ตอนที่ 251 เว่ยเซียงเสี่ยวซือเตี้ยน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 251 เว่ยเซียงเสี่ยวซือเตี้ยน

หลินม่ายรออยู่ใต้ต้นมะเดื่อนอกชุมชนประมาณไม่ถึงสิบนาที ทันใดนั้นก็เห็นว่าเฉินเฟิงกำลังก้าวยาว ๆ ตรงมาหาเธอ

ยังไม่ทันที่เขาจะเดินเข้ามาใกล้ ก็อ้าปากถามมาแต่ไกลว่า “เธอมีปัญหาอะไรเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ปัญหาน่ะมีจริง ๆ แหละ แต่คนที่มีปัญหาไม่ใช่ฉัน เป็นคุณต่างหาก!”

เฉินเฟิงขมวดคิ้ว ถามอย่างระมัดระวัง “ฉันเนี่ยนะที่มีปัญหา?”

หลินม่ายลดระดับเสียงลง โน้มตัวเข้าไปกระซิบใกล้หูเขา “คืนนี้ทางสำนักงานเขตจะออกปฏิบัติการปราบปรามแบบสายฟ้าแลบ เพื่อกวาดล้างพวกที่ตระเวนเก็บค่าคุ้มครอง บอกลูกน้องของคุณว่าคืนนี้อย่าออกไปไหน และอย่าพกอาวุธเด็ดขาด!”

สีหน้าของเฉินเฟิงจริงจังมากขึ้น “ข่าวนี้เชื่อถือได้แค่ไหน?”

หลินม่ายพยักหน้า “เชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณสามารถจัดการได้เลย”

หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เขาก็พูดเสริมขึ้นมา “สามวันหลังจากนี้ ประมาณสามทุ่ม ออกมาเจอกันที่ถนนเจียงฮั่นหน่อย ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ” หลังจากพูดจบเขาก็รีบเดินจากไป

พอหลินม่ายกลับไปที่ร้านอาหาร ฟางจั๋วหรานรีบถามด้วยความกังวล “ผู้อำนวยการเขตเขาต้องการให้คุณทำอะไรเหรอ?”

ปกติแล้วเขาไม่ค่อยตั้งคำถามเกี่ยวกับธุระส่วนตัวของแฟนสาว แต่เนื่องจากผู้อำนวยการเขตเจาะจงตามหาหลินม่าย ทำให้เขาอดกังวลไม่ได้ว่าเธออาจกำลังประสบปัญหา จึงถามออกไปแบบนั้น

หลินม่ายยิ้มตอบ “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรค่ะ เขาแค่เสนอให้ฉันทำสัญญาการค้ากับตลาดสดบนถนนเจี่ยเฟิง”

ฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

โจวฉายอวิ๋นเข้าครัวทำอาหารมื้อใหญ่เป็นการฉลองเนื่องในโอกาสที่หลินม่ายสอบเข้าชั้นมัธยมปลาย ทุกคนจึงกินอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย

หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฟางจั๋วหรานก็นั่งพักสักครู่ก่อนจะขอตัวจากไป วันพรุ่งนี้เขาต้องออกเดินทางแล้ว ดังนั้นจึงต้องกลับไปเตรียมสัมภาระให้พร้อม

หลังอาบน้ำเสร็จ หลินม่ายนั่งลงที่โต๊ะ มองแสงแดดสว่างจ้านอกหน้าต่างด้วยความกระสับกระส่าย

เธอนึกกังวลเกี่ยวกับเฉินเฟิงและบรรดาลูกน้องของเขา ไม่รู้ว่าเฉินเฟิงจะกระจายข่าวสั่งห้ามลูกน้องของตัวเองจนรู้ทั่วกันหมดทุกคนหรือไม่

ถ้ามีสักคนหลุดรอดออกไป จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนคนนั้นถูกจับกุมในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ออกปราบปรามแบบสายฟ้าแลบ แล้วให้การสารภาพซัดทอดไปถึงเขา?

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เฉินเฟิงกับหลินม่ายแยกย้ายกันแล้ว เขาก็กลับไปที่ถงจือโหลว ออกคำสั่งให้หัวหน้าทุกคนพาลูกน้องของตัวเองกลับมารวมตัวที่สำนักงานใหญ่บนถนนจ้วงหยวนทันที ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกเก็บค่าคุ้มครองในคืนนี้

แค่ใครสักคนไม่ยอมทำตามคำสั่ง อาจส่งผลให้พวกเขาถูกเล่นงานยกแผง

นอกจากนั้ เขายังกำชับห้ามไม่ให้ทุกคนปล่อยให้ข่าวนี้รั่วไหล

ถึงแม้บรรดาลูกน้องจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะความไว้วางใจและความเชื่อฟังในคำสั่งของเฉินเฟิง พวกเขาจึงกระจายคำสั่งนี้ออกไปอย่างไม่รอช้า

เหลียนเฉียวไม่เคยเห็นเฉินเฟิงเคร่งเครียดถึงขนาดนี้มาก่อน ทันทีที่หล่อนพาลูกน้องของตัวเองกลับไปถึงฐานที่มั่น ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะเจ้านาย ทำไมจู่ ๆ ถึงได้เรียกรวมคนแบบนี้?”

เฉินเฟิงเหลือบมองหล่อนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เธอกลายเป็นคนช่างถามตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เหลียนเฉียวหุบปากฉับทันที อดคิดในใจไม่ได้ว่าคำสั่งของเฉินเฟิงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนี้ ต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลินม่ายเป็นแน่

ไม่รู้ว่าเพราะเธอกังวลเรื่องความปลอดภัยของเฉินเฟิง หรือตื่นเต้นที่วันนี้จะได้ออกไปเที่ยวกันแน่ เช้าวันถัดมา หลินม่ายตื่นนอนก่อนตีห้าครึ่งเสียอีก

พอเดินลงไปชั้นล่าง โจวฉายอวิ๋นกำลังสาละวนอยู่กับงานที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน

เมื่อหันมาเห็นหลินม่ายก็ถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมถึงได้ตื่นเช้าจังล่ะ ไม่นอนให้นานกว่านี้อีกหน่อยเหรอ?”

ยิ่งมองใกล้ ๆ ยิ่งเห็นชัดว่าผิวหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร “เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ? ทำไมหน้าตาถึงดูหมองคล้ำอย่างนั้น?”

“หน้าฉันมีรอยคล้ำเหรอ? ไม่จริงน่า” หลินม่ายเริ่มประหม่า

ถึงเมื่อคืนเธอจะนอนหลับไม่สนิท แต่ก็นอนครบแปดชั่วโมงตามตำรา ดังนั้นใต้ตาของเธอจึงไม่ควรมีรอยคล้ำ

เธอรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อส่องกระจก ถึงแม้ผิวหน้าจะหมองลงนิดหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่มีรอยคล้ำใต้ดวงตา จึงถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก

ทันทีที่หลินม่ายตื่นนอน สิ่งแรกที่กังวลคือเรื่องของเฉินเฟิง

ไม่รู้ว่าแผนปฏิบัติการสายฟ้าแลบเมื่อคืนนี้จะถูกตีพิมพ์ลงในหน้าหนังสือพิมพ์ของวันนี้หรือเปล่า

ตราบใดที่หนังสือพิมพ์นำเสนอข่าวนี้ เธอก็น่าจะรู้ว่าเฉินเฟิงปลอดภัยจริงไหม

พอคิดได้แบบนั้นก็รีบร้อนออกไปข้างนอกทันที

โจวฉายอวิ๋นถาม “เธอออกไปไหนแต่เช้า?”

หลินม่ายตอบกลับเบา ๆ “ฉันอยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เลยว่าจะออกไปซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่าน”

โจวฉายอวิ๋นชี้ไปที่นาฬิกาแขวนผนัง “ตอนนี้ยังไม่หกโมงเลย แผงขายหนังสือยังไม่เปิดด้วยซ้ำ เธอจะไปหาหนังสือหนังสือพิมพ์จากที่ไหน?”

“ลองออกไปดูก่อน ถ้าแผงขายหนังสือเปิดเร็วขึ้นมาล่ะ?”

หลินม่ายเดินออกไปได้ไม่นานก็เดินย้อนกลับมามือเปล่าเพราะแผงขายหนังสือยังไม่เปิดจริงอย่างที่ว่า

ระหว่างนั้นเธอเห็นว่าบ้านของป้าหูที่ปิดไฟมืดอยู่ในตอนแรกที่เธอออกไป ตอนนี้กลับเปิดไฟสว่างไสวจนเห็นบรรยากาศภายใน

พ่อครัวหลายคนกำลังลงมือนวดแป้ง หั่นต้นหอม สับต้นหอม… ทุกคนที่อยู่ในร้านดูวุ่นวายไปหมด

หลินม่ายรู้สึกแปลกใจ ป้าหูไม่ได้ปิดกิจการไปแล้วหรอกเหรอ ทำไมถึงได้กลับมาเปิดร้านเร็วแบบนี้?

หรือว่าหน้าร้านของหล่อนหาผู้เช่าได้แล้ว?

เธอเดินเฉียดเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เห็นว่ามีป้ายหนึ่งแขวนไว้เหนือประตูบ้านของป้าหู

บนแผ่นป้ายเขียนอักษรห้าตัวที่มองแล้วสะดุดตา ‘เว่ยเซียงเสี่ยวซือเตี้ยน’

หลินม่ายมีสายตาเฉียบแหลม ถึงตัวจะยืนอยู่นอกประตูร้าน แต่กลับมองเห็นรายการอาหารที่ติดอยู่ตามผนังร้านได้อย่างชัดเจน

เมนูอาหารเช้าในรายการนั้นไม่ได้มีบางส่วนที่เหมือนกันกับร้านของเธอ แต่กลับเหมือนเปี๊ยบทุกรายการ

หลินม่ายอดขมวดคิ้วไม่ได้

หรือเจ้าของร้านรายใหม่คนนี้ต้องการจะขัดฮวงจุ้ยกับเธอกัน?

สมัยที่ป้าหูเปิดร้านเอง หล่อนมักจะมีปัญหาขัดแย้งกับเธออยู่เสมอ ไม่ว่าเธอจะขายอะไรก็ตาม ป้าหูจะต้องขายลอกเลียนแบบทุกครั้งไป

ตอนนี้เจ้าของร้านถูกเปลี่ยนมือแล้ว แต่รายการอาหารก็ยังคงลอกเลียนแบบเธอเหมือนเดิม แถมยังเลือกขายอาหารเช้าเหมือนกันอีก คงไม่ใช่เพราะป้าหูยุยงส่งเสริมหรอกนะ

ในขณะที่เธอกำลังคาดเดาไปต่าง ๆ นานา หญิงสาวรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นก็เดินออกมาจากห้องครัว

ทั้งสองต่างชะงักมองสบตากันโดยบังเอิญ

หลินม่ายจำสาวสวยคนนี้ได้ หล่อนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวังหรง

ส่วนหวังหรงเองก็จำเธอได้เช่นเดียวกัน

ถึงแม้หวังหรงกับตู้กวงฮุยไม่ได้ตั้งใจจะออกหน้าโดยตรง แต่ในฐานะที่เป็นเถ้าแก่ พวกเขาก็ยังต้องมาบริหารจัดการร้านด้วยตัวเอง ไม่สามารถทิ้งพนักงานให้ดูแลร้านกันเองได้ เพื่อป้องกันปัญหาลูกน้องเล่นไม่ซื่อ

อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันเปิดร้านวันแรก ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ลงมาดูกิจการด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ นี่เพิ่งจะตีห้ากว่า ๆ ซึ่งถือว่าเช้ามาก หล่อนคิดว่ายังไงก็คงไม่ได้เจอหน้าหลินม่ายแน่ ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ จะเจอกับอีกฝ่ายเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว

โลกช่างกลมอะไรขนาดนี้?

ทันใดนั้นหลินม่ายก็เข้าใจกระจ่างแจ้งทันทีว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

ฟางจั๋วหรานต้องออกเดินทางโดยรถไฟในเวลาหกโมงครึ่ง เขาจึงแวะมาที่ร้านของเธอแต่เช้าพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ที่บรรจุสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทางไว้บนหลัง

พอเห็นว่าหลินม่ายหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหารของป้าหูและเอาแต่มองเข้าไปข้างใน เขาก็ตะโกนถามจากระยะไกล “คุณมองอะไรอยู่เหรอ?”

หวังหรงได้ยินเสียงของฟางจั๋วหราน ก็รีบวิ่งกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในครัวด้วยความตกใจ

หล่อนไม่อยากให้ฟางจั๋วหรานเห็นตัวเองอยู่ที่นี่ เพราะเขาต้องคาดเดาจุดประสงค์ของหล่อนออกอย่างแน่นอน แล้วไม่พ้นสั่งสอนบทเรียนให้หล่อนชุดใหญ่

หลินม่ายตอบกลับเสียงดังอย่างจงใจ “ฉันเห็นลูกพี่ลูกน้องของคุณมาเช่าร้านตรงนี้น่ะค่ะ สงสัยคงจงใจจะเปิดร้านแข่งกับร้านฉัน”

ยิ่งหวังหรงพยายามหลบซ่อนเท่าไร เธอก็ยิ่งอยากลากหล่อนออกมาเฆี่ยนตีในที่แจ้ง

ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะชำเลืองมองเข้าไปในบ้านของป้าหู แต่ไม่เห็นว่าหวังหรงอยู่ในร้าน

เขาลูบศีรษะหลินม่ายอย่างอ่อนโยน “ผมบอกคุณนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ว่าผมไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนั้น หยุดเรียกหล่อนว่าลูกพี่ลูกน้องของผมเสียที ไม่ต้องกลัวนะ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้หญิงคนนั้นจ้องจะเล่นงานคุณ ผมนี่แหละจะเป็นคนเล่นงานหล่อนก่อน!”

หวังหรงที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้ยินแบบนั้น

หล่อนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องวิ่งออกไปเผชิญหน้า กัดฟันอธิบายกับฟางจั๋วหราน “ฉัน… ฉันไม่ได้จ้องจะแข่งขันกับหลินม่ายซะหน่อย เพื่อนของฉันเปิดร้านที่นี่พอดี ฉันก็เลยแวะมาดู”

ตู้กวงฮุยได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากหน้าประตูร้าน เขาจึงเดินออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ถึงหวังหรงจะกดระดับเสียงลงต่ำ แต่เขาก็ได้ยินคำพูดของหล่อนอย่างชัดเจน ใบหน้าของเขามืดมนลงทันที

มิน่าล่ะหวังหรงถึงได้รบเร้านักหนาว่าอยากเช่าหน้าร้านของป้าหู มิน่าล่ะหล่อนถึงได้ยืนกรานว่าจะขายอาหารแบบเดียวกับที่ร้านเปาห่าวซือซึ่งอยู่ติดกันมีขาย

ที่แท้หล่อนแค่อยากเปิดร้านอาหารตรงนี้ก็เพื่อแข่งขันทางธุรกิจกับร้านเปาห่าวซือนี่เอง

หล่อนเอาเปรียบเขาเกินไปหรือเปล่า? หล่อนหยิบยืมเงินของเขาเพื่อเปิดร้านร้านนี้ แต่กลับไม่ยอมให้เกียรติพูดถึงชื่อของเขาเลย แถมยังบอกลูกพี่ลูกน้องของตัวเองว่าเขาเป็นแค่เพื่อน!

ไม่ใช่แค่ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนที่มองหล่อนเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์ แม้แต่เขาเองก็เห็นด้วย!

ทั้งหลินม่ายและฟางจั๋วหรานเห็นตู้กวงฮุยเดินออกมา แต่ไม่มีใครให้ความสนใจเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินกลับเข้าร้านเปาห่าวซือไป

หวังหรงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันทีที่หันกลับมาแล้วเห็นว่าตู้กวงฮุยยืนอยู่ตรงนั้น หล่อนก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “คุณออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เมื่อกี้นี้เอง”

หวังหรงยิ่งกระวนกระวายใจมากกว่าเดิม อยากถามเหลือเกินว่าแล้วเมื่อกี้เขาได้ยินอะไรบ้าง แต่กลับไม่กล้าถามออกไป

หล่อนกลัวว่าเขาอาจไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่พอถามออกไปแล้ว กลายเป็นว่ายิ่งทำให้เขารู้สึกสงสัยมากขึ้น แล้วแอบไปถามฟางจั๋วหรานลับหลังว่าเมื่อกี้นี้หล่อนพูดคุยอะไรกับเขาบ้าง

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาต้องรู้ปมความขัดแย้งระหว่างหล่อนกับหลินม่ายทั้งหมดแน่ ๆ

แล้วหลังจากนั้นเขาก็จะรู้ตัวทันทีว่าตัวเองถูกหลอกใช้

หล่อนลอบสังเกตสีหน้าของตู้กวงฮุย เห็นว่าท่าทางของเขายังคงสงบนิ่ง จึงคิดในใจว่าเขาอาจไม่ได้ยินอะไรเลยก็ได้

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เหมือนยิ่งพยายามกำจัดหลินม่าย ตัวเองยิ่งแพ้นะนังหรง ไม่ต้องห่วงว่าหุ้นส่วนจะได้ยินหรือเปล่าหรอกค่ะ เขาได้ยินหมดทุกคำพูดแล้วอะ

ไหหม่า(海馬)