ตอนที่ 248 ต้องเชื่อมั่นในตัวเต้าเหยี่ย

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 248 ต้องเชื่อมั่นในตัวเต้าเหยี่ย

ยังคงเลี่ยงไม่พ้นประเด็นนี้อยู่ดี จ้องจะเอาสาวใช้ทั้งสองของตนให้ได้ ลิ่งหูชิวยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวไปว่า “พวกนางมิใช่สาวใช้ธรรมดา สภาวะล้วนอยู่ในระดับโอสถทอง แล้วก็นับเป็นผู้คุ้มกันยามข้าออกท่องเที่ยว มิใช่สิ่งที่จะวัดค่าด้วยเงินทองได้”

“อย่างนี้นี่เอง” หนิวโหย่วเต้าทำสีหน้าแปลกใจและเสียดาย

ลิ่งหูชิวเอ่ยยิ้มๆ “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะผูกมิตรด้วยใจจริง น้องชายก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมแล้ว คงอยากให้ข้าเดินทางไปแคว้นฉีกับเจ้าเพื่อม้าศึกกระมัง!”

หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญ “เป็นข้าบุ่มบ่ามไป ท่านลิ่งหูดื่มชาเถิด”

ประเด็นร้อนที่คุยกันเมื่อครู่นี้ราวกับเป็นการคุยเรื่องไร้สาระอย่างไรอย่างนั้น บทจะผ่านไปก็ผ่านไปเสียดื้อๆ

ลิ่งหูชิวโบกมือเอ่ยว่า “เอาแต่เรียกท่านมันฟังดูเกรงใจเกินไป ข้าต้องการผูกมิตรด้วยใจจริง หากว่าไม่รังเกียจ ก็เรียกขานกันเป็นพี่น้องก็ได้”

หนิวโหย่วเต้าฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ เอ่ยอย่างมีไหวพริบ “หากท่านไม่รังเกียจ ข้าอยากจะสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กับท่าน ได้หรือไม่?” สายตาเปี่ยมความคาดหวัง

“….” ลิ่งหูชิวตะลึงงัน

หงซิ่วและหงฝูมองหน้ากัน

เจ้าสำนักทั้งสามมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย พบว่า ‘เต้าเหยี่ย’ คนนี้เรื่องมากจริงๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็หาเรื่องออกมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า

ลิ่งหูชิวยิ้มออกมา พยักหน้าเล็กน้อย “ได้!”

หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยกับเฮยหมู่ตานทันที “ตั้งโต๊ะบูชา!”

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานออกไป

หลังจากนั้นไม่นานนัก ซางซูชิงที่เดินไปเดินมาอยู่บนหอสูงก็หยุดนิ่งพิงราวกั้น มองคนทั้งสองที่คุกเข่าคู่กันอยู่หน้าโต๊ะบูชาภายในสวนด้านล่าง สายตาวูบไหวไปมา

เฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวาที่ยืนเป็นสักขีพยานอยู่ด้านข้างภายในสวนได้เห็นคนทั้งสองที่คุกเข่าคำนับเสร็จเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นมาจับมือถือแขนเรียกขานกันว่าพี่น้อง เรียกได้ว่าคล้ายกำลังรับชมละครอยู่ ลิ่งหูชิวเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นานเท่าไร คนสองคนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันกลับสาบานเป็นพี่น้องกันในพริบตา ซ้ำยังมีท่าทางเหมือนเสียดายที่พบเจอกันช้าไปอย่างไรอย่างนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน

แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าทั้งสองจะกำลังเล่นละครกันอยู่หรือไม่ ทว่าในนามแล้ว เวลานี้ผู้บำเพ็ญเพียรเลื่องชื่อแห่งแคว้นจิ้นลิ่งหูชิวก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกับหนิวโหย่วเต้าแล้ว!

“เฮยหมู่ตาน ไปบอกหยวนฟาง พี่ชายของข้ามาแล้ว ให้วัดหนานซานของเขาจัดเตรียมสุราอาหารอย่างดีที่สุดเอาไว้!” หนิวโหย่วเต้าที่กำลังพูดคุยกับลิ่งหูชิวอย่างสนิทสนมพลันหันกลับมาสั่งการ ท่าทางมีความสุขเป็นอย่างมาก

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานรับคำสั่งแล้วออกไป

จากนั้นหนิวโหย่วเต้านำทางลิ่งหูชิวเข้าไปเยี่ยมชมเรือนของตนด้วยตัวเอง พาเยี่ยมชมคฤหาสน์ทั้งหลัง อีกทั้งยังไปเดินเล่นรอบๆ เป็นเพื่อนด้วยตัวเอง

พวกเฟ่ยฉางหลิวทั้งสามยืนมองอยู่ตรงหน้าประตูคฤหาสน์ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วเข้ามา ทั้งสามหันไปมอง เห็นเป็นซางซูชิง ต่างค้อมกายคำนับ “ท่านหญิง!”

ซางซูชิงคารวะตอบ จากนั้นก็เดินลงเขาไปพร้อมกับผู้ติดตาม

เซี่ยฮวาเอ่ยขึ้น “เกรงว่าคงกำลังจะไปที่จวนผู้ว่าการจังหวัดเพื่อแจ้งเรื่องร่วมสาบานต่อท่านอ๋องกระมัง”

เฟ่ยฉางหลิวและเจิ้งจิ่วเซียวพยักหน้า เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว เฟ่ยฉางหลิวทอดสายตามองเงาร่างของ ‘สองพี่น้อง’ ที่เดินเล่นอยู่ไกลๆ ถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเดิมทีคนผู้นี้จะได้เป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ทว่าถูกรังเกียจว่าฐานะชาติกำเนิดต่ำต้อยเกินไป ถูกขับไล่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หากให้เขาได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จริง ด้วยความสามารถของคนผู้นี้ เกรงว่าตอนนี้สถานการณ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงต่างไปจากเดิม สำนักสวรรค์พิสุทธิ์สูญเสียบุคคลที่สามารถนำพาสำนักให้รุ่งเรืองได้ไปแล้วจริงๆ ข้ากล้าฟันธงเลย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะต้องนึกเสียใจในไม่ช้าก็เร็ว!”

เดิมทีเซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวล้วนเป็นคนของทางตระกูลซ่ง แต่เดิมล้วนเป็นคนที่ต้องสังหารหนิวโหย่วเต้า ต่างทราบถึงสถานการณ์ของหนิวโหย่วเต้าตอนที่อยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จึงย่อมต้องทราบเช่นกันว่าคำพูดของเฟ่ยฉางหลิวนั้นหมายหมายความว่าอย่างไร

เจิ้งจิ่วเซียวพยักหน้าพลางทอดถอนใจ เอ่ยเสริมว่า “เกรงว่าลิ่งหูชิวที่วิ่งมาถึงที่นี่ก็คงคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจว่า ‘เต้าเหยี่ย’ ของพวกเราคนนี้อ้อมไปอ้อมมาคิดจะทำอะไรกันแน่ ตอนนี้นับว่ามองออกแล้ว ตอนที่เอ่ยเรื่องม้าศึก ลิ่งหูชิวแสดงท่าทีลำบากใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นเขาก็รีบไปแสดงความต้องการในตัวสาวใช้ของอีกฝ่ายทันที ทั้งยังเพิ่มราคาครั้งแล้วครั้งเล่า ลิ่งหูชิวก็ยังปฏิเสธอีก เขาจึงขอสาบานเป็นพี่น้องกับอีกฝ่ายทันที พบหน้ากันก็ปฏิเสธกันติดๆ สองเรื่อง หากยังปฏิเสธเรื่องนี้อีก เช่นนั้นยังจะมาพูดเรื่องผูกมิตรอันใดได้อีก นี่นับว่าถูกเขาบังคับให้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องหรือเปล่า? ‘เต้าเหยี่ย’ ของพวกเราคนนี้ช่างร้ายกาจจริงๆ!”

ทั้งสามต่างไปจากกงซุนปู้แห่งสำนักเบญจคีรี รากฐานอำนาจของสำนักต่างอยู่ที่นี่ อีกทั้งรูปแบบของการอาศัยพึ่งพาก็แตกต่างกัน ปกติแล้วไม่มีทางเรียกหนิวโหย่วเต้าว่า ‘เต้าเหยี่ย’ เหมือนกงซุนปู้ แต่การที่ตอนนี้สามารถเอ่ยว่า ‘เต้าเหยี่ยของพวกเรา’ ออกมาได้ นี่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับของพวกเขา

เซี่ยฮวาพยักหน้ารับ “ตอนแรกลิ่งหูชิวไม่ตอบตกลง ตอนนี้กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว พี่น้องร่วมสาบานหากมีเรื่องเดือดร้อนแล้วขอความช่วยเหลือกัน เกรงว่าลิ่งหูชิวที่อยู่ในฐานะพี่ชายร่วมสาบานคงไม่สะดวกจะปฏิเสธอีก พูดไปพูดมา สุดท้ายก็เพื่อม้าศึกอยู่ดี เพียงแค่พลิกแพลงวิธีการในพริบตาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น!”

เฟ่ยฉางหลิวกล่าวว่า “คนหนึ่งยินดีกระทำ อีกคนหนึ่งก็ยินดีถูกกระทำ เหตุใดลิ่งหูชิวถึงไม่มาหาพวกเราน่ะหรือ? หนิวโหย่วเต้าสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนจนมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วหล้าจนดึงดูดความสนใจของเขาได้มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เกรงว่าลิ่งหูชิวคงมองเห็นถึงอะไรบางอย่างจากเรื่องนี้ด้วยแน่”

อีกสองคนเข้าใจความหมายในวาจาของเขา ลิ่งหูชิวน่าจะเล็งเห็นถึงคุณค่าบางอย่างในตัวหนิวโหย่วเต้า มิเช่นนั้นคงไม่มาหาถึงที่ แล้วก็ไม่มีทางร่วมสาบานเป็นพี่น้องด้วยง่ายๆ

เจิ้งจิ่วเซียวกล่าวว่า “มองจากเจตนาของหนิวโหย่วเต้าแล้ว เรื่องม้าศึกเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข ทราบดีว่าความสมดุลของรูปการณ์กำลังถูกทำลาย จึงไม่สามารถหลบไปบำเพ็ญเพียรอย่างสงบต่อไปได้อีก เขาเองก็นั่งไม่ติดแล้วเช่นกัน มิเช่นนั้นวันนี้คงไม่เรียกพวกเราเข้ามาหารือเรื่องนี้ ดูเหมือนจะลงมือเองแล้ว!”

เซี่ยฮวาหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยว่า “เป็นเรื่องดี! คนของพวกเราทุ่มเทสู้ตายอยู่ในแคว้นฉี คนผู้นี้กลับดีนัก เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เอาแต่บำเพ็ญเพียรไม่ถามไถ่เรื่องทางโลก เรื่องราวทางแคว้นฉีไม่มีทางอาศัยกำลังเข้าจัดการได้ หากคนผู้นี้ยอมยื่นมือช่วยเหลือ พวกเราก็มีความหวังแล้ว! พวกท่านต่างก็เห็นกันแล้ว วิธีการจัดการเรื่องราวของคนผู้นี้เลิศล้ำนัก!”

เฟ่ยฉางหลิวทอดสายตามองไปทางตัวเมือง “อีกไม่นาน สำนักหยกสวรรค์คงจะทราบเรื่องที่เขาสาบานเป็นพี่น้องกับลิ่งหูชิว เมื่อมีเกราะป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีกชั้น สำนักหยกสวรรค์ก็จะยิ่งไม่กล้าแตะต้องเขาส่งเดช!”

เซี่ยฮวายิ้มออกมาอีกครั้ง “เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราเช่นกัน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยืนคานสำนักหยกสวรรค์อยู่ข้างพวกเรา หากผลประโยชน์ของทางนี้ขยายเพิ่มขึ้น การแย่งชิงผลประโยชน์ภายในก็คงมิอาจหลีกเลี่ยงได้ สำนักหยกสวรรค์เป็นกองกำลังหลักของทางยงผิงจวิ้นอ๋อง แต่คนผู้นี้ก็มีอิทธิพลต่อยงผิงจวิ้นอ๋องไม่น้อยเลยเช่นกัน พวกเราจำเป็นต้องกาะกลุ่มกันเอาไว้”

อีกสองคนได้ฟังต่างพยักหน้าเล็กน้อย สื่อว่าเห็นด้วย

ทุกคนต่างทราบอยู่แก่ใจดี เมื่อมาตั้งหลักอยู่ที่นี่ ด้วยอิทธิพลของสำนักหยกสวรรค์แล้ว ทั้งสามสำนักไม่อาจแยกตัวจากอิทธิพลของหนิวโหย่วเต้าที่มีต่อซางเฉาจงได้ ขอเพียงมีหนิวโหย่วเต้าอยู่ ซางเฉาจงก็ไม่มีทางยอมเชื่อฟังสำนักหยกสวรรค์แล้วขับไล่ทั้งสามสำนักออกไปจากแผนการง่ายๆ ฝ่ายหนิวโหย่วเต้าก็ขาดกำลังสนับสนุนจากทั้งสามสำนักไม่ได้เช่นกัน จำเป็นต้องมีสามสำนักคอยคุ้มครองความปลอดภัย

ขณะเดียวกัน พวกเขาเชื่อว่าซางเฉาจงก็จำเป็นต้องอาศัยทางนี้ซึ่งมีหนิวโหย่วเต้าเป็นผู้นำคอยถ่วงคานอิทธิพลของทางสำนักหยกสวรรค์เช่นกัน ไม่มีกองกำลังในโลกของคนธรรมดากลุ่มไหนที่จะสามารถต่อกรกับกลุ่มอิทธิพลของโลกบำเพ็ญเพียรได้ แม้แต่ราชสำนักในแคว้นต่างๆ ก็จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากสำนักนิกายใหญ่ๆ มาคานอำนาจซึ่งกันและกัน หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่องค์ฮ่องเต้เองก็คงรับประกันความปลอดภัยของตนไม่ได้เช่นกัน

ซึ่งในความเป็นจริงหนิวโหย่วเต้าก็ได้แสดงประโยชน์ในแง่นั้นออกมาแล้ว สะกดอิทธิพลของสำนักหยกสวรรค์ได้ในระดับหนึ่ง หาไม่แล้วสองจังหวัดคงไม่ปรากฏรูปการณ์เช่นในวันนี้

ต่างกับตอนที่อาศัยพึ่งพาตระกูลซ่ง สามสำนักอยู่ในตระกูลซ่งต้องคอยแก่งแย่งแข่งขันกัน แต่อยู่ที่นี่ มีผลประโยชน์ร่วมกัน จำเป็นต้องสมัครสมานกันไว้ ปมบาดหมางบางอย่างในอดีตถูกปล่อยวางไปนานแล้ว

…..

“ฮ่าๆ ท่านอ๋อง ดูเหมือนเต้าเหยี่ยจะออกจากเขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าคงต้องการจัดการเรื่องม้าศึกด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ!”

ภายในจวนผู้ว่าการจังหวัด หลังจากฟังรายงานของซางซูชิง หลานรั่วถิงเอ่ยกับซางเฉาจงอย่างตื่นเต้น

ซางเฉาจงที่หันหลังไปมองแผนที่สองเนตรเปล่งประกาย พยักหน้าเอ่ยไปว่า “ไม่นึกเลยว่าจะเร็วขนาดนี้ เพิ่งคุยกันไปไม่นาน เต้าเหยี่ยก็เริ่มลงมือจากทางลิ่งหูชิวแล้ว ดูจากสถานการณ์แล้ว เต้าเหยี่ยคงจะไปแคว้นฉีด้วยตัวเอง ข้ามีความหวังยิ่งนัก!”

พอได้ยินวาจานี้ ซางซูชิงที่อยู่ด้านข้างลังเลสับสน เอ่ยไปว่า “เสด็จพี่ พวกท่านไปพูดอะไรกับเต้าเหยี่ยใช่หรือไม่?”

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงสบตากัน ซางเฉาจงหันมาถอนใจเอ่ยกับน้องสาวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าเองก็รู้ถึงสถานการณ์ดี ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แต่สำนักเหล่านั้นก็ไม่มีคำตอบเรื่องม้าศึกที่ชัดเจนเสียที คลุมเครือมาโดยตลอด ข้ารู้ว่าพวกเขาจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน นำเข้าม้าศึกจากแคว้นฉีไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น พวกเขาไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ไม่อยากแสดงให้เห็นว่าตนไร้ความสามารถ ข้าล้วนแต่เข้าใจดี”

“แต่ว่า ชิงเอ๋อร์ งานใหญ่ไม่อาจล้าช้าต่อไปได้ ถ่วงเวลาไปได้อีกไม่นานหรอก ข้ากับท่านอาจารย์เคยประเมินดูแล้ว หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป อย่างมากก็ถ่วงเวลาไปได้อีกสองปีเท่านั้น ปัญหาใหญ่จะต้องมาเยือนแน่นอน อันที่จริงข้าอยากคุยเรื่องนี้กับเต้าเหยี่ยมาโดยตลอด จนใจที่เต้าเหยี่ยเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในเขา ไม่ยอมให้คนเข้าไปรบกวนง่ายๆ จึงไม่มีโอกาสเหมาะสมจะเอ่ยปาก วันนี้เต้าเหยี่ยมาหาด้วยตัวเอง ข้ากับท่านอาจารย์ย่อมต้องแจ้งเรื่องนี้ไป ภัยคุกคามกำลังใกล้เข้ามา และนั่นก็จะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรของเขาเช่นกัน เชื่อว่าเขาเองก็คงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะลงมือรวดเร็วขนาดนี้”

ซางซูชิงไม่คิดเลยว่าทางนี้จะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน นางแสดงความร้อนรนเล็กน้อย “เสด็จพี่ สำนักหยกสวรรค์ทุ่มเทไปมากขนาดนั้น สามสำนักเองก็ลงมือแล้ว ขนาดสี่สำนักร่วมมือกันก็ยังยากจะทำสำเร็จได้ แล้วพวกท่านจะให้เต้าเหยี่ยทำอย่างไรเจ้าคะ? หรือว่าพวกท่านไม่รู้ว่าการปล่อยให้เต้าเหยี่ยไปจัดการงานที่แคว้นฉีมันอันตรายอย่างมาก? เจ้าศักดินาในใต้หล้า คนที่ต้องการซื้อม้าศึกจากแคว้นฉีย่อมไม่ได้มีเพียงพวกเราอย่างแน่นอน แคว้ฉีเป็นแหล่งรวมอันตราย ปล่อยให้เต้าเหยี่ยเดินทางไปสถานที่เช่นนั้น มันจะอันตรายเกินไปนะเจ้าคะ!”

หลานรั่วถิงเอ่ยเบาๆ “หากไม่ยาก สี่สำนักก็คงจะจัดการเองได้ หากไม่ยาก พวกเราก็ไม่คาดหวังให้เต้าเหยี่ยออกจากหุบเขา! ท่านหญิง สี่สำนักไม่เคยมอบคำตอบที่แน่ชัดแก่พวกเราเลย ก็แปลว่าจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ทำให้พวกเราไม่สามารถดำเนินการตามแผนขั้นต่อไปได้ สถานการณ์บีบคั้น ไม่อาจล่าช้าต่อไปได้อีก พวกเราก็หมดหนทางแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้วันนี้เต้าเหยี่ยไม่มา กระหม่อมกับท่านอ๋องก็เตรียมรอให้จัดการเรื่องขยายเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้วจะไปพบเต้าเหยี่ยเพื่อคุยเรื่องนี้ แม่ทัพเหมิงเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เฮ้อ แม้ว่าการไปแคว้นฉีจะมีอันตราย แต่ท่านหญิงก็อย่าได้ประเมินเต้าเหยี่ยต่ำไปเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกับท่านอ๋องเองก็ไม่ได้ตั้งความหวังในตัวเต้าเหยี่ยอย่างไร้เหตุผล นับตั้งแต่ที่พวกเราออกจากเมืองหลวงมาจนถึงตอนนี้ แผนแต่งพระชายา หยิบยืมกำลังทหารจังหวัดกว่างอี้ ตั้งตัวในอำเภอชางหลู ร่วมมือกับมณฑลจินโจว ยึดจังหวัดชิงซาน กุมอำนาจของสองจังหวัด ทำให้สำนักหยกสวรรค์ยอมลดการเก็บภาษีเพื่อพัฒนาสองจังหวัด แล้วก็ยังมีเรื่องยิบย่อยอื่นๆ อีก สติปัญญาและความสามารถที่เต้าเหยี่ยแสดงออกมา คิดว่ากระหม่อมคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความอีก หากบอกว่านี่เป็นเรื่องที่กระทั่งสี่สำนักก็ยังจัดการไม่ได้ ถ้ากระหม่อมไม่ฝากความหวังเอาไว้กับความสามารถของเต้าเหยี่ยแล้วจะไปฝากความหวังกับผู้ใดล่ะพ่ะย่ะค่ะ? หากไปหากองกำลังอื่นเข้ามาแทรกแซง เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงจะคัดค้านเป็นคนแรก!”

“เต้าเหยี่ยคนนี้มีความสามารถที่พลิกแพลงหลากหลาย หากปล่อยให้เร้นกายอยู่ในหุบเขาไม่ใช้ความสามารถก็ออกจะน่าเสียดายเกินไป ใต้หล้าไร้ความสงบ อีกทั้งเขาก็เข้ามาพัวพันอยู่ในความขัดแย้งแต่แรกแล้ว จะซ่อนตัวไปได้อีกนานแค่ไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ช้าเร็วก็ต้องออกมาแก่งแย่งกับยอดคนในใต้หล้าอยู่ดี ในใจเต้าเหยี่ยเองก็ทราบชัดเจนดี มิเช่นนั้นคนอย่างเขาไม่มีทางถูกคำพูดของพวกเราชักจูงได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ สรุปคือยังคงเป็นเขาที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง…ท่านหญิง ต้องเชื่อมั่นในตัวเต้าเหยี่ยนะพ่ะย่ะค่ะ!”

……………………………………………………………..