ตอนที่ 276 โกลาหล เค้าเงื่อนในเรื่องแปลกประหลาด (3)
ฟังบทสนทนาของบุรุษทั้งสองคน ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว แต่ด้านนอกกลับเงียบสงบ ไม่มีแววการจับชู้สาว มั่วเชียนเสวี่ยพอจะคาดเดาได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนที่นางคิด
ซูซูบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า ที่แห่งนี้คือสวนดอกท้อ มีเพียงสตรีเท่านั้น ไม่เคยมีชายใดเข้ามาก่อน คาดว่า องค์หญิงอวี้เหอเพียงอยากให้นางเสียพรหมจรรย์ ไม่ได้อยากมาจับชู้สาว
เจ้าภาพงานเลี้ยงดอกท้อในครั้งนี้คือองค์หญิงอวี้เหอ หากมีเรื่องชู้สาว ในงานเลี้ยงดอกท้อที่ตนเป็นเจ้าภาพ เช่นนั้นชื่อเสียงขององค์หญิงอวี้เหอย่อมเสียหาย ชื่อเสียงของบรรดาสตรีชั้นสูงก็ล้วนเสียหายเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันนางย่อมต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งยังต้องถูกหลายฝ่ายตำหนิ ฮ่องเต้ไม่มีวันปล่อยนางไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
องค์หญิงอวี้เหอไม่ได้โง่เขลาเช่นนั้น!
แต่องค์หญิงอวี้เหอเพียงต้องการพรหมจรรย์ของตนเท่านั้นจริงๆ หรือ หรือว่ายังมีแผนการอื่นอีก หรือว่าอยากให้ตนตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยหรี่เล็ก ไม่ว่าองค์หญิงอวี้เหอจะมีแผนการใด ปูเส้นทางด้วยดาบแหลมคมหรือกระบี่เล่มยาว นางสาบานว่า สุดท้ายคนที่ต้องเดินบนเส้นทางนี้คือตัวองค์หญิงอวี้เหอเอง
ต้นฤดูวัสสานะ แสงแดดเจิดจ้า อากาศดี ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้สึกคล้ายมีลมอันหนาวเย็นพัดผ่าน…ร่วมกับได้ยินเสียงฉีกขาดดังก้องในใจ มั่วเชียนเสวี่ยดึงสติกลับมา
นางยืนจนเท้าเริ่มชาแล้ว ด้านนอกคล้ายจะมีเสียงบรรดาสตรีชั้นสูงพูดคุยกันดังขึ้น คาดว่าคงจะรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ชวนกันมาพักผ่อนทางด้านนี้
ลอบคำนวณเวลาอย่างลับๆ คาดว่าเวลาอีกประมาณหนึ่งก้านธูปปี้หวนก็น่าจะได้สติ
จัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย แล้วตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
มั่วเชียวนเสวี่ยเดินเข้าไปด้านในพูดเสียงเหี้ยม “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
นางกำนัลปลอมทั้งสองคนเข้าใจว่านางคือปี้หวน รีบตอบ “เรียบร้อยแล้วขอรับ” ด้านในมีเสียงสวมเสื้อผ้าดังขึ้น
มั่วเชียนเสวี่ยพูดตำหนิเสียงทุ้มต่ำ “รีบแต่งเนื้อแต่งตัวซะ เมื่อเสร็จงานแล้วก็รีบไสหัวไป…อยู่นานเช่นนี้ อยากตายหรือ”
“ขอรับๆๆ” ขณะตอบ นางกำนัลปลอมทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมาจากด้านในห้อง
มั่วเชียนเสวี่ยหมุนตัว หันหลังให้พวกเขา “ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ พวกเจ้ารีบไสหัวออกไปจากอุทยานซะ วันข้างหน้าพวกเจ้าย่อมได้รับผลประโยชน์”
“ขอบใจแม่นาง” ก่อนจะเดินออกไปพวกเขาพูดทิ้งท้ายหนึ่งประโยค ทั้งสองยิ้มอย่างมีเลศนัย เดินจากไปอย่างผ่าเผย “ของที่แม่นางต้องการพวกข้าวางไว้บนโต๊ะในห้องแล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเสียงพวกเขาเดินออกไปจากประตูเรือน รีบเดินเข้าไปด้านในห้อง
เดิมทีคิดว่าเมื่อเดินเข้าไปด้านในห้องนางจะเห็นสิ่งน่าเกลียด…
ค่อยยังชั่ว บนเตียงเรียบร้อยดี ปี้หวนนอนไม่ได้สติ ทว่าแต่งกายเรียบร้อย
จัดเตรียมทุกอย่างได้ดียิ่งนัก!
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้บุรุษสองคนนั้นส่งเสียงในห้อง หากไม่ใช่เพราะดวงหน้าของปี้หวนแดงก่ำผมเพ้ายุ่งเหยิง หากไม่ใช่เพราะในห้องมีกลิ่นเหม็นสาบ หากไม่ใช่เพราะก่อนที่พวกเขาสองคนจะเดินออกไปย้ำเตือนนางว่า บนโต๊ะข้างเตียงมีผ้าขาวเปื้อนเลือดวางอยู่…
มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจว่าปี้หวนเพียงแค่นอนหลับไปเท่านั้น
ถอดเสื้อตัวนอกของปี้หวนออก สวมเสื้อผ้าให้นางอย่างรวดเร็ว จากนั้นหวีผมให้ปี้หวนเล็กน้อย โชคดีที่ทรงผมของนางกำนัลในวังหลวงทำง่าย
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยสวมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนของตน แล้วลากปี้หวนออกไป วางไว้ที่ข้างประตู หยิบเข็มทองขึ้นมา หลังจากฝังเข็มลงไปสองสามเข็ม มั่วเชียนเสวี่ยก็รีบกลับเข้าไปในห้องทันที
เดิมทีตั้งใจอยากจะกลับไปนอนบนเตียงที่ห้องด้านใน แต่ เมื่อคิดถึงเรื่องโสมมเมื่อครู่ มั่วเชียนเสวี่ยจึงตบหน้าตนเองสองครั้ง ทำให้ดวงหน้าของนางแดงระเรื่อเล็กน้อย แล้วนอนฟุบอยู่บนโต๊ะข้างเตียงตั่งแกล้งทำเป็นหมดสติ
นางที่เพิ่งฟุบตัวลงนอน ปี้หวนก็ฟื้นพอดี
ปี้หวนส่ายหน้าเล็กน้อย คล้ายนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ รีบเหยียดกายลุกขึ้น ท่ามกลางความแปลกใจ นางรีบพุ่งตัวเข้ามาด้านใน เห็นมั่วเชียนเสวี่ยนอนฟุบอยู่ข้างเตียงตั่ง จึงรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องด้านในด้วยความร้อนใจ
เมื่อเห็นผ้าขาวเปื้อนเลือดผืนนั้น ปี้หวนโล่งอก ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับหัวเราะเยือกเย็นในใจ
หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ เท้าของนางอ่อนแรงขึ้นมากะทันหัน หากไม่ใช่เพราะคว้าจับโต๊ะข้างเตียงไว้ได้ทัน เกรงว่าคงจะล้มลงบนพื้นแล้ว เวลานี้ความรู้สึกปวดเมื่อยแผ่ซ่านไปทั้งตัว
ปี้หวนที่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดตนจึงปวดเมื่อยไปทั้งตัว เหยียดกายลุกขึ้น ฝืนเดินไปหยิบผ้าข้าวเปื้อนเลือด จากนั้นเก็บเข้าไปในเสื้อ นางยังต้องรีบเอาผ้าขาวผืนนี้ไปส่งงาน
ด้านนอกมีเสียงหัวเราะของสตรีชั้นสูงดังขึ้น เวลานี้ นางไม่มีเวลาไปคิดเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ไม่มีเวลาคิดว่าตนหมดสติไปเมื่อใด
เก็บผ้าขาวเปื้อนเลือด ปี้หวนรีบเปลี่ยนกำยานในเตา จากนั้นเดินไปเปิดหน้าต่างภายในห้องด้านใน
มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจเข้า กลิ่นหอมที่เปลี่ยนไปในครั้งนี้ เป็นกลิ่นหอมที่ทำให้สดชื่น
ทุกอย่างหยุดลง ปี้หวนเดินกระโซกระเซไปหามั่วเชียนเสวี่ย
ครั้งแรกของสตรีที่ถูกชายสองคนกดทับ ย่อมเดินไม่คล่องตัวเป็นธรรมดา ได้ยินเสียงเดินโซเซ มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้สึกสงสารนางแม้แต่น้อย ทำชั่วเอง ไม่อาจหลีกหนี! นางพอจะเดาได้ว่า ปี้หวนเดินมาเพราะอยากพาตนขึ้นไปนอนบนเตียง
ด้วยเหตุนี้ จึงส่งเสียงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น “ข้าเป็นอะไรไป เหตุใดรอไปครู่หนึ่งก็ผล็อยหลับ”
แสร้งทำเป็นงัวเงียเพิ่งตื่น “แม่นางปี้หวน เสื้อผ้าที่แม่นางไปหยิบเล่า”
“ข้าเห็นคุณหนูนอนหลับไปแล้ว ทั้งยังกลัวว่านางกำนัลสองคนนั้นจะดูแลไม่ดี นอกจากนี้คุณหนูยังเป็นหวัด ดังนั้นจึงเฝ้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ไม่ได้ออกไปเจ้าค่ะ”
“อ่อ…แล้วสาวใช้ของข้าล่ะ เหตุใดข้าจึงรู้สึกปวดเมื่อยและอ่อนแรงเช่นนี้ ไม่สบายตัวยิ่งนัก เจ้ารีบไปตามสาวใช้ของข้ามา…”
“เจ้าค่ะ เวลานี้ คาดว่าน่าจะเรียบร้อยดีแล้ว ข้าน้อยจะออกไปตามตัวสาวใช้ของคุณหนู”
“อืม ไปเถอะ” ปี้หวนไม่มีวันคาดคิดได้ว่าผ้าขาวที่อยู่ในเสื้อของนางจะเป็นผ้าเปื้อนเลือดพรหมจรรย์ของตัวนางเอง…
ปี้หวนเดินโซเซออกไป มั่วเชียนเสวี่ยมองผ่านหน้าต่าง เห็นนางสั่งให้ผอจื่อเปิดประตูแล้วถามไถ่เล็กน้อย ความสงสัยบนสีหน้าของนางลดลงไปบ้าง ทั้งยังบอกผอจื่อทั้งสองคนว่าไม่ต้องปิดประตูแล้ว…
ความสงสัยย่อมบรรเทาลง ผอจื่อทั้งสองคนต้องยืนยันเรื่องเมื่อครู่แล้วอย่างแน่นอน ระหว่างนี้ไม่มีผู้ใดเข้าออกห้องข้างในเรือนหลังนี้ นางกำนัลปลอมทั้งสองคนเพิ่งออกไปเมื่อครู่
……
ณ ศาลบรรพชนตระกูลหนิง หัวหน้าตระกูลหนิงนั่งบนที่นั่งหลัก โดยมีผู้อาวุโสตระกูลหนิงนั่งขนาบทั้งสองข้าง บรรยากาศภายในห้องน่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก คล้ายกำลังจะปะทุ
หัวหน้าตระกูลหนิงให้คนจัดที่นั่งพิเศษซึ่งอยู่ทางซ้ายมือเขา ที่นั่งนี้อยู่ระหว่างหัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสของตระกูล
เวลานี้หนิงเซ่าชิงนั่งอยู่บนที่นั่งพิเศษนั่น ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ สีหน้าของเขายังคงเป็นธรรมชาติ คล้ายมีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า เขามีความสง่าผ่าเผยเฉพาะตัว แม้หุบเขาไท่ซานจะถล่มตรงหน้า สีหน้าของเขายังคงไม่แปรเปลี่ยน
เวลานี้เขาสั่งสมประสบการณ์ภายนอกมานานหนึ่งปีกว่าแล้ว หลังจากผ่านการขัดเกลาของกาลเวลา ทำให้เขามองเห็นความว้าวุ่นบนโลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เวลานี้เขานิ่งสงบและสุขุมเยือกเย็น ไม่มีไอพิฆาตแม้แต่น้อย สุภาพอ่อนโยนดุจดั่งหยกล้ำค่า
ชุดคลุมตัวยาวที่มั่วเชียนเสวี่ยสั่งให้คนตัดเย็บให้เขา เขาเก็บไปหมดแล้ว เวลานี้เขาสวมชุดคลุมตัวยาวสีฟ้าอ่อน ขับความผ่าเผยของเขาให้โดดเด่น ดั่งน้ำใสในลำธาร คล้ายแสงจันทร์ในคืนวสันต์
เขายิ้มบางๆ แล้วเหยียดกายลุกขึ้น “ผู้อาวุโสทุกท่านยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่” ชุดคลุมตัวยาวสีฟ้าอ่อนเหยียดพื้น ราวกับท้องฟ้าสีครามลอยล่องอยู่เบื้องหน้า ให้ความรู้สึกนิ่งสงบและสันโดษ เพียงชั่วขณะหนึ่งคล้ายเขาแปรเปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม มีความเป็นผู้นำทำให้ผู้อื่นไม่อาจดูแคลน