ตอนที่ 247 ข้ามีรสนิยมเช่นนี้

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 247 ข้ามีรสนิยมเช่นนี้

หนิวโหย่วเต้าไม่หลบสายตาเขา ท่าทางคล้ายอยากจะดูว่าเจ้าจริงใจหรือไม่

“ข้ารู้จักกับเผิงโย่วไจ้เจ้าสำนักหยกสวรรค์” ลิ่งหูชิวที่เงียบไปครู่หนึ่งเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

พวกเฟ่ยฉางหลิวทั้งสามเงยหน้ามอง หนิวโหย่วเต้าก็รอคำพูดต่อไปของเขาอยู่เช่นกัน

“อันที่จริงปีก่อนเจ้าสำนักเผิงก็มาหาข้าด้วยเรื่องนี้แล้วเช่นกัน เพียงแต่เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องเกี่ยวพันถึงนโยบายของแคว้นฉี หากเป็นจำนวนเล็กน้อยข้ายังพอให้สหายช่วยอำนวยความสะดวกได้บ้าง ทุกคนทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งก็ผ่านไปได้แล้ว แต่ความต้องการของทางเจ้าสูงเกินไป ทางแคว้นฉีไม่มีผู้ใดกล้ารับผิดชอบภาระนี้ สิ่งสำคัญคือข้าเองก็ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงได้แต่กล่าวขออภัยต่อเจ้าสำนักเผิง” จุดประสงค์ที่ลิ่งหูชิวเอ่ยวาจานี้ เพราะหวังให้หนิวโหน่วเต้าทราบถึงความลำบากแล้วยอมล้มเลิกความคิดไป

แต่ใครจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะถามขึ้นมาอีกว่า “ไม่ทราบว่าจำนวนเล็กน้อยที่ท่านลิ่งหูหามาได้คือเท่าไร?”

“….” ลิ่งหูชิวผงะไปเล็กน้อย พบว่าคนผู้นี้ไม่รู้ความเอาเสียเลย จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยไปว่า “ไม่กี่ร้อยตัวกระมัง”

หนิวโหย่วเต้าถามจำนวนที่แน่ชัดอีกครั้ง “กี่ร้อยตัว?”

“….” ลิ่งหูชิวพูดไม่ออกอีกครั้ง เมื่อเผชิญกับสายตาคาดหวังของคนผู้นี้ สุดท้ายก็เอ่ยอย่างลังเลว่า “ประมาณสามสี่ร้อยตัว มากสุดไม่เกินห้าร้อยตัว สำหรับพวกเจ้าแล้ว หากไม่ได้ม้ามาในจำนวนมากก็ไม่มีประโยชน์ แต่แค่ไม่กี่ร้อยตัวนี้ก็ยังส่งออกมาในครั้งเดียวได้ยากเลย จำเป็นต้องทยอยส่งออกมา มิเช่นนั้นเส้นทางยาวไกลเช่นนี้ เกรงว่าคงยากจะพ้นด่านของแคว้นอื่นๆ มาได้เช่นกัน”

ความจริงแล้วม้าศึกไม่กี่ร้อยตัว พูดกันในแง่ของมูลค่าแล้วก็ไม่นับว่ามีมูลค่าอะไรมากนัก แต่ประเด็นสำคัญคือความยุ่งยาก เขาต้องการให้หนิวโหย่วเต้าลองชั่งน้ำหนักเอาเอง สร้างปัญหาให้ข้าเช่นนี้เพื่อม้าไม่กี่ร้อยตัว เจ้าคิดว่ามันเหมาะสมแล้วหรือ? เผิงโย่วไจ้เองก็ล้มเลิกความตั้งใจไปเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน ต้องทำให้คนอื่นลำบากเพื่อม้าศึกไม่กี่ร้อยตัวมันไม่เหมาะสมเลย

หนิวโหย่วเต้ากลับพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น เอ่ยว่า “ห้าร้อยตัวก็เพียงพอแล้ว!”

“…..” เฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวต่างหันไปมองเขา ห้าร้อยตัวก็เพียงพอแล้วอย่างนั้นหรือ?

“….” ลิ่งหูชิวมึนงง นึกว่าตนฟังผิดไป เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ห้าร้อยตัวก็พอแล้วอย่างนั้นหรือ? เผิงโย่วไจ้บอกว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องการหนึ่งหมื่นตัว จำนวนที่พวกเจ้าว่ามามันไม่ต่างกันเกินไปหน่อยหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “ไม่มากๆ ไม่ผิดพลาดแน่ ท่านลิ่งหูอาจจะไม่ทราบ ผู้สนับสนุนหลักของยงผิงจวิ้นอ๋องคือสำนักหยกสวรรค์ สำนักหยกสวรรค์ย่อมต้องออกแรงให้มากหน่อย หากว่าสำนักหยกสวรรค์หาม้าศึกมาให้ท่านอ๋องได้เพียงห้าร้อยตัว เช่นนั้นมันก็ออกจะ…ฮ่าๆ แต่ข้ากลับต่างออกไป สิ่งที่ข้าได้รับจากท่านอ๋องไม่ว่าจะด้านใดก็ไม่อาจเทียบกับสำนักหยกสวรรค์ได้ สามารถหาม้าศึกมาห้าร้อยตัวได้ก็ถือเป็นน้ำใจจากข้า ถึงแม้จะน้อยไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้เห็นว่าข้าไม่ได้นั่งรับผลประโยชน์อยู่เฉยๆ”

ว่าพลางลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งคำนับ “เรื่องนี้ขอวอนท่านลิ่งหูช่วยเหลือด้วย”

พวกเฟ่ยฉางหลิวมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าคนผู้นี้คิดจะเล่นลูกไม้ใดกันแน่

แต่จะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่ที่ได้เจอกันที่หอหิมะเหมันต์ พวกเขาก็นับว่าได้เห็นถึงความสามารถของคนผู้นี้แล้ว มิเช่นนั้นไหนเลยจะยอมรับหนิวโหย่วเต้าเช่นนี้ได้

“….” สีหน้าของลิ่งหูชิวกระอักกระอ่วนขึ้นมา ถ้อยคำบางอย่างพูดออกไปแล้วเก็บกลับคืนไม่ได้ ในเมื่อตนพูดไปแล้วว่าจัดการได้ หากคืนคำไม่ยอมรับปาก การเดินทางมาในครั้งนี้ก็จะเปล่าประโยชน์ จึงนึกเสียใจขึ้นมา สหายคนนี้ไหนเลยจะยังผูกมิตรต่อไปได้อีก

เขามีความรู้สึกเหมือนโยนหินทับเท้าตัวเอง หากรู้แต่แรกคงไม่พูดเรื่องม้าไม่กี่ร้อยตัวนั้น พูดเช่นนั้นออกไปทำไม บอกไปตรงๆ ว่าจัดการไม่ได้ก็จบแล้ว

หลังจากใคร่ครวญดูเล็กน้อย เขากดมือลงพลางยิ้มเจื่อน “น้องหนิวพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว หากข้าไม่รับปากอีกก็ดูเหมือนจะค่อนข้างไร้น้ำใจ นั่งลงก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรก็ค่อยๆ นั่งคุยกัน ไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้”

หนิวโหย่วเต้ายืดตัวขึ้น “เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้า”

“นั่งลงก่อนๆ” ลิ่งหูชิวโบกมือข้างหนึ่งไม่หยุด สื่อว่าให้นั่งลงก่อน

หลังจากนั่งลงแล้วหนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยถามอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าม้าศึกห้าร้อยตัวนั้นจะจัดหามาได้เมื่อไร?”

ลิ่งหูชิวถอนหายใจ “หากว่าแค่ห้าร้อยตัวล่ะก็ ข้าว่าเราไม่จำเป็นต้องวิ่งโร่ไปถึงแคว้นฉีเลย ระยะทางไกลเช่นนั้น ไปถึงนั่นลำบากเกินไป ถ้าแค่ห้าร้อยตัวล่ะก็ ข้าก็พอจะรู้จักคนในแคว้นเยี่ยนอยู่บ้าง ติดต่อหาจากละแวกข้างเคียงให้เจ้าได้…ไม่สิ ในแคว้นเยี่ยนไม่เหมาะ หากในอนาคตกองทัพของพวกเจ้าเปิดศึกกันขึ้นมา เกรงว่าข้าคงจะล่วงเกินทุกๆ ฝ่าย แคว้นจ้าวแล้วกัน แคว้นจ้าวเป็นบ้านใกล้เรือนเคียง ซ้ำยังใกล้กับพวกเจ้า ภายในหนึ่งเดือน ข้าสามารถส่งม้าศึกห้าร้อยตัวจากแคว้นจ้าวมาให้เจ้าได้ เจ้าว่าเป็นอย่างไร?” ใบหน้าเจือรอยยิ้มอยู่หลายส่วน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความยินดี “เยี่ยมมาก ส่วนทางแคว้นฉีข้าไม่กลัวยุ่งยาก เรื่องยุ่งยากท่านยกให้เป็นหน้าที่ข้าก็พอ นำม้าจากแคว้นจ้าวห้าร้อยตัว จากนั้นค่อยนำม้ามาจากแคว้นฉีห้าร้อยตัว ข้าก็จะมีม้าศึกหนึ่งพันตัวมาส่งมอบให้ท่านอ๋องแล้ว แบบนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ”

พวกเฟ่ยฉางหลิวพลันกระจ่างในทันใด ในที่สุดก็เข้าใจแผนของเขาแล้ว ต่างนั่งนิ่งเหมือนพระพุทธรูป ฟัง แต่กลับไม่พูดอะไร สายตาต่างมองไปมองมาบนร่างของทั้งสองคน

“…..” ลิ่งหูชิวยิ้มไม่ออกไปทันที มุมปากกระตุกเล็กน้อย เงยหน้ามองบน สุดท้ายก็หัวเราะเหอะๆ ก้มหน้าลงแล้วเอ่ยถามหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง “ฟังจากความหมายของน้องชายแล้ว หากข้าสามารถหาจากแคว้นอื่นๆ มาได้อีก น้องชายก็คงยังไม่พอใจอยู่ดี ต้องให้ข้าไปเอาม้าห้าร้อยตัวนั้นจากแคว้นฉีมาให้ได้กระมัง! เจ้ากล้าเรียกใช้ข้าอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ ไม่กลัวข้าจะเหนื่อยบ้างหรือ?” น้ำเสียงคล้ายกำลังเอ่ยหยอกล้อ

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างจริงจัง “เรื่องราคาไม่มีปัญหา!”

ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “ม้าห้าร้อยตัวที่ข้าเอามาจากแคว้นจ้าวให้เจ้าก็ไม่ได้คิดจะเอาเงินเจ้าอยู่แล้ว ถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าแล้วกัน”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เรื่องงานส่วนเรื่องงาน ม้าศึกเป็นของที่จะให้ท่านอ๋อง มิใช่ของข้า สมควรคิดเงินเท่าไรก็คิดไปตามนั้น ไม่อาจทำให้ท่านลิ่งหูเสียเงินได้”

ลิ่งหูชิวงุนงง นี่เจ้าเลอะเลือนจริงๆ หรือว่าแสร้งเลอะเลือนอยู่กันแน่ “ไม่ใช่สิ ทำไมข้าต้องหาม้าศึกให้ท่านอ๋องอะไรคนนั้นด้วย? นี่เป็นเพราะข้าเห็นแก่หน้าน้องชายต่างหากถึงได้ช่วยเรื่องนี้ มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าเทียวไปเทียวมาเพื่อม้าศึกไม่กี่ร้อยตัวนี้ ข้าต้องเรียกเงินเท่าไรถึงจะเหมาะสมเล่า?”

“นายท่าน!” หงซิ่วที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาแย้มยิ้ม เดินขึ้นมาสองก้าว โน้มตัวลงกระซิบข้างหูลิ่งหูชิวด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน เมื่อครู่คุณชายก็เพิ่งเอ่ยไป เขาไม่กลัวความเดือดร้อนจากทางแคว้นฉี หากมีเรื่องยุ่งยากอันใดนายท่านก็ยกให้เป็นหน้าที่เขาได้เลยเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้ามองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม หงซิ่วยิ้มพลางค้อมกายให้เขาเล็กน้อย ค่อยๆ ถอยกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม

ลิ่งหูชิวได้รับการเตือนสติแล้ว กระจ่างขึ้นมาในทันใด ยกมือตบหน้าผากตัวเอง “นั่นสิ กระทั่งชีวิตของราชทูตแคว้นเยี่ยนน้องชายยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ไหนเลยจะเห็นเรื่องม้าห้าร้อยตัวนั้นอยู่ในสายตาได้ มีไม่ถึงหมื่นตัวเกรงว่าคงเติมเต็มความต้องการของน้องชายไม่ได้ เป็นข้าเองที่เลอะเลือนไป”

สายตาของหนิวโหย่วเต้ามองสลับไปมาระหว่างใบหน้าของสตรีคู่แฝด จุ๊ปากพลางเอ่ยว่า “ท่านลิ่งหูช่างโชคดีนัก มีพี่น้องคู่แฝดมาคอยปรนนิบัติเช่นนี้ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก ข้าเองก็ชักใจเต้นขึ้นมาแล้วสิ หากท่านลิ่งหูอยากมอบของขวัญพบหน้าให้ข้าจริงๆ ไม่ทราบว่าพอจะหักใจสละของรักได้หรือไม่?”

ลิ่งหูชิวหัวเราะฮ่าๆ หันไปเอ่ยว่า “น้องหนิวต้องตาพวกเจ้าพี่น้องเข้าแล้ว นับเป็นวาสนาของพวกเจ้า ลองคิดดูหน่อยไหม!”

หงฝูผู้มีสีหน้าเย็นชามองหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาเยือกเย็น หงซิ่วยิ้มละไมค้อมกายกล่าวว่า “พวกเราพี่น้องโรยราแล้ว คุณชายยังหนุ่มยังแน่น มิกล้าทำให้คุณชายต้องมัวหมองเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “วาจานี้ผิดไปแล้ว คนเรามีรสนิยมต่างกันไป” เขายกมือชี้ไปทางเฮยหมู่ตานที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ข้าชอบแบบนี้!”

เฮยหมู่ตานหมดคำพูด เกือบจะกลอกตาใส่เขาแล้ว นี่กำลังรังเกียจว่าข้าอายุมากเกินไปหรือ?

พวกเฟ่ยฉางหลิวทั้งสามเหลือบมองเขาเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเขากำลังจะเล่นอะไรอีก รู้จักเขามานานขนาดนี้ ล้วนทราบกันดีว่าเขาไม่ใช่คนที่มากในตัณหา

ซางซูชิงที่เพิ่งเดินขึ้นหอสูงมาชะงักเท้า ได้ยินว่ามีแขกมา จึงอยากมาดูว่าเป็นผู้ใด ใครจะไปรู้ว่าจะบังเอิญได้ยินหนิวโหย่วเต้าเอ่ยประโยคนี้พอดี นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย นิ่งเงียบอยู่ตรงปากทางขึ้นบันได

ลิ่งหูชิวค่อยๆ ละเลียดชา ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม ไม่เอ่ยวาจา ท่าทางสุขุมเยือกเย็น

หงซิ่วหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราพี่น้องเป็นเพียงสาวใช้ข้างกายนายท่าน เทียบกับม้าศึกเหล่านั้นไม่ได้เลยเจ้าค่ะ!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ม้าศึกมอบให้ท่านอ๋อง พวกเจ้าสองพี่น้องสิที่ข้าต้องการ”

หงซิ่วเองก็ไม่โกรธเช่นกัน ป้องปากยิ้มเอ่ยว่า “รสนิยมของคุณชาย พวกเราพี่น้องรับไว้ไม่ไหว รสนิยมของพวกเราพี่น้องยังปกติอยู่เจ้าค่ะ” พลางบุ้ยปากไปทางลิ่งหูชิวที่ละเลียดชาอยู่ สื่อชัดเจนว่าพวกเราชอบคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “ท่านลิ่งหู พวกนางเป็นสาวใช้ของท่าน เห็นทีว่าคงต้องให้ท่านออกปากแล้ว ขอเพียงท่านตอบตกลง คาดว่าพวกนางก็คงจะว่าอะไรไม่ได้”

ลิ่งหูชิวถือถ้วยน้ำชาพลางยิ้มตาหยี เอ่ยว่า “น้องชายชอบพวกนางขนาดนี้เชียวหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าตอบไปว่า “อาจจะกะทันหันไป แต่ข้ารู้สึกหวั่นไหวจริงๆ แล้วก็อยากได้มาครอบครองจริงๆ ข้ายินดีมอบเงินหนึ่งล้านเหรียญทองให้ท่านเป็นค่าชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นอย่างไร?”

ลิ่งหูชิวเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าจะมอบให้ห้าล้านเหรียญทอง ท่านลิ่งหูโปรดยอมสละของรักด้วย!”

ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “น้องชาย มาคุยเรื่องงานกันเถอะ!”

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองสตรีทั้งสอง เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “สิบล้านเหรียญทอง!”

เมื่อเอ่ยจำนวนนี้ออกไป ทุกคนต่างตกตะลึง หงซิ่วและหงฝูสบตากัน ดวงตาฉายแววประหลาดใจ

ซางซูชิงที่เดินไปถึงปลายอีกด้านหนึ่งของราวกั้นอดหันกลับไปมองไม่ได้

ลิ่งหูชิวมองไปรอบๆ ทันที ฟังจากความหมายในวาจาของเขา ฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าหากวันนี้ไม่มอบสาวใช้สองนางนี้ให้เพื่อสนองความต้องการของเขา เช่นนั้นก็อย่าหมายจะได้ออกไปจากที่นี่เลย เมื่อคิดถึงเรื่องที่คนผู้นี้กล้าสังหารแม้กระทั่งราชทูตแคว้นเยี่ยน ในใจก็นึกหวาดกลัวขึ้นมา

แต่ภายนอกกลับยังหัวเราะพลางเอ่ยไปว่า “สิบล้านเหรียญทอง ต่อให้เป็นแคว้นแคว้นหนึ่งก็ยังไม่กล้านำออกมาใช้ง่ายๆ มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจน้องชาย แต่ข้าอยากถามสักคำ น้องชายหาเงินมากขนาดนี้มาได้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าบอก “ตอนนี้ยังไม่มีเงินให้ แต่มีบางสิ่งที่มีมูลค่าถึงสิบล้านเหรียญทอง”

ลิ่งหูชิวถามด้วยรอยยิ้ม “สิ่งใดกันที่มีราคาถึงเพียงนี้?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตอนไปเยือนหอหิมะเหมันต์ บังเอิญได้ผูกมิตรกับสหายกลุ่มหนึ่งระหว่างทาง ภายหลังแยกทางกันที่หอหิมะเหมันต์ พวกเขามอบสัตว์ปีกพาหนะให้ข้าตัวหนึ่ง สัตว์ปีกพาหนะตัวนั้นเกรงว่าราคาคงไม่ใช่แค่สิบล้านเหรียญทอง แต่ท่านก็คงทราบดี หากจะขายของแบบนั้นก็คงจะขายออกไปไม่ได้ง่ายๆ ในระยะเวลาสั้นๆ ข้าจะนำสัตว์ปีกพาหนะตัวนั้นมาแลกกับพวกนางทั้งสองคนเป็นอย่างไร? ท่านชอบท่องเที่ยวไปทั่ว มีสัตว์พาหนะเช่นนี้น่าจะเหมาะสมกว่า!”

ไม่ใช่แค่ซางซูชิงเท่านั้น แม้แต่พวกเฟ่ยฉางหลิวก็นึกสงสัยอยู่ในใจ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?

ลิ่งหูชิวท่าทางแปลกใจ “ผู้ใดกันที่ใจกว้างถึงเพียงนี้ มอบสัตว์ปีกพาหนะเป็นของกำนัลให้เชียวหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงต่อข้า เพียงแต่บอกข้าว่าหากวันหน้ามีธุระก็ให้ไปหาพวกเขาที่เมืองหลวงแคว้นฉีได้ คนหนึ่งแซ่เฮ่า คนหนึ่งแซ่เผย เฮ่าเป็นราชสกุลของแคว้นฉี ข้าสงสัยว่าอาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ในแคว้นฉี”

ลิ่งหูชิวร้องโอ้คำหนึ่ง ท่าทางคล้ายกำลังใช้ความคิด ไม่รู้เหมือนกันว่าเชื่อหรือไม่ ก่อนจะเอ่ยแกมหยอกเล็กน้อยว่า “เชื้อพระวงศ์มอบสัตว์ปีกพาหนะให้คนอื่น ช่างหาได้ยากนัก เพราะว่าราคาไม่ใช่น้อยๆ เลย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “พวกเขาถูกใจอะไรบางอย่างของข้า จึงทำการแลกเปลี่ยนกับข้า”

ลิ่งหูชิวถามต่อ “นำอันใดไปแลกเปลี่ยนมาหรือ?”

“ไม่สะดวกจะเอ่ยถึง” หนิวโหย่วเต้าบุ้ยปากไปทางหงซิ่วและหงฝู “ขอเพียงท่านตกลงมอบพวกนางทั้งสองให้ข้า ข้าก็จะบอกให้รู้ว่าใช้สิ่งใดไปแลกเปลี่ยนมา”

……………………………………………………………