ตอนที่ 196 ไม่ใช่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่โง่ไปหน่อย

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 196 ไม่ใช่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่โง่ไปหน่อย

เยว่ซินเงยหน้ามองอย่างระมัดระวัง จึงสังเกตเห็นว่าคนที่ยืนขวางเพื่อจัดการกับนักฆ่าอยู่ตรงหน้าตนเองคือโม่เสียน

น้ำตาของนางพลันไหลออกมา “ท่าน…ท่านโม่ ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ? ดีมากเลย ดีมากเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าตกใจแทบแย่”

“…” โม่เสียนแอบกลั้นความขบขันทางสีหน้าไม่ไหว จึงยกมือลูบศีรษะของนางอย่างเงียบ ๆ สาวใช้ข้างกายของแม่นางอวี้เหตุใดถึงได้มีความกล้าหาญน้อยนิดถึงเพียงนี้?

อวี้ชิงลั่วผลักเยว่ซินให้ย้ายไปยืนข้าง ๆ โม่เสียน เพื่อให้เขาพาสาวใช้คนนั้นไปยืนข้าง ๆ ส่วนตนเองก้าวไปด้านหน้าสองก้าว มองนักฆ่าเหล่านั้นที่ยืนหน้าถอดสี กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ตอนนี้ ยังอยากจะฆ่าข้าอยู่หรือไม่?”

“เจ้า…” หัวหน้านักฆ่าถอยหลังออกไปสองก้าว มองผู้พิทักษ์ที่จู่ ๆ ก็โผล่ออกมาราวกับคาดไม่ถึง เหงื่อเย็นผุดออกมา

พวกเขาออกมาจากที่ใดกัน? ออกมาตั้งแต่เมื่อใด? ไหนจะคนคนนั้นที่เพิ่งลงมือเมื่อครู่ แค่ฝ่ามือเดียวกลับทำให้ผู้มีฝีมือระดับสูงของพวกเขาได้รับบาดเจ็บได้แล้ว ในบรรดาพวกเขา คนหนึ่งแขนขาด คนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ อีกคนหมดสติไปแล้ว ตอนนี้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่ยังมีพละกำลัง ทว่าคนเหล่านี้มีมากขนาดนี้ เขาจะสู้กับคนเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?

หัวหน้านักฆ่าประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว คิดอยากหาโอกาสเพื่อหนีไปแต่นั่นก็เท่ากับว่าทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่ถ้าอยู่ที่นี่ต่อไป เขากลับไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย

อวี้ชิงลั่วยกมือขึ้นมากอดอก มองดูอีกฝ่ายที่ถอยหลังไม่หยุดด้วยรอยยิ้ม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจู่ ๆ ก็ยกมือขึ้น พร้อมตะโกน “นี่ เจ้าไม่ต้องถอยแล้ว มิเช่นนั้นคงทำให้ตายเร็วยิ่งขึ้น”

หัวหน้านักฆ่าคนนั้นถึงกับชะงักและหันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมเย็นเข้าปากทันใด นักฆ่าอีกสองคนที่ได้รับบาดเจ็บก็หันมองตามสายตาของอีกฝ่าย พวกเขาถึงกับจมอยู่กับความสิ้นหวัง

“ท่าน…ท่านอ๋องซิว เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่?” หัวหน้านักฆ่าถึงกับขาอ่อนยวบ จนเกือบยืนไม่อยู่

สายตาของเย่ซิวตู๋ช่างเย็นชา มีพลังกดขี่ผู้คน แค่ช้อนสายตาเพียงเล็กน้อย คนเหล่านั้นก็ถึงกับกลั้นหายใจแล้ว

ทว่าเขากลับไม่แม้แต่จะมองคนเหล่านั้น เอ่ยปากพูดกับโม่เสียนว่า “ฆ่าทิ้งอย่าให้เหลือ”

“ขอรับ” โม่เสียนพยักหน้า แรงสังหารแผ่กระจายทั่วร่างกาย ผู้พิทักษ์ทมิฬที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังอวี้ชิงลั่วรีบเข้าไปห้อมล้อมนักฆ่าที่สูญเสียพลังการต่อสู้อย่างรวดเร็ว วินาทีที่ยกมือวาดคมดาบ เลือดสีแดงสดพลันสาดกระจายไปทั่วพื้น

เยว่ซินยกมือขึ้นมาปิดปากสุดชีวิต ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบจนลงไปนั่งเหม่อลอยอยู่บนพื้น

อวี้ชิงลั่วอยากจะเข้าไปประคองนาง ทว่าบนเอวของนางกลับมีมือสองข้างเพิ่มเข้ามา ดวงตาก็ถูกปิดลง ข้างหูของนางมีเสียงของเย่ซิวตู๋ที่ฟังดูนุ่มนวลแตกต่างจากน้ำเสียงเย็นชาแข็งกระด้างเมื่อครู่ “เหม็นกลิ่นคาวเลือดเกินไปแล้ว ไม่มีอะไรน่าดู ไปเถอะ ขึ้นรถ”

สิ้นสุดเสียงของเขา ภายในป่าก็มีรถม้าอีกหนึ่งคันขับออกมา เย่ซิวตู๋โอบเอวของนางและลอยตัวขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะย้ายมายืนข้าง ๆ รถม้า

เหวินเทียนแหวกม่านรถกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “แม่นางอวี้ คงไม่ได้ตกใจใช่หรือไม่”

“แม่นางอวี้ตกใจที่ไหนกัน คนที่ตกใจจนเกือบตายคือนางต่างหากล่ะ” โม่เสียนเดินตามมาจากทางด้านหลัง มือของเขาประคองเยว่ซินที่ตอนนี้ยืนไม่ไหวแล้ว จากนั้นจึงโยนนางไปข้าง ๆ ประตูรถม้า อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ไม่กล้ามองก็ปิดตาซะ ดูเจ้าสิตกใจจนอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว”

เยว่ซินร่างสั่นเทา พูดจาติด ๆ ขัด ๆ “ท่าน…ท่าน…ท่านไม่…ท่านไม่ได้บอกข้า…ข้า…ข้าจะกลับ…น่ากลัว…น่ากลัวเหลือเกิน…”

โม่เสียนสั่งให้เหวินเทียนลงไป ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งรถม้า จากนั้นก็ให้เยว่ซิวนั่งให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ตกลงไปด้านล่าง ก่อนจะฟาดแส้ลงพร้อมกับรถม้าที่มุ่งหน้าออกเดินทางต่อ

เหวินเทียนมองเงาของรถม้า ขบฟันอยู่ครึ่งค่อนวันแต่กลับพูดอะไรไม่ออก โม่เสียนเจ้าคนชั่วร้าย นี่เจ้าทิ้งงานเก็บกวาดนี้ไว้ให้ข้าจัดการต่อสินะ?

รถม้าเพิ่งเคลื่อนออกไปได้ 2-3 หมี่ เสียงขรึมอันเป็นเอกลักษณ์ของเย่ซิวตู๋ก็ดังออกมาจากด้านในรถจริง ๆ “เหวินเทียน ส่งอวี๋จั้วหลินกลับไป ไร้ประโยชน์จริง ๆ”

อวี้ชิงลั่วเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าจิบน้ำชาเงียบ ๆ ไม่ได้พูดสิ่งใด

ทว่าภายในใจกลับเริ่มสบถอย่างเงียบ ๆ ท่านคิดว่าทุกคนจะมองการณ์ไกลและรู้ว่าต้องจัดเตรียมคนมารออยู่ในป่าเพื่อปรากฏตัวให้ทันเวลาเหมือนกับท่านหรือ? ไม่ใช่ว่าอวี๋จั้วหลินไร้ประโยชน์ เพียงแต่เขา…โง่ไปหน่อยก็เท่านั้น

โม่เสียนยกแส้ขึ้น หันหน้ามองเยว่ซินที่ค่อย ๆ กลับมาสงบลง จึงเพิ่มความเร็วให้เร็วยิ่งขึ้น

“ท่านอ๋อง แม่นางอวี้จับให้มั่นนะขอรับ ตอนนี้เวลาของพวกเราค่อนข้างกระชั้นชิดแล้ว จากที่นี่เดินทางไปถึงโรงเตี๊ยมเยว่หมิงน่าจะใช้เวลาสองเค่อ ต้องเร่งสักหน่อย”

ภายในรถเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีเสียงเย่ซิวตู๋ดังออกมา “กลับตำหนักอ๋องก่อน”

“หา? กลับตำหนักอ๋อง?” โม่เสียนไม่เข้าใจ ความเร็วก็ช้าลงด้วย

เย่ซิวตู๋ตอบ ‘อืม’ เสียงเบา และกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติว่า “เสื้อผ้าของนางสกปรกไม่น้อยแล้ว กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยมาใหม่”

อวี้ชิงลั่วชะงัก ก้มหน้ามองตัวเอง เป็นเช่นนี้จริง ๆ เมื่อครู่ตอนที่นางดึงเยว่ซินและกลิ้งไปกับพื้น เสื้อผ้าของนางไม่เพียงแต่มีคราบสกปรก แต่ยังเปื้อนเลือดด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเลือดของใคร หากปรากฏตัวภายในโรงเตี๊ยมด้วยสภาพเช่นนี้ คง…ทำลายภาพลักษณ์จริง ๆ

โม่เสียนหันกลับมามองเยว่ซินอย่างเงียบ ๆ เอ่อ…ดูเหมือนว่าเยว่ซินจะสะบักสะบอมยิ่งกว่า เสื้อผ้าบนร่างกายไม่เพียงแต่ขาดวิ่น ผมที่เกล้ามวยประดับด้วยปิ่นปักผมก็ยุ่งเหยิงจนหมดสภาพแล้ว

เอาเถอะ เปลี่ยนเสื้อผ้าก็เปลี่ยนเสื้อผ้า กลับตำหนักอ๋องก่อนก็แล้วกัน

โม่เสียนดึงบังเหียนม้าแน่น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางม้าเพื่อมุ่งหน้ากลับตำหนักอ๋อง

เหวินเทียนที่ถูกทิ้งไว้ให้เก็บกวาดหน้างานกลับทุกข์ใจ สมองของโม่เสียนผู้นี้คงมีปัญหากระมัง?

เขาบอกว่าจะไปช่วยแม่นางอวี้ อีกฝ่ายกลับยื่นบังเหียนม้ามาไว้ที่มือของเขาบอกว่าจะไปเอง ก็ได้ เขาเข้าใจดีว่าโม่เสียนคงอยากแสดงทักษะของตนเองต่อหน้านายท่าน เช่นนั้นเขายอมเป็นคนขับรถม้าอย่างว่าง่ายก็สิ้นเรื่องแล้ว

ทว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรเล่า? ตอนที่กลับมาก็ไล่เขาลงจากรถม้า ทั้งยังแย่งบังเหียนม้ากลับไป เจ้าสารเลวนี่ ต่อให้คิดจะแสดงความสามารถต่อหน้านายท่านให้มาก ๆ แต่ก็ไม่ต้องทำตัวให้น่ารังเกียจถึงขั้นนี้ก็ได้?

การแก้ปัญหาในช่วงหลัง ไม่เพียงแต่ต้องเก็บกวาดศพคนเหล่านี้ แต่ยังต้องพาผีน่ารังเกียจอวี๋จั้วหลินนั่นกลับไปอีก

เจ้านั่นเป็นศัตรูของแม่นางอวี้ผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขา เขาไม่คิดแม้แต่จะแตะต้องตัวคนคนนั้นด้วยซ้ำ

เหวินเทียนแอบพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะพูดกับผู้อารักขาคนอื่น ๆ “พวกเจ้ารีบลงมือ แล้วก็นั่นใครน่ะ…เจ้าโยนอวี๋จั้วหลินขึ้นหลังม้า จำไว้ว่าอย่าทำให้เจ้านั่นทรมานจนตายก็พอ”

“ขอรับ” ผู้อารักขาคนอื่น ๆ กลับทำตามคำสั่งอย่าว่าง่าย การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างรวดเร็วและชำนาญ หลังจากประคองอวี๋จั้วหลินขึ้นมา จากนั้นก็…โยนขึ้นไปด้านบนหลังม้าจริง ๆ ก่อนจะตบก้นม้าเพื่อเดินไปด้านหน้าทีละก้าว

เรื่องการแก้ปัญหาในช่วงหลังถูกจัดการจนเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว ฉากการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่นอกจากทิ้งคราบเลือดไว้สองสามจุดแล้ว ทั้งผู้คนและสิ่งของก็หายไปจนหมด

เหวินเทียนมองคราบเลือดเหล่านั้น ครั้นนึกถึงเรื่องที่ท่านอ๋องสั่งไว้ ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องจัดการ ถูกต้องหรือไม่?

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็เลิกงานได้แล้ว

เหวินเทียนโบกมือเพื่อให้ทุกคนเริ่มแยกย้าย

หลังจากพวกเขาออกไปจากที่นี่ได้ไม่นาน รถม้าของเย่ฮ่าวหรานก็มุ่งหน้าเข้ามาทางนี้

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ท่านอ๋องนี่รู้ทันทุกอย่างเลยนะคะ มาช่วยก็มาทันเวลาพอดีอีกต่างหาก

เก็บกวาดกันเร็วมากสมกับมืออาชีพจริงๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)