บทที่ 81 เจ้าเป็นภรรยาของข้า

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 81 เจ้าเป็นภรรยาของข้า
“อืม” สวีฉางหลินพูดตอบอย่างไม่ใส่ใจ สำหรับเขาไม่ว่าจะใส่อะไรก็เหมือนกัน

รู้นิสัยของเขาอยู่แล้ว โจวกุ้ยหลานก็ไม่คิดอะไรมาก พูดต่อไปอีกว่า “วันมะรืนนี้พี่ชายของข้าก็จะไปดูตัวที่หมู่บ้านอื่นแล้ว เสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วดูดีไม่มีสักตัว ข้าเห็นว่าตอนนี้บ้านเราก็มีเงินแล้ว เอาเสื้อผ้าชุดนั้นให้เขาไปก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปซื้อชุดใหม่“

“ดี” สวีฉางหลินพูดตอบ

โจวกุ้ยหลานทำงานในมือของตนต่อไป พร้อมพูดปรึกษากับเขาว่า “พี่ชายของข้าจะแต่งงานแล้ว ต้องการเงินหลายตำลึง แม่ของข้าไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น จึงมาขอยืมจากข้าเพื่อนำไปหมุนใช้จ่าย ข้าบอกว่าขอมาปรึกษากับเจ้าก่อน

พูดเสร็จ สายตาโจวกุ้ยหลานก็หันมองไปที่ใบหน้าสวีฉางหลิน

ยุคสมัยนี้ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว เป็นเหมือนอย่างน้ำที่ราดออกไปแล้ว ต้องให้ความสำคัญบ้านของตนเองเป็นหลัก หากคิดแต่จะคอยช่วยบ้านแม่ บ้านสามีจะไม่พอใจ โดยเฉพาะสามีจะยิ่งไม่พอใจ

สวีฉางหลินลุกขึ้นมา มองดูโจวกุ้ยหลานที่กำลังหั่นหัวไชเท้าอยู่ พร้อมถามขึ้นว่า “ต้องการเท่าไหร่?

ดูสิดูสิ ไม่พอใจขึ้นมาแล้ว

โจวกุ้ยหลานเม้นริมฝีปาก แต่คิดดูแล้วก็พอเข้าใจ ยังไงก็เป็นแม่ของนาง ไม่ใช่แม่ของเขา

เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจนางก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว

“ข้าว่าเราเตรียมไว้สักห้าตำลึงไหม ถึงตอนนั้นไปถึง บ้านฝ่ายหญิงเรียกร้องข้าสินสอดแล้วกลัวไม่พอ”

น้ำเสียงโจวกุ้ยหลานแฝงไปด้วยการปรึกษา เวลาแบบนี้นางจะแข็งกร้าวไม่ได้

“งั้นเตรียมสิบตำลึงไหม”สวีฉางหลินพูดพร้อมยกฝีเท้า ไปยังอีกด้าน ยกถังหัวไชเท้าที่หั่นเสร็จแล้วนั้นมา

โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจว่า “เจ้าไม่โกรธข้าหรือ?”

สวีฉางหลินยกถังไม้นั่นไปยังโถข้างผนัง จากนั้นก็เดินไปเอาถังเปล่ามาอันหนึ่ง

“จะโกรธเจ้าทำไม?”

ในขณะที่พูด ถังก็ถูกยกมาวางไว้ข้างมือโจวกุ้ยหลานแล้ว

“โกรธที่ข้าคอยช่วยเหลือบ้านแม่ไง”ยังไงโจวกุ้ยหลานก็อยากลองหยั่งเชิงดู

“แม่ของเจ้าเลี้ยงเจ้ามาจนโต เรามีกำลังแล้วจะช่วยนางไม่ได้หรือ?”ตอนที่สวีฉางหลินพูด ยังหันมามองดูโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานมองพิจารณาดูท่าทีของเขา พบว่าแววตาของเขาไม่มีความลังเลและปากไม่ตรงใจเลยแม้แต่น้อย

นี่เป็นคำพูดจากใจของเขา?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจโจวกุ้ยหลานมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น

“งั้นถ้าข้าพูดว่า ต่อไปข้ายังอยากช่วยแม่กับพี่ชายของข้าให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นล่ะ?”

หลังจากพูดออกมาเช่นนี้แล้ว โจวกุ้ยหลานค่อยรู้ตัวว่าตนเองหนั่งเชิงสวีฉางหลินอีกแล้ว

แต่ว่านางก็รู้ดี ยังไงก็จะต้องมีวันนี้ ตอนนี้บ้านของพวกนางมีเงินแล้ว ต่อไปนางยังจะคิดที่จะหาวิธีมีเงินมากยิ่งกว่านี้ แบบนั้นแล้วนางก็จะไม่มีทางมองดูโจวเหล่าไท่ไท่กับโจวต้าไห่มีชีวิตอยู่อย่างลำบากไปตลอด

ต่อให้เหล่าไท่ไท่เป็นแม่ของเจ้าของเดิม แต่เริ่มจากที่นางข้ามภพมาแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็ให้ความอบอุ่นแก่นางอย่างที่สุดเท่าที่ทำได้ นางเห็นเหล่าไท่ไท่เป็นแม่ของตนเองแต่แรกแล้ว

สวีฉางหลินเงียบไป มองดูแววตาสงบนิ่งของโจวกุ้ยหลาน ในใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา ราวกับคำถามประโยคนี้ของนางแฝงไปด้วยความคิดมากมาย

เขายื่นมือไปวางบนหัวของนาง พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าไม่มีแม่แล้ว ต่อไปแม่ของเจ้าก็คือแม่ของข้า เราช่วยกันดูแล”

คำพูดประโยคนี้ ทำให้ในใจโจวกุ้ยหลานเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ราวกับจะแผดเผาหัวใจของนาง

นางถามต่อไปอีกว่า “งั้นต่อไปเรามีอะไรแม่ของข้าก็จะมีแบบนั้น?”

“ไม่ ควรที่จะกตัญญูนางก่อน”สวีฉางหลินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีความลังเลเลยสักนิด

โจวกุ้ยหลานรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มภายในใจของตนยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น นางถือมีดหั่นผักแล้วก็พรวดลุกขึ้นมา มองคนตรงหน้าฉันทั้งน้ำตา

ในภพก่อน นางมีอายุจนถึงยี่สิบห้าก็ยังไม่เคยมีความรัก อยากที่จะหาผู้ชายที่มีความคิดอุดมคติเหมือนตนเอง แต่ตอนนี้ นางกลับหาเจอในราชวงศ์ยุคสมัยที่ไม่รู้จักนี้แล้ว

ความคิดอุดมคติของคนคนนี้อาจไม่เหมือนกับนาง แต่ก็ยอมที่จะทำตามนาง ตามใจนาง กระทั่งให้เกียรตินาง ต่อให้ความคิดหลายอย่างของนางเป็นเหมือนอย่างจินตนาการในยุคนี้ แต่ผู้ชายคนนี้ก็ล้วนเข้าใจนาง กระทั่งไม่สงสัยนางเลยสักนิด

ผู้ชายคนนี้ก็คือผู้ชายที่นางต้องการตามหา

ยิ่งคิดอารมณ์ความรู้สึกก็ยิ่งตื่นเต้นรุนแรง โจวกุ้ยหลานถือมีดหั่นผักไว้แล้วก็กระโจนไปหาสวีฉางหลิน

สวีฉางหลินตกใจ รีบหลบมีดของนาง แต่เห็นภรรยาของตนเองจะหกล้มแล้ว ก็รีบยื่นมือไปประคองภรรยาของตนเองไว้ แล้วนางก็ล้มลงแนบอกของเขา

นี่ภรรยาของเขาเป็นอะไร? หรือว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไรผิดไป ภรรยาก็เลยจะฆ่าเขา?

เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจของเขาก็ยิ่งกระวนกระวาย

“สวีฉางหลิน คืนนี้เราเข้าห้องหอกัน”โจวกุ้ยหลานพูดกระซิบข้างหูสวีฉางหลินเบาๆ

ไอร้อนรดข้างหูสวีฉางหลิน จนใบหูของเขาแดงไปหมด จักจี้ กระทั่งจักจี้ไปถึงภายในใจ

สวีฉางหลินกำมือแน่น โอบกอดโจวกุ้ยหลานแน่นยิ่งขึ้น นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ ภรรยาของเขายอมตกลงที่จะเข้าห้องหอกับเขาแล้ว

“ได้”

สวีฉางหลินตอบตกลงเสียงดัง มือก็ออกแรงเพิ่มไม่น้อย

โจวกุ้ยหลานก็หน้าแดง เมื่อกี้ตื่นเต้นเกิดไป นางถึงขั้นพูดจาแบบนี้ออกมา แต่เป็นคนในศตวรรษที่ 21 มีอะไรที่ไม่รู้บ้าง ยังไงก็เป็นเรื่องที่ต้องทำในไม่ช้าก็เร็ว ทำกันเสียตั้งแต่แรกก็ดี

“พ่อ แม่ เสี่ยวเทียนก็กอดด้วย…..” เสียงน่ารักเสียงหนึ่งขัดจังหวะความรู้สึกของทั้งสองคน

จากนั้น ทั้งสองคนก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าของตนเองถูกดึงอยู่หลายที

พวกเขาก้มมองดูพร้อมกัน แล้วก็เห็นเจ้าก้อนน้อย กำลังจ้องมองดูพวกเขาสองคนอย่างตาแป๋ว

สวีฉางหลินกัดฟันพูดขึ้นว่า “ข้ากอดภรรยาของข้า เจ้ามีความสามารถก็ไปกอดภรรยาของตนเอง”

เจ้าก้อนน้อยกัดริมฝีปาก พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าอยากกอดแม่ของข้า พ่อมีแม่ไหม?”

“ฮ่าๆ”โจวกุ้ยหลานหัวเราะจนน้ำตาไหล

โอ้ พระเจ้า สองพ่อลูกนี้น่าขำมากเลย

สีหน้าสวีฉางหลินยิ่งมืดครึ้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ไปเล่นที่อื่นไป”

“ข้าจะให้แม่ของข้าอุ้ม”เจ้าก้อนน้อยก็ไม่รู้ว่าไปเอาความดื้อมาจากไหน ไม่อ่อนโยนเหมือนอย่างที่ผ่านมาแบบนั้น ตอนนี้ดูแข็งกร้าวอย่างมาก

“ได้ๆ แม่อุ้ม”โจวกุ้ยหลานขำเจ้าก้อนน้อยมาก พูดตอบแล้วจะปล่อยสวีฉางหลินไปอุ้มเจ้าก้อนน้อย

เสียดาย นางประมาทแรงของผู้ชายคนนี้เกินไป นางผลักอยู่หลายที แต่ก็ไม่สามารถผลักสวีฉางหลินออกไปได้

โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นอย่างหน้าแดงว่า “เจ้าปล่อยข้า”

ผู้ชายคนนั้นออกแรงเพิ่มขึ้นหลายเท่า พร้อมพูดกับโจวกุ้ยหลานอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าเป็นภรรยาของข้า”

พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าก้อนน้อยไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง

โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไร้เดียงสาอย่างน่ารักมากจริงๆ แต่เวลานี้ก็ทำได้เพียงพูดปลอบ จึงพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ เขายังเด็กไง กลางคืนเรายังมีเวลา….”

คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นเสียงเล็กน้อยมาก พูดให้สวีฉางหลินได้ยินเพียงคนเดียว คราวนี้สวีฉางหลินฟังรู้เรื่องแล้ว

มองดูเจ้าก้อนน้อยที่กำลังมองดูเขา แล้วก็ปล่อยภรรยาของตนอย่างไม่เต็มใจ พร้อมกับเอามีดหั่นผักในมือของภรรยาตนเองไปด้วย

โจวกุ้ยหลานได้เป็นอิสระแล้ว ก็รีบก้มตัวลง ยื่นมือไปอุ้มเจ้าก้อนน้อยขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นอย่างดีใจว่า “เสี่ยวเทียนไปทำกับข้าวกับแม่ดีไหม?”