“ไร้สาระ! อาซู อยู่แต่ในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ของเรามาโดยตลอด แล้วเขาจะฆ่าใครได้ยังไง?” ฉู่จงเทียนเองก็สามารถบอกได้ว่านี่เป็นความพยายามที่จะใส่ร้ายซูอัน
“พวกเราแค่ทำตามคำสั่งของท่านเจ้าเมือง ท่านอ๋องฉู่ข้าคงต้องขอร้องให้ท่านอย่าทำให้เรื่องราวมันยุ่งยากมากขึ้นเลย”
อย่างไรก็ตาม ฝูงชนเริ่มดูไม่พอใจมากขึ้นหลังจากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทางการมีทีท่านอบน้อมต่อตระกูลฉู่
“ตระกูลฉู่พยายามที่จะปกป้องฆาตกรงั้นเหรอ!”
“กฎหมายใช้ไม่ได้กับตระกูลฉู่อย่างนั้นสินะ!”
“ความยุติธรรมของราชวงศ์โจวอันยิ่งใหญ่ของเราอยู่ที่ไหน??”
…
การปลุกระดมประชาชนเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวย บรรดาผู้มีอำนาจและคนยากจน ฝูงชนต่างมีอารมณ์ร่วมอย่างรุนแรงและตะโกนอย่างขุ่นเคืองราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง
ฉู่จงเทียนตระหนักดีว่าเรื่องนี้ยากที่จะจัดการ มันคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถ้าผู้คนหันมาต่อต้านตระกูลฉู่เพราะเรื่องนี้ “ดี! งั้นข้าจะตามพวกเจ้าไปที่หยาเหมินด้วย ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้าตั้งใจจะตัดสินคดีนี้อย่างไร!”
จากนั้นเขาตบไหล่ของซูอันและพูดว่า “อาซู เจ้าไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าเผชิญกับความอยุติธรรม!”
เขามีสถานะเป็นถึงอ๋อง หากเขาพูดว่าเขาจะจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด คนอื่น ๆ คงไม่กล้าที่จะตัดสินคดีอย่างลำเอียงแน่นอน
ซูอันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจทันที พ่อตาของเขาช่างเป็นคนดีจริงๆ
ฉู่จงเทียนให้ฉินหว่านหรู คอยอยู่ในคฤหาสน์และเตรียมส่งกำลังเสริมไปให้เขาหากจำเป็นก่อนที่ตัวเขาเองจะนำกลุ่มทหารส่วนหนึ่งไปที่หยาเหมิน
ฉู่ชูเหยียนที่กำลังจะปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อนางได้ถูกซูอันดึงตัวเอาไว้ และเอ่ยขอความช่วยเหลือว่า “ข้าต้องการให้เจ้าหาคนให้ข้า และถ่ายทอดคำเหล่านี้กับนาง…”
ฉู่ชูเหยียนตกตะลึงกับคำขออย่างกะทันหัน แต่นางก็พยักหน้าตอบรับก่อนที่จะหายตัวไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางฝูงชน…
เฉิงโซวผิงก็รีบวิ่งไปที่ด้านข้างของซูอันอย่างประจบสอพลอและถามว่า “นายน้อย นายน้อย! มีอะไรให้ข้าช่วยไหม…ข้าเต็มใจฝ่าทะเลเพลิงเพื่อท่าน ขอแค่ท่านบอกมาเท่านั้น!”
“ใช่…ข้ามีบางอย่างที่อยากให้เจ้าทำ” ซูอันตอบ
ดวงตาของ เฉิงโซวผิง สว่างขึ้นทันที “อะไรเหรอนายท่าน?”
“หุบปากไปซะ!”
“…อ่อก”
เว้นแต่ซูอันเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่มีทางที่เขาจะมอบหมายอะไรที่สำคัญให้กับเฉิงโซวผิงตัวปัญหาแน่นอน เขาต้องการให้ฉู่ชูเหยียนจัดการเรื่องนี้คนเดียวเพราะเขาจะสบายใจมากกว่า ส่วนเฉิงโชวผิง…คงมีไว้ทำให้ผู้คนเกลียดขี้หน้าเขาเพิ่ม!
เมื่อฉู่จงเทียนเดินทางไปกับคณะจับกุมด้วย เจ้าหน้าที่ก็ไม่บังคับให้ใส่กุญแจมือซูอัน พวกเขาได้แต่รีบเดินทางไปยังหยาเหมินอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางเจ้าเมืองเซี่ยอี้และรองผู้พิพากษาผางชุนก้าวเข้ามาร่วมขบวนและทักทายพวกเขาด้วยสีหน้าเป็นมิตร “น่าแปลกใจเสียจริงว่าอะไรที่นำท่านอ๋องฉู่ร่วมขบวนมาด้วยในวันนี้?”
“เจ้าส่งคนของเจ้ามาจับลูกเขยของข้าแล้วข้าจะไม่มาด้วยตัวเองได้ยังไง?” ฉู่จงเทียนตอบกลับอย่างเย็นชา
เซี่ยอี้ส่ายหัวอย่างขมขื่นและพูดว่า “มีคนตีกลองหยาเหมินและร้องไห้ออกมาด้วยความคับข้องใจ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนำตัวซูอันไปพิจารณาคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย” [1]
“ใครเป็นคนตีกลอง?” ฉู่จงเทียนถามกลับ อย่างน้อยเขาต้องรู้ว่าใครเป็นศัตรูของเขา
ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังหยาเหมิน เซี่ยอี้ตอบด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลงว่า “เป็นภรรยาม่ายของหยางเว่ย และญาติของดอกบ๊วยสิบสองและดอกบ๊วยสิบสาม เหมยเชาฟงก็อยู่ที่นี่ด้วย”
ดวงตาของฉู่จงเทียนหรี่ลง “ดูเหมือนว่าสำนักดอกบ๊วยตั้งใจจะเป็นศัตรูกับตระกูลฉู่ของเรา ข้าสงสัยว่าพวกเขาเอาความกล้าหาญแบบนี้มาจากไหน!”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมั่นใจมากในเรื่องนี้ ท่านอย่าได้คิดแค่เพียงว่าพวกเขาต้องการเป็นศัตรูของตระกูลฉู่!” เซี่ยอี้เตือน
เมื่อพวกเขาเข้าไปในศาล ใบหน้าของเซี่ยอี้ก็ดูเคร่งเครียดขึ้นทันที
ซูอัน สำรวจบริเวณโดยรอบซึ่งเขาก็เห็นป้ายยาวสองป้ายที่เขียนว่า “กฎหมายสร้างขึ้นด้วยความยุติธรรม บังคับใช้ด้วยวินัย”
ประโยคนี้ทำให้กลิ่นอายความน่าเกรงขามของศาลยิ่งดูหนักแน่นยิ่งขึ้น
เซี่ยอี้และผางชุน เดินตรงไปที่ท้ายห้องโถงซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์ศาล คล้ายกับที่ปรากฏในละครประวัติศาสตร์ที่มีทหารยืนอยู่ด้านข้างสองแถวโดยจับพลองเหล็กยาวอยู่ในมือ
มีคนหลายคนคุกเข่าอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ศาล หนึ่งในนั้นคือหญิงวัยกลางคนซึ่งดูจากเครื่องแต่งกายที่ค่อนข้างดีของนางเหมือนจะเป็นภรรยาของหยางเว่ย ส่วนคนอื่น ๆ ดูเหมือนจะเป็นชาวนา ซึ่งน่าจะเป็นสมาชิกครอบครัวของดอกบ๊วยสิบสองและดอกบ๊วยสิบสาม ส่วนเหมยเชาฟงยืนอยู่อีกด้านหนึ่งและกำลังมองซูอันด้วยสายตาที่เย็นชา…
ซูอันยิ้มเมื่อเห็นภาพทั้งหมดนี้ เขาคิดในใจว่า ไม่เกินไปจากที่เขาคาดไว้มากนัก เอาล่ะ แสดงให้เห็นหน่อยสิว่าพวกเจ้ามีอะไรออกมาแสดงบ้าง!
“เนื่องจากโจทก์และจำเลยมาอยู่ที่นี่โดยพร้อมเพรียงกันแล้ว ข้าขอเริ่มต้น…” เซี่ยอี้กำลังจะประกาศการเริ่มต้นของการพิจารณาคดีแต่กลับมีเสียงดังวุ่นวายเกิดขึ้นภายนอกเสียก่อนที่เขาจะพูดจบ
“ผู้ตรวจการซ่างมา!”
ด้วยความประหลาดใจ เซี่ยอี้รีบลุกขึ้นพร้อมกับผางชุนและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เพื่อทักทายซ่างหง
ซ่างหงเดินเข้ามาพร้อมกับหัวเราะแบบสบาย ๆ จากนั้นพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองเซี่ยไม่จำเป็นต้องลุกขึ้น ท่านเป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการพิจารณาคดีทั้งหมด ข้าแค่มาเป็นพยานเพื่อความยุติธรรมเท่านั้น”
ในทางกลับกัน ฉู่จงเทียนนั้นไม่มีท่าทีเคารพซ่างหงเลยแม้แต่น้อย “ท่านซ่าง ทำไมช่วงนี้ข้าเห็นท่านโผล่ไปในทุก ๆ ที่ ๆ ข้าไปบ่อยจริง ๆ เลยนะ!”
เมื่อวันก่อนซ่างหงเข้าข้างตระกูลหยวนอย่างเปิดเผย และตอนนี้เขามาที่นี่เพื่อจัดการกับลูกเขยของเขา ต่อให้เป็นคนที่อดทนที่สุดในโลกก็คงต้องอารมณ์เสียเหมือนคนทั่วไป…
ซ่างหงตอบอย่างใจเย็นว่า “ข้าก็ว่าจะกลับไปที่จวนผู้ตรวจการของข้า แต่พอข้าได้ยินมาว่ามีบางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้นในเมือง และยิ่งรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่ ด้วยความกังวลข้าจึงมาที่นี่เพื่อเป็นพยานในความยุติธรรมโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด อ๋องฉู่…แน่นอนว่าเจ้าคงไม่รังเกียจใช่ไหม?”
เมื่อเห็นว่าซ่างหงกำลังกดดันเขา ฉู่จงเทียนก็ตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “ที่นี่ไม่มีใครตาบอดหูหนวก ข้าจะไม่อยู่เฉยแน่ หากมีใครก็ตามที่พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง!”
ซ่างหงหัวเราะกับคำพูดเหล่านั้น “แน่นอน…แน่นอน…ทุกอย่างจะได้รับการจัดการตามกฎหมาย ข้าเชื่อว่าเจ้าเมืองเซี่ยจะจัดการกับคดีนี้ได้อย่างยุติธรรม!”
จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์! เซี่ยอี้สาปแช่งอยู่ในใจ เขาไม่แน่ใจซะแล้วว่าจะตัดสินคดีนี้ให้เป็นไปในแนวทางที่ต้องการได้หรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาตัดสินเรื่องนี้อย่างยุติธรรม ทั้งสองฝ่ายก็ไม่สามารถตำหนิเขาได้!
ในขณะเดียวกันนี้เองที่ซูอันพูดขึ้น “ข้าเข้าใจว่าผู้ตรวจการซ่างอยู่ที่นี่เพื่อให้แน่ใจว่าคดีจะถูกตัดสินอย่างยุติธรรม แต่ข้าขอทราบได้ไหมว่านายน้อยซืออยู่ที่นี่เพื่อชมการพิจารณาคดีในฐานะอะไร? เขาเป็นเจ้าหน้าที่ด้วยเหรอ?”
เขาสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าซือคุนอยู่กับซ่างหงด้วย
“พ่อของข้าเป็นเสนาบดีกลาโหม…” ซือคุนตอบอย่างใจเย็น
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซูอันก็แทรกขึ้นเสียงดังว่า “ข้าถามว่าเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่หรือเปล่า ทำไมเจ้าไปพูดถึงพ่อของเจ้าล่ะ? เจ้าไม่มีอะไรจะพูดถึงนอกจากพ่อของเจ้าแล้วเหรอ?”
“เจ้า!!” ซือคุนหน้าแดงขึ้นทันทีด้วยความโกรธ ด้วยภูมิหลังและชื่อเสียงของเขา เขาได้รับการปฏิบัติเหมือนอย่างผู้ทรงเกียรติเสมอไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญเช่นนี้มาก่อน
ท่านยั่วยุซือคุนสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธ +500!
“เจ้าเรียกใครว่า ‘เจ้า’? ดูวิธีที่เจ้าพูดกับอาจารย์ของเจ้าสิ เจ้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรในในตระกูลซือเนี่ย?” ปากของซูอันเป็นเหมือนปืนกลที่ยิงกระสุนออกไปรัว ๆ อย่างไม่สิ้นสุด
ท่านยั่วยุซือคุนสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธ +653!
“ปากดีนัก เด็กอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาทำให้ชื่อตระกูลซือเสียชื่อเสียง!” ซือเล่อจื่อก้าวออกมาจากด้านข้างของซือคุนและตะโกนใส่ซูอันพร้อมปล่อยกลิ่นอายคุกคามอันทรงพลังของเขาเป็นการข่มขู่
ในอดีตจะมีกลองและไม้กลองวางอยู่นอกหยาเหมินหรือศาลซึ่งประชาชนสามารถมาตีกลองร้องขอให้มีการพิจารณาคดีเพื่อแก้ไขความคับข้องใจของพวกเขา