิงเอ๋อ แต่เหยาซูพลันเข้าใจ
ในใจของอาจื้อนั้น เถิงเอ๋อไม่มีพิษไม่มีภัย เพียงแต่เขายังไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทกัน
เหยาซูไม่เคยคิดว่ากำแพงในใจของอาจื้อจะแข็งแกร่งเพียงนี้ ไม่เพียงแต่กับผู้ใหญ่ แม้แต่สหายรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาก็ยังไม่เชื่อใจใครจริง ๆ เลย
หญิงสาวจึงอดรู้สึกดีไม่ได้ โชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีอาซือและเด็กทั้งสองคนของตระกูลเหยา อาจื้อจึงไม่ได้ตกสู่ความโดดเดี่ยว
เหยาซูรู้ว่าสาเหตุที่เรียกปมในใจว่าปมในใจนั้นเป็นเพราะมันแกะออกได้ยาก อาจื้อเชื่อใจผู้อื่นได้ยาก มันคงไม่เกิดผลลัพธ์ภายในวันสองวันแน่นอน หญิงสาวจะต้องค่อย ๆ หาเหตุผลถึงจะคิดหาวิธีแก้ปมนั้นได้
เพราะไม่อยากเพิ่มความทุกข์ใจและความกดดันให้แก่อาจื้อมากนัก เหยาซูจึงพูดคุยกันธรรมดา ก่อนจะพูดกับเขาว่า “แม่ของเถิงเอ๋อและแม่เป็นสหายที่ดีต่อกัน เขายังอายุน้อย ร่างกายก็อ่อนแอ อาจื้อช่วยแม่ดูแลเขาได้หรือไม่?”
ใบหน้าของเด็กชายเปื้อนรอยยิ้ม “ท่านแม่วางใจเถอะขอรับ ข้าเห็นเถิงเอ๋อเป็นน้องชายคนหนึ่ง และจะดูแลเขาอย่างดี”
เหยาซูถึงถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
ตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นแล้ว จึงให้อาจื้อเริ่มต้นกับเถิงเอ๋อผู้มีนิสัยเอาแต่ใจน้อยที่สุดก่อน ค่อย ๆ ให้ความใส่ใจ นานวันเข้ามันจะต้องแปรเปลี่ยนเป็นความเชื่อใจอย่างแน่นอน
กระทั่งได้ยินอาจื้อพูดว่า “ท่านแม่ ด้ายสีน้ำตาลใกล้หมดแล้วขอรับ”
เหยาซูตอบรับเสียงเบา “อื้อ งั้นก็พันแค่นี้ก่อนก็ได้”
……………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เวลาจะช่วยเยียวยาปมในใจเองค่ะ ระหว่างนี้ก็ต้องเอาใจใส่ไปพร้อมๆ กันด้วย
โชคดีแล้วที่อาซูทะลุมิติมา
ไหหม่า(海馬)