ตอนที่ 250 สิ้นสุดการสอบเข้าชั้นมัธยมปลาย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 250 สิ้นสุดการสอบเข้าชั้นมัธยมปลาย

ในที่สุดวันสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายก็มาถึง

วันแรกของการสอบ ฟางจั๋วหรานเอาสูตรอาหารที่ช่วยบำรุงระหว่างสอบให้กับโจวฉายอวิ๋น ซึ่งหล่อนก็เตรียมอาหารทั้งสามมื้อตามสูตรอาหารที่ได้รับมาจากคุณหมอฟาง

ในวันสอบ หลินม่ายมานั่งอยู่บนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นชั้นสอง

เมื่อมองอาหารที่โจวฉายอวิ๋นทำให้ตามสูตรของแฟนหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ฉันรู้ว่ามันเป็นอาหารสำหรับไปสอบ แต่ถ้าไม่บอกก็คิดคงว่าเป็นอาหารบำรุงหลังคลอด นี่มันมากไปหรือเปล่า?”

โจวฉายอวิ๋นมองคนเตรียมสอบด้วยสายตาว่างเปล่า “แม่หลังคลอดเขายังไม่กินดีขนาดนี้เลยมั้ง ถ้าเธอไม่ผ่านการสอบครั้งนี้คงไม่ได้เสียใจคนเดียวแล้ว แต่เป็นทั้งฉันทั้งอาจารย์ฟางด้วย”

ฟางจั๋วหรานหันมามองหล่อนทันทีแล้วรีบปราม “อย่าไปกดดันม่ายจื่อสิ”

โจวฉายอวิ๋นแลบลิ้นใส่อย่างหมั่นไส้แล้วหนีลงไปชั้นล่าง

หลังจากกินมื้อเช้าแสนอร่อยด้วยกันแล้ว ฟางจั๋วหรานก็พาหลินม่ายไปสอบโดยมีโต้วโต้วไปด้วย

พอไปถึงหน้าห้องสอบ หญิงสาวไม่ได้สนิทกับเพื่อนในห้องเท่าไรจึงไม่ได้เข้าไปยืนรวมกับพวกเขา เพียงหลบอยู่มุมหนึ่งที่ไม่ได้สะดุดตาอะไรนัก

เธอไม่ได้เข้าไปยืนรวมกลุ่มจนกว่าอาจารย์เหวยจะเริ่มเรียกรวมพลและเช็กชื่อ

ว่านฮุ่ยมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นร่างบางของหลินม่ายก็คิดว่าเธอคงไม่มาและแอบดีใจกับตัวเอง

ถ้ามาสอบสายก็จะเข้าห้องสอบไม่ได้และถือว่าสละสิทธิ์

แต่ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อเห็นว่าเธอปรากฏตัว หล่อนก็รู้สึกผิดหวังมาก

วิชาแรกในตอนเช้าคือภาษาจีน ซึ่งไม่ได้ยากเกินไปนัก ทันทีที่การสอบ 2 ชั่วโมงสิ้นสุดลง หลินม่ายก็ออกจากห้องแล้วออกไปหาฟางจั๋วหรานและโต้วโต้ว

เขาไม่ได้ถามเธอว่าการสอบเป็นอย่างไร แต่หลินม่ายก็รู้สึกว่าการสอบภาษาจีนค่อนข้างน่าพอใจ

เธอกลัวว่าจะพลาดการสอบคราวนี้ แต่ตราบใดที่ทำคะแนนภาษาจีนได้ดีก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาในวิชาต่อ ๆ ไป

ในช่วงบ่ายเป็นการสอบวิชาคณิตศาสตร์

หลินม่ายยิ้มเมื่อเห็นข้อสอบ

โจทย์ที่ได้รับมาค่อนข้างยาก

แต่ยิ่งยากก็ยิ่งดี คณิตศาสตร์เป็นจุดแข็งของเธอ ถ้าทำการสอบวิชานี้ได้ดีในขณะที่คนอื่นทำได้น้อยก็จะช่วยให้คะแนนของเธอโดดเด่น

หลินม่ายใช้เวลาทำข้อสอบคณิตศาสตร์ประมาณ 70 นาที จาก 90 นาที ทำให้มีเวลาไม่น้อยในการตรวจทานอีกครั้ง

หลังรู้สึกว่านั่งรอต่อไปก็ไม่ได้คะแนนเพิ่มมา หลินม่ายจึงส่งกระดาษคำตอบแล้วออกจากห้องไป

ว่านฮุ่ยและหลินม่ายอยู่ในห้องสอบห้องเดียวกัน ซึ่งวิชาคณิตศาสตร์เป็นจุดอ่อนของหล่อน

มันยากมากสำหรับหล่อนจนต้องเกาศีรษะอยู่นาน เมื่อเห็นว่าหลินม่ายส่งกระดาษคำตอบแล้วลุกออกไปก่อน หล่อนก็ยิ่งตื่นตกใจจนเกิดอาการสับสน

หล่อนยังทำข้อสอบไม่เสร็จ จนกระทั่งเสียงสัญญาณบอกหมดเวลาดังขึ้น

ผู้คุมสอบขอให้หล่อนวางข้อสอบไว้บนโต๊ะและออกจากห้องสอบ แต่ว่านฮุ่ยปฏิเสธที่จะออกจากห้องแล้วคิดต่อไปอย่างหนัก

ผู้คุมสอบจึงเตือนหล่อนด้วยความไม่พอใจ “ถ้ายังไม่ยอมออกไป วิชานี้จะได้ 0 คะแนนนะนักเรียน”

ว่านฮุ่ยไม่มีทางเลือกนอกจากยอมออกไปแล้วไปตรวจคำตอบกับเพื่อน ๆ

ยิ่งคุยไปก็ยิ่งใจเสีย คำตอบของหล่อนต่างจากเพื่อนที่เก่งคณิตศาสตร์ในห้องอยู่มาก

หล่อนต้องสอบตกวิชาคณิตศาสตร์แน่ ๆ

ว่านฮุ่ยกลับมาสอบวิชาต่อไปด้วยความกังวลใจ พลางคิดว่าตอนนี้น่าจะต้องตกวิชาคณิตศาสตร์แล้วแน่ ๆ จะทำอย่างไรถ้าไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนเทคนิคที่เลือกไว้

ความกดดันนี้มีผลต่อการสอบวิชาที่เหลือ จนทำให้ทำข้อสอบได้แย่กว่าเวลาปกติในทุกวิชา

ส่วนหลินม่ายส่งคำตอบก่อนหมดเวลาในทุกวิชาทั้งหมดที่เหลือ

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปี เธอไม่อยากให้ฟางจั๋วหรานและลูกสาวต้องคอยนานท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว

หลังจากการสอบวิชาสุดท้ายจบลงก่อนเวลา คุณหมอหนุ่มที่รออยู่ก็เริ่มถามแฟนสาวว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนดี

ถึงจะไม่สามารถไปเที่ยวไกล ๆ ได้เพราะมีเวลาแค่สามวัน แต่ก็ยังมีเวลาพอไปตามจุดชมวิวต่าง ๆ รอบเมืองเจียงเฉิงได้

เมื่อชาติที่แล้วหลินม่ายเคยอยากไปที่เสินหนงเจี้ย* เธอเลยเสนอให้เขาพาไปที่นั่น

*神农架 เสินหนงเจี้ย สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในมณฑลหูเป่ย

แน่นอนว่าฟางจั๋วหรานต้องเห็นด้วยกับความคิดนั้น

เมื่อกลับมาที่ร้านก็พบว่าชายที่เคยมากับผู้อำนวยการเขตก่อนหน้านี้มานั่งรออยู่ในร้าน

เมื่อเขาเห็นว่าหลินม่ายมาถึงแล้วก็รีบเข้ามาหาและบอกหลินม่ายว่าผู้อำนวยการเขตต้องการพบเธอ

หลินม่ายจึงรีบตามเขาไปที่สำนักงานเขต

เมื่อไปถึงห้องทำงานของผู้อำนวยการเขต ก็พบว่าเขาได้ไปศึกษาเรื่องข้อเสนอที่เธอเคยขอเอาไว้แล้ว และทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะทำตามเงื่อนไขของหลินม่ายได้

เขาจัดแจงเอาเอกสารสัญญาให้เธอลงชื่อ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วเพื่อให้สามารถเริ่มงานที่ตลาดสดบนถนนเจี่ยเฟิงได้ทันที

หลินม่ายแอบคิ้วกระตุก เรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

แต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรออกไป เพียงแค่ลงชื่อในสัญญาตามที่ตกลงกัน

ในตอนนั้นเองที่มีเจ้าหน้าที่อีกคนเดินเข้ามา เขามองมาที่หลินม่าย

เธอรู้ว่าเขามีเรื่องต้องคุยกับผู้อำนวยการเขต และไม่อยากให้เธอได้ยิน

หญิงสาวจึงยืนขึ้นด้วยท่าทางเป็นทางการ กล่าวอำลาอีกฝ่ายแล้วออกจากห้องไป

แต่เดินไปได้ไม่เท่าไรก็พบว่าตัวเองลืมกุญแจไว้ที่ห้องทำงานเมื่อครู่ เลยต้องจำใจกลับเข้าไปอีกครั้ง

ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ได้ยินเสียงชายวัยกลางคนดังลอดออกมาจากข้างใน

“คืนนี้เราจะให้ตำรวจนำกำลังเข้าไปจัดการอย่างเด็ดขาดกับพวกอันธพาลเก็บเงินค่าคุ้มครอง นี่มันยุคไหนแล้วยังจะมาตั้งตัวเป็นใหญ่เก็บเงินค่าคุ้มครองอีก มันต้องจัดการ”

หลินม่ายคล้ายกับถูกบีบรัดในอก ค่อย ๆ ถอยกลับอย่างเงียบเชียบไปที่บันได เดินลงไปชั้นล่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อไปถึงประตู ก็แสร้งทำเป็นนึกขึ้นได้ว่าลืมกุญแจไว้ในห้องทำงาน

เธอตรงกลับไปยังห้องทำงานของผู้อำนวยการเขตอีกครั้งอย่างรีบร้อน หลังจากที่เจ้าหน้าที่คนนั้นออกไปแล้ว ก่อนเอ่ยอย่างเขินอาย “ขอโทษค่ะ เหมือนฉันจะลืมกุญแจเอาไว้”

ผู้อำนวยการเขตยิ้มแล้วหยิบกุญแจพวงหนึ่งขึ้นมา “อันนี้ใช่ไหม ผมว่าแล้วว่าต้องเป็นของคุณ”

“ของฉันเองค่ะ ขอบคุณนะคะ” หลินม่ายรับกุญแจกลับมา แล้วรีบจากไปโดยไม่ลืมกล่าวลาด้วยความเคารพอีกครั้ง

ทันทีที่ออกจากสำนักงานเขต หลินม่ายก็ตรงไปหาเฉินเฟิงเพื่อบอกเรื่องทั้งหมดกับเขา

เธอไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ที่ไหน เลยตั้งใจจะไปหาลูกน้องของเขาแล้วบอกให้พาไปพบเจ้าตัว

หญิงสาววิ่งมาถึงตลาดมืด มองไปรอบ ๆ ก็ไม่เจอลูกน้องของเฉินเฟิงสักคน เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าอย่างกระวนกระวายใจ

แต่อยู่ ๆ ก็มีแรงสะกิดจากทางด้านหลัง

ทำให้หลินม่ายรีบหันหน้ากลับไปตามทิศทางนั้นและได้เจอว่าเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเฉินเฟิง

แค่เห็นเขา เธอก็ตื่นเต้นจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา

เมื่อเห็นอาการของหญิงสาว ลูกน้องของเฉินเฟิงก็ตกใจขึ้นมา “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

เธอไม่ตอบคำถาม แต่เอ่ยเร่งเขาแทน “รีบพาฉันไปหาพี่เฟิงที เดี๋ยวนี้เลย เร็ว”

พี่เฟิงบอกเขาไว้ว่าถ้าหลินม่ายขอความช่วยเหลือต้องช่วยทันที

และถ้าหลินม่ายต้องการเจอพี่เฟิง ให้รีบพาไปหา

ที่ห้องแห่งหนึ่งในอาคารถงจือโหลว* เฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและนิ่งฟังสิ่งที่ลูกน้องเล่าอย่างเคร่งเครียด

* 筒子楼 ถงจือโหลว อาคารที่อยู่อาศัยรวมเป็นตึกสูงแบบคลาสสิกของจีน จุคนได้หลายครัวเรือน

ลูกน้องคนนั้นมีสีหน้าเป็นกังวลเช่นกัน “พวกเจ้าหน้าที่กำลังปราบปรามผู้มีอิทธิพลหนักมาก ช่วงนี้ที่เมืองหลวงมีการประหารชีวิตอันธพาลที่ได้เกี่ยวข้องกับคดีพวกนี้ด้วย แค่สะสมเงินหมื่นก็ไม่รอดแล้ว ส่วนพวกเราที่นี่ หวงผีกับเถี่ยโถวไม่ได้สนใจคำเตือน พวกนั้นยอมเสี่ยงไปซื้อของอิเล็กทรอนิกส์ผิดกฎหมายมาจากแถว ๆ เมืองท่า ก็โดนจับไปหมดระหว่างทางกลับมาเจียงเฉิง ท่าทางจะไม่รอดเหมือนกัน”

หวงผีกับเถี่ยโถวเป็นหัวหน้ากลุ่มอันธพาลอีกสองคนที่เป็นที่รู้จักไม่แพ้เฉินเฟิง

การที่สองคนนั้นถูกจับไปสร้างความปั่นป่วนให้กลุ่มอันธพาลในพื้นที่เจียงเฉิงมาก

ลูกน้องอีกคนพูดขึ้นว่า “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ต่อไปถ้าเป้าหมายไม่เป็นเราแล้วจะเป็นใครได้”

เหลียนเฉียวแสดงความคิดเห็นขึ้น “ลูกพี่ เราล้างมือกันเถอะ เลิกทำงานนี้กันดีกว่า อันตรายเริ่มมากขึ้นทุกวัน ถ้ายังทำงานนี้ต่อ มีแต่จะหมดอนาคตแล้วต้องตกอยู่ในอันตรายอีก”

แม้มีเงินในครอบครองเพียง 10,000 หยวนก็ถูกประหารชีวิตได้ แต่เฉินเฟิงมีเงินอยู่ในมือตอนนี้หลายแสนหยวน ถ้าถูกจับอย่างไรก็คงไม่รอด

เฉินเฟิงเงยหน้ามองหญิงสาวด้วยดวงตาหงส์ “ล้างมือ? เธอมีแผนหรือเปล่า”

เขามีความคิดเรื่องจะล้างมือจากวงการมานานแล้ว แต่ยังไม่สามารถหาทางลงที่ดีให้ตัวเองกับพี่น้องได้เสียที

พอถูกถามแบบนั้นเหลียนเฉียวก็นิ่งไป เพราะหล่อนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงดี

ลูกน้องคนหนึ่งเริ่มเสนอว่า “ลูกพี่ แบ่งเงินกับพี่น้องทุกคน แล้วแยกย้ายหาทางออกกันเองดีไหม”

เฉินเฟิงยังคงเงียบ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะแบ่งเงินให้ทุกคน แต่พอต้องคิดว่านี่จะกลายเป็นการยุบกลุ่มเฮยหลงที่ตัวเองสร้างขึ้นมากับมือก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่อยากยอมรับ

มากไปกว่านั้น เหล่าพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันจะต้องกระเสือกกระสนเอาตัวรอดกันเองเหมือนถูกเขาทอดทิ้ง มันเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น

ไม่นานลูกพี่อย่างเฉินเฟิงก็ตอบออกมา “ขอฉันคิดเรื่องนี้อีกสองสามวันแล้วกัน”

ในตอนนั้นเองลูกน้องที่เป็นคนดูแลถนนเจียงฮั่นก็เคาะประตูแล้วพูดกับเฉินเฟิง “ลูกพี่ หลินม่ายมีเรื่องอยากคุยด้วยครับ”

ทั้งเฉินเฟิงและเหลียนเฉียวมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น

แตกต่างตรงที่เป็นความตกใจของคนแอบชอบกับศัตรูหัวใจที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

เฉินเฟิงเริ่มถาม “หล่อนรออยู่ที่ไหน”

“ในหมูบ้านครับ”

“ทำไมไม่พาหล่อนมาที่นี่”

“หล่อนไม่ยอมมาครับ”

ร่างสูงรีบลุกขึ้นจากโซฟาทันที “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

เหลียนเฉียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นตามเพื่อจะออกไปกับเขา

แต่เฉินเฟิงกลับส่ายหน้าแล้วห้ามไว้ “ไม่ต้องตามมา”

สีหน้าของเหลียนเฉียวซีดเผือด และจำต้องกลับไปนั่งโดยไม่เต็มใจ

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พี่เฟิงแย่แล้ว จะหนีการปราบปรามทันไหมเนี่ย

ไหหม่า(海馬)