ฉู่จงเทียน โบกมือทันทีเพื่อขจัดกลิ่นอายของซือเล่อจื่อและกล่าวว่า “เจ้าควรคิดให้รอบคอบก่อนที่จะพยายามก่อเรื่องขัดแย้งในศาล นอกจากนี้อาซูก็ไม่ได้พูดอะไรผิดเช่นกัน เขาเป็นอาจารย์ที่สถาบันจันทร์กระจ่าง ถูกต้องแล้วที่ซือคุนจะกราบไหว้เขาในฐานะนักศึกษา”
ใบหน้าของซือคุนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขารู้สึกอึดอัดอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีทางที่เขาจะยอมก้มหัวให้ซูอันอย่างสุภาพในฐานะนักศึกษาต่อหน้าคนจำนวนมากได้ แน่นอนว่าหากทำเช่นนั้นชื่อเสียงของเขาต้องป่นปี้!
เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกอยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อพูดแทนนายน้อยของนางเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดีนางรู้สึกผิดที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้านายเก่าของนางอีกครั้ง ดังนั้นนางจึงได้แต่ยืนนิ่งอย่างไร้คำพูด…
โชคดีสำหรับซือคุนที่ซ่างหงได้ยื่นความช่วยเหลือมาให้เขาทันเวลา “ซูอันอยู่ในตำแหน่งจำเลยแล้ว จนกว่าเขาจะล้างข้อกล่าวหาของเขาได้ในที่สุด เราไม่ควรมองว่าเขายังคงเป็นอาจารย์ของสถาบันจันทร์กระจ่าง ข้าเชื่อว่าเราสามารถข้ามพิธีการไปก่อน สำหรับนายน้อยซือไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เขาจะดูกระบวนการพิจารณาคดีโดยไม่มีตำแหน่งทางการรองรับตัวเขาเอง ฉะนั้นข้าขอเชิญให้ท่านไปยืนรอผลตัดสินอยู่หน้าประตูทางเข้าแทน!”
ซ่างหงเอ่ยออกมาเองว่าเขาจะวางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด ดังนั้นจึงไม่มีใครโต้แย้งเกี่ยวกับคำพูดของเขาในประโยคนี้
แต่กระนั้นซือคุนที่คิดว่าตัวเองจะสามารถนั่งดูการพิจารณาคดีในแถวหน้าได้อย่างสบายใจเฉิบ กลับถูกจัดให้อยู่หน้าทางเข้าแบบเดียวกับฝูงชนทั่วไปเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกทั้งอับอายและไม่พอใจ
เพื่อให้ซือคุนไม่อึดอัด ซือเล่อจื่อจึงได้แอบปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังของเขาเองเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ซือคุน ทำให้นายน้อยของเขามีความเป็นส่วนตัวบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นซือคุนก็ยังคงเดือดดาล
ซูอัน!!! เจ้าดีใจไปก่อนเถอะ ก่อนที่จะหัวเราะไม่ออกในภายหลัง!
ท่านยั่วยุซือคุนสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธ +444!
“ทุกคนจงเงียบ!” เมื่อเห็นว่าฉู่จงเทียนและซ่างหงนั่งลงในตำแหน่งของพวกเขาเซี่ยอี้เริ่มต้นด้วยการปรามฝูงชนก่อนที่จะตบโต๊ะและพูดว่า “ซูอัน เจ้าจะสารภาพผิดหรือไม่”
ซูอันยักไหล่อย่างสบาย ๆ ขณะที่เขาตอบว่า “ข้ามีความผิดอะไร?”
หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวหรูหราชี้นิ้วไปที่ซูอันและตะโกนว่า “ซูอัน ไอ้เจ้าคนสารเลว! เจ้าเอาชนะสามีของข้าในสถาบันจันทร์กระจ่างได้แล้วแต่เจ้าก็ยังไม่พอใจและลอบสังหารเขาอย่างโหดเหี้ยม! เจ้าต้องชดใช้ให้กับชีวิตอันน่าสงสารของเขาและความเสียใจของข้า!”
หญิงวัยกลางคนยังคงโวยวายอย่างน่าสงสาร แต่ปฏิกิริยาของนางไม่ได้ทำให้ซูอันรู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เขาถามอย่างใจเย็นว่า “การตายของหยางเว่ยเกี่ยวกับข้ายังไง?”
เซี่ยอี้ไอค่อกแค่กเบา ๆ และพูดว่า “ใต้เท้าหยางทิ้งข้อความก่อนตายซึ่งชี้ให้เห็นว่าเจ้านั่นเองที่เป็นฆาตกร!”
“ข้อความก่อนตาย?” ซูอันขมวดคิ้ว
จากนั้นรองผู้พิพากษาผางชุนได้ก้าวเข้ามาเพื่ออธิบายรายละเอียด
“ผู้ตายหยางเว่ย เขียนคำว่า ‘ซู’ ทิ้งไว้ก่อนที่เขาจะจากไป เจ้าไม่เพียงแต่มีความขัดแย้งกับเขาในสถาบันจันทร์กระจ่างเมื่อสองวันก่อนเท่านั้น แต่ยังไม่มีใครใช้แซ่ ‘ซู’ ในเมืองจันทร์กระจ่างอีกด้วย ดังนั้นบุคคลที่ข้อความสุดท้ายของเขาหมายถึงย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้า”
แม้แต่ฉู่จงเทียนเองก็สับสนกับข้อความก่อนตายของหยางเว่ย แต่ซูอัน กลับยังสามารถบังคับตัวเองให้สงบนิ่ง ช่วงเวลาเช่นนี้เขาจะตื่นตระหนกไม่ได้ เขาเคยดูละครที่โจทก์เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ‘ข้าถูกใส่ร้าย!’ และ ‘ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์!’ มามาก และแน่นอนว่าการทำเช่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ซูอันไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “การฆาตกรรมย่อมประกอบไปด้วยแรงจูงใจ แต่ข้าไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าหยางเว่ย”
“ไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ? เจ้ามีเรื่องขัดแย้งกับหยางเว่ยในสถาบันจันทร์กระจ่าง มีคนเป็นร้อยที่สามารถเป็นพยานเรื่องนี้ได้! เจ้าคงแค้นมากเลยลอบสังหารสามีของข้า ไอ้คนชั่ว!” ภรรยาของหยางเว่ยตะโกนใส่ซูอัน ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“ข้าทะเลาะกับหยางเว่ยก็จริง แต่มันก็เป็นแค่การทะเลาะเบาะแว้งเกี่ยวกับเลขคณิตซึ่งข้าชนะเขาไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ใหญ่เจียงก็ได้แต่งตั้งข้าเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ชั่วคราวแทนเขาแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องไปแค้นเขาเลย”
“ตรงกันข้ามหยางเว่ยได้รับความอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย และถูกไล่ออกจากสถาบันจันทร์กระจ่าง ข้าจะเป็นฝ่ายเคืองแค้นได้อย่างไร คงมีแต่หยางเว่ยเท่านั้นแหละที่จะแค้นเคืองข้าจริงไหม? ตรงกันข้ามเลยว่าหยางเว่ยนี่แหละน่าจะพยายามเอาชีวิตข้าซะมากกว่า” ซูอันตอบกลับ
เซี่ยอี้และผางชุนมองหน้ากันและพยักหน้าเห็นด้วย มันไม่มีเหตุผลเลยที่ซูอันจะเกิดแรงจูงใจในการสังหารหยางเว่ย
ฉู่จงเทียนมองซูอันด้วยความประหลาดใจ…
ตลอดมา เขาเคยคิดว่าลูกเขยของตัวเองเป็นคนไม่เอาไหน และปากของซูอันสามารถพ่นอะไรก็ได้ที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขาอย่างไม่มีแก่นสาร อันที่จริงแล้วหลังจากการประลองระหว่างสองตระกูล แม้ว่าซูอัน จะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่ความประทับใจของเขาที่มีต่อซูอันก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่นักเพราะอย่างไรเสีย…ซูอันก็เป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะระดับที่สาม ซึ่งถือเป็นระดับปกติธรรมดาในตระกูลฉู่
แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นความสามารถของซูอันในการวิเคราะห์รากเหง้าของปัญหา เขากลับรู้สึกประทับใจขึ้นมาจริง ๆ เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าบางทีเขาและภรรยาอาจทำผิดต่อซูอันมาโดยตลอด
ในเวลานี้เองที่เหมยเชาฟงซึ่งเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ จากด้านข้างก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวว่า “ถึงเจ้าจะพูดเช่นนี้ แต่ในการประลองเมื่อวานนี้ เราทุกคนก็ได้เห็นความพยาบาทของเจ้าที่มีต่อหยวนเหวินจี้ เจ้าฟันแขนเขาจนเขาพิการเพียงเพราะหยวนเหวินจี้พลาดทำร้ายคุณหนูรองตระกูลฉู่ จากสิ่งที่เจ้าทำกับหยวนเหวินจี้อย่างโหดร้ายมันย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนที่มีความพยาบาทมาดร้ายสูง ซึ่งน่าจะเป็นเหตุให้เกิดแรงจูงใจในการล้างแค้นกับหยางเว่ยได้”
เนื่องจากซือคุนถูกสั่งให้รออยู่ด้านนอก เหมยเชาฟงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเป็นคนพูดแทน ซึ่งสิ่งที่เขาพูดนั้นสอดคล้องและเป็นประโยชน์กับฝ่ายภรรยาของหยางเว่ย นางจึงเอ่ยสนับสนุนขึ้นทันที
“ถูกต้อง! มันเป็นอย่างนั้นแหละ! ใต้เท้าเซี่ย ใต้เท้าผาง โปรดชดเชยความสูญเสียของครอบครัวข้าด้วย! สามีของข้าเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจยิ่งนัก!”
เซี่ยอี้และผางชุนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างไร ฝ่ายซ่างหงเองก็เข้าร่วมบทสนทนานี้ด้วยเช่นกัน “ซูอัน เจ้าจะอธิบายเรื่องข้อความก่อนตายที่ใต้เท้าหยางทิ้งไว้ว่าอย่างไร?”
“ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าใต้เท้าหยางเป็นคนทิ้งข้อความนั่นไว้? ลองคิดดูสิ ถ้าข้าเป็นฆาตกร ข้าจะยอมให้เหยื่อเขียนชื่อของข้าทิ้งไว้ไหม?” ซูอัน ตอบกลับ
ซ่างหงยิ้มโดยไม่พูดอะไร มันไม่ใช่หน้าที่เขาที่จะลงมือสอบสวนซูอัน ด้วยตัวเอง เขาแค่ถามในสิ่งที่เขาสงสัยเท่านั้น…
ผางชุนพูดขึ้นทันที “ในตอนที่เราพบศพ มือของใต้เท้าหยางได้ปิดบังข้อความนั้นไว้ ดังนั้นฆาตกรจึงไม่เห็นและไม่ได้ทำลายข้อความก่อนตายของใต้เท้าหยางลง”
ซูอันระเบิดเสียงหัวเราะ “เอาเข้าจริง ๆ ฆาตกรคนไหนที่จะทำตัวประมาทถึงขนาดปล่อยเหยื่อที่กำลังจะตายให้ทิ้งชื่อของตัวเองไว้ในที่เกิดเหตุโดยที่ไม่ทันสังเกต? มันสมเหตุสมผลงั้นเหรอ?”
เสียงของฝูงชนที่เริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเองดังขึ้นเซ็งแซ่
“เงียบ!” เซี่ยอี้ทุบโต๊ะ “ซูอัน สิ่งที่เจ้าพูดนั้นสมเหตุสมผล แต่หลักฐานทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าเจ้าคือฆาตกรโดยไม่ต้องสงสัย หากเราไม่พบหลักฐานอื่น ข้าเกรงว่าคงเป็นการยากที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้า!”
“ข้าขอถามว่าหยางเว่ยตายเมื่อไหร่?” ฉู่จงเทียน ถามขึ้น
“ท่านอ๋องฉู่ ตามรายงานการชันสูตรศพ เขาเสียชีวิตเมื่อคืนนี้ ระหว่างชั่วโมงจื่อถึงชั่วโมงโจว”[1]
“ไม่มีทางที่ฆาตกรจะเป็นอาซู เมื่อคืนนี้เขาพักผ่อนอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ทั้งคืน หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นบ่อยครั้ง ข้าจึงได้จัดทหารยามหลายคนคอยเฝ้าเขาตลอดเวลา ไม่มีทางที่เขาจะแอบออกไปจากคฤหาสน์ได้สำเร็จโดยที่ข้าไม่รู้แน่นอน!”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เซี่ยอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก การที่ซูอันมีข้อแก้ตัว ย่อมทำให้เรื่องง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เซี่ยอี้กำลังจะตัดสินใจก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น…
“ถ้าข้าจำไม่ผิด คำให้การของญาติของโจทก์สามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้…ข้าพูดถูกไหม?” ซือคุนที่อยู่ด้านนอกตะโกนขึ้น
คำพูดของ ซือคุน ทำให้เซี่ยอี้ขมวดคิ้ว มีกฎดังกล่าวอยู่จริง เพื่อป้องกันการช่วยเหลือกันของสมาชิกในครอบครัว
ฉู่จงเทียนหันไปหาซือคุน “เจ้าจะบอกว่าข้าพูดโกหกงั้นเหรอ!?” เขาพูดอย่างเย็นชา
“ขออภัยท่านอ๋องฉู่ ข้าไม่ได้สงสัยคำพูดท่าน แต่ถ้าดูจากจำนวนคนในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ไม่มีทางที่ท่านจะรู้ที่อยู่ของทุกคนได้ ในส่วนของ ซูอัน เราก็ได้เห็นกันแล้วในการประลองเมื่อวานว่าเขามีทักษะการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดเอาชนะคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับห้าได้ ดังนั้นการที่เขาที่จะหลบเลี่ยงทหารยามย่อมไม่ใช่เรื่องยาก หากเขาตั้งใจจะแอบออกคฤหาสน์ตระกูลฉู่จริงๆ”
ฉู่จงเทียนอ้าปากเพื่อโต้กลับ แต่ไม่มีคำพูดใดเล็ดรอดออกมา ข้อโต้แย้งของซือคุนนั้นสมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์ ทำให้ฉู่จงเทียนไม่สามารถตอบโต้ได้ ฝูงชนต่างหันไปมองซูอันอย่างสงสัยทันที…
ชั่วโมงจื่อคือช่วงเวลา 23.00-01.00 น. ชั่วโมงโจวคือ 01.00-03.00 น.