“ไม่มีอะไร ฉันกำลังคุยกับคุณวารุณีน่ะ ใช่ไหมคะคุณวารุณี?”นวิยายิ้มแล้วมองวารุณี
วารุณีมองการเตือนเล็กน้อยจากสายตาเธอออก
วารุณีไม่รู้ว่าทำไมนวิยาไม่เอาเนื้อหาที่พูดคุยกันพูดออกมา และยังไม่ให้เธอพูด
แต่ก็ไม่สนใจ เธอแค่รู้ว่านวิยาผู้หญิงคนนี้ น่าสงสัยมาก
คิดไป วารุณีก็ละสายตาลง ปกปิดความหมองหม่นในดวงตา“คุณนวิยาพูดถูกค่ะ พวกเรากำลังคุยกันอยู่”
“เหรอ?”นัทธีไม่สงสัยคำพูดของเธอ เก็บโทรศัพท์ไป
นวิยาไปคล้องแขนของเขาอีกครั้ง“นัทธี คุณเพิ่งคุยโทรศัพท์กับใครเหรอ?”
“บริษัทโทรมา พรุ่งนี้เช้ามีประชุม”ริมฝีปากบางๆของนัทธีขยับตอบกลับเล็กน้อย จากนั้นเอามือของเธอ ออกไปจากแขน“โอเคนวิยา สายมากแล้ว พวกเราควรจะไปแล้ว”
พูดไป เขาก็หยิบกุญแจรถออกมายื่นให้วารุณี“คุณไปรอผมในรถ ผมจะส่งนวิยากลับห้องคนไข้แล้วมา”
วารุณีมองกุญแจรถตรงหน้า ที่จริงไม่อยากรับไว้ แต่จากนั้นพอคิดถึงความสงสัยภายในใจ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถหยั่งเชิงได้ จึงยื่นมือไปรับ
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปรอคุณในรถ”ขณะที่วารุณีรับกุญแจรถมา ก็เอาปลายนิ้วกวาดที่ฝ่ามือของนัทธีเหมือนไม่มีอะไร จากนั้นสายตาก็มองสำรวจนวิยาอย่างคลุมเครือ
เธออยากดูว่านวิยาเห็นเธอ‘ยั่วยวน’นัทธี จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
อย่างไรก็ตามนวิยากลับทำเหมือนไม่เห็นการกระทำของเธอ ใบหน้าไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ ยังคงรักษารอยยิ้มที่อ่อนโยนไว้
ทำให้วารุณีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพ่ายแพ้
ที่จริงเธอคิดว่า ถ้านวิยาเป็นNคนนั้น ลงมือจัดการเธอ เพราะว่าเธอใกล้ชิดกับนัทธี งั้นถ้าตอนนี้เห็นเธอ‘ยั่วยวน’นัทธี ก็จะต้องเปิดเผยข้อบกพร่องออกมาแน่
น่าเสียดายที่แผนของเธอล้มเหลว ดูเหมือนความคิดของนวิยา ลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้
นัทธีไม่รู้แผนการในใจของวารุณี เขามองฝ่ามือของตัวเองด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง มองดูสักพัก จึงเอามือวางลง พูดกับวารุณีด้วยน้ำเสียงที่แสนอบอุ่น:“รีบไปเถอะ”
“อือ”วารุณีตอบกลับ แล้วจึงมองนวิยาอีกครั้ง จากนั้นหันกลับออกไป
ไม่ว่านวิยาจะเป็นNหรือไม่ เธอก็ไม่สามารถผ่อนคลายความระวังตัวที่มีต่อนวิยาได้
นวิยาคนนี้ ไม่ธรรมดาเลย
วารุณีออกไปจากโรงพยาบาล เดินไปที่ลานจอดรถ หลังจากเจอรถของนัทธี ก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่ง
นั่งไม่นาน โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมา
โทรศัพท์นี้หลังเธอให้ปาจรีย์ช่วยซื้อ หลังจากที่เธอฟื้นมา แม้แต่ซิมโทรศัพท์ก็ทำใหม่ แต่เบอร์ยังไม่เปลี่ยน
วารุณีมองจอแสดงสองคำว่า‘นิรุตติ์’ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นอย่างดูไม่ดีนัก ในใจสงสัยว่าเขาโทรมาทำไม
แต่ก็ไม่คิดมาก ปลายนิ้วมือปาดไปที่หน้าจอ เอาไว้ข้างหูแล้วกดรับ“สวัสดีค่ะ ผู้อำนวยการนิรุตติ์ ”
“วารุณี ไม่เจอกันนานเลยนะ”เสียงที่ฟังดูแล้วเอ้อระเหยลอยชายของนิรุตติ์ดังเข้ามา
วารุณีลูบขมับ ตอบกลับไปอย่างเกรงใจว่า“ไม่เจอกันนานเลย”
หลงัจากครั้งที่แล้วที่ช่วยเขาจัดการคู่นัดบอด พวกเขาก็ไม่เจอกันอีก
นับดูแล้ว ก็เกือบจะครึ่งเดือนแล้ว
“ผู้อำนวยการนิรุตติ์หาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ?อยากให้ฉันตอบแทนบุญคุณเหรอ?”วารุณีหันคอที่แข็งแล้วถามไปว่า
นิรุตติ์ส่ายนิ้วชี้ที่เรียวยาวนั่น“ไม่ๆๆ บุญคุณให้คุณคืนเร็วอย่างนี้ไม่ได้หรอก ผมแค่มาบอกคุณว่า นัทธีกำลังสืบเรื่องเมื่อตอนนั้นอยู่”
“เรื่องไหน?”วารุณีขมวดคิ้ว ยังไม่ได้สติคืนมาในทันที
“แน่นอนว่าเมื่อห้าปีก่อน เรื่องคืนนั้นที่คุณกับเขาในโรงแรม”นิรุตติ์พูดด้วยรอยยิ้ม
วารุณีกลับยิ้มไม่ออก สีหน้าเปลี่ยนไปทันที มือที่จับโทรศัพท์ ก็กำแน่น“เขา……เขากำลังสืบเรื่องนั้น?”
จากความสามารถของเขาแล้ว จะต้องสืบได้ทันทีแน่
ถึงตอนนั้น ตัวตนของลูกทั้งสองคน ก็ไม่ใช่ว่าเก็บไม่อยู่แล้วเหรอ!
เหมือนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ นิรุตติ์ดันแว่นอย่างขี้เกียจ“อย่าห่วงเลย เขากำลังสืบเรื่องนั้นจริง แต่คุณวางใจเถอะ เขาสืบถึงคุณไม่ได้แน่”
“ทำไมล่ะ?”วารุณีขมวดคิ้วอย่างสงสัย
นิรุตติ์หาวออกมา“เพราะว่ามีคนลบกล้องวงจรปิดกับร่องรอยทั้งหมดในตอนนั้นไปแล้ว”
“ใคร?”วารุณีกัดริมฝีปาก
นิรุตติ์แสยะปากขึ้นมา“ไม่กี่คนหรอก แน่นอนว่า ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ได้ยินอย่างนั้น วารุณีก็โล่งใจ“งั้นก็ดี ขอบคุณนะคะผู้อำนวยการนิรุตติ์”
ไม่ว่าจุดประสงค์ที่เขาลบพวกนั้นไปนั้นเพื่ออะไร แต่สุดท้ายกลับเป็นอย่างที่เธอต้องการ ขอบคุณเขาสักคำก็สมควรแล้ว
“ขอบคุณน่ะไม่ต้องหรอก ผมก็ทำเพื่อตัวผมเอง ผมโทรมาบอกคุณเรื่องนี้ เพราะอยากให้คุณเตรียมใจ จะได้ไม่โดนเขามองอะไรออกได้”นิรุตติ์ส่ายมืออย่างไม่คิดอย่างนั้น
วารุณีพยักหน้า“ฉันรู้ ฉันไม่ให้เขาจับได้แน่ แต่ทำไมจู่ๆเขาก็จะสืบเรื่องนั้นล่ะคะ?”
“เพราะว่าฝ่ายพิชญาทำให้มันรั่วไหลไง”นิรุตติ์ยักไหล่
วารุณียิ่งฟังก็ยิ่งสับสน“นี่ทำไมถึงยังเกี่ยวกับพิชญาล่ะคะ?”
“นี่ก็ต้องพูดถึงเมื่อห้าปีก่อน ห้าปีก่อนนัทธีถูกวางยาตัวนั้น ถ้าไม่มีคุณ เขาอาจจะตายเพราะยานั้นได้ แต่วันถัดมาพอคุณไป หลังจากนัทธีตื่นมาก็พบคนที่อยู่ข้างๆเป็นพิชญา จึงเห็นพิชญาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้”
“ที่แท้ก็แบบนี้เอง……”วารุณีอ้าปากขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
ที่แท้นี่ก็เรียกว่าพระคุณที่ช่วยชีวิตไว้ของพิชญาที่มีต่อนัทธี
พิชญามาแย่งของที่เคยเป็นของเธอไปอีกแล้ว น่าตลกจริงๆ!
ในสาย เสียงของนิรุตติ์ยังพูดต่อ“จากนั้นตอนนี้นัทธีรู้แล้วว่าพิชญาผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเป็นตัวปลอม เป็นคนอื่นต่างหาก ดังนั้นจึงเริ่มสืบหา”
“ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณผู้อำนวยการนิรุตติ์ที่บอกพวกนี้กับฉันนะคะ”วารุณีถูแก้ม จัดการอารมณ์แล้วพูดขอบคุณ
นิรุตติ์หมุนเก้าอี้ทำงานอย่างชิลๆ“โอเค ที่ควรพูดผมก็พูดไปหมดแล้ว ที่เหลือคุณก็ระวังเองละกัน แล้วก็ครึ่งเดือนที่ผ่านมาผมเคยบอกคุณว่าจะพาไปที่หนึ่ง คุณยังจำได้ไหม?”
“จำได้ค่ะ”วารุณีพยักหน้า
“งั้นก็ดี อีกสองวันผมจะมารับคุณ”พูดจบ นิรุตติ์ก็วางสาย
“ฮัลโหล?ฮัลโหล?”ที่จริงวารุณียังอยากถามเขาว่าจะพาเธอไปที่ไหน คิดไม่ถึงว่าจู่ๆเขาจะวางสายไปเร็วอย่างนี้
“คุณกำลังคุยกับใคร?”นัทธีเปิดประตูรถแล้วเข้ามานั่งในรถ มองเห็นวารุณีจ้องโทรศัพท์ ด้วยท่าทางหดหู่
สายตาวารุณีสั่นคลอน วางโทรศัพท์แล้วส่ายหน้า“เพื่อนของฉันคนหนึ่งที่ต่างประเทศค่ะ ไม่เจอกันนานแล้ว เมื่อกี๊โทรมาพูดคุยเล็กน้อย”
“เหรอ?”นัทธีมองอาการร้อนตัวของเธอไม่ออก เงยคางขึ้น แล้วสตาร์ทรถ
กลับไปที่อพาร์ทเม้นท์ ฟ้าก็มืดลงแล้ว
วารุณีหยิบคีย์การ์ดออกมา เปิดประตูออกไป ลูกสองคนได้ยินก็เข้ามาทักทาย ทั้งคู่กอดขาของเธอไว้“หม่ามี๊ ในที่สุดหม่ามี๊ก็กลับมาซะที ทำไมดึกขนาดนี้ล่ะ พวกเราหิวแล้ว”
วารุณีหันไปมองนัทธี“ประธานนัทธี เรื่องของฉัน คุณไม่ได้บอกพวกเขาใช่ไหมคะ?”
นัทธีส่ายหน้าเล็กน้อย“เปล่า”
“ขอบคุณค่ะ”วารุณีโล่งอก พูดขอบคุณ
อารัณหรี่ดวงตาคู่นั้นที่เหมือนกับนัทธีด้วยความสงสัย“หม่ามี๊ หม่ามี๊กำลังคุยอะไรกับพ่อเหรอ อะไรไม่บอกพวกเราเหรอ?”
“ไอริณก็อยากรู้ค่ะ”ไอริณเอียงหัวเล็กๆ พูดอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
วารุณีได้ยินคำเรียกที่พวกเขาเรียกนัทธี มุมปากก็กระตุก
ตั้งแต่สามวันก่อน ลูกทั้งสองก็เริ่มเรียกนัทธีว่าพ่อแล้ว ไม่ว่าเธอจะแก้อย่างไรพวกเขาก็ไม่เปลี่ยน
ทำให้เธอหมดหนทางสุดๆ