บทที่ 273 เหตุใดถึงโง่งมเช่นนี้นะ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 273 เหตุใดถึงโง่งมเช่นนี้นะ

บทที่ 273 เหตุใดถึงโง่งมเช่นนี้นะ

เสี่ยวเป่ามักจะสร้างความประหลาดใจให้พวกเขาอยู่เสมอ ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาที่พวกเขากลัดกลุ้มใจได้พอดิบพอดี

แม้แต่หนานกงสือเยวียนที่ไม่เคยเชื่อในเทพเจ้าก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เจ้าตัวน้อยนี่อาจเป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้แก่เขาจริง ๆ

หนานกงสือเยวียนนอนตะแคงโดยเท้าแขนข้างหนึ่งไว้กับศีรษะอยู่ริมขอบเตียง นัยน์ตาลุ่มลึกมองดูบุตรสาวที่กำลังนอนกางแขนขาคู่น้อย ๆ ดูวางท่าใหญ่โตไม่เบา

ฮ่องเต้หนุ่มอยู่ในฉลองพระองค์สีดำ สาบเสื้อแยกออกเล็กน้อยเผยให้เห็นกล้ามอกแน่นเป็นมัด มีร่องรอยของแผลเป็นเก่า ๆ ที่ยังคงมองเห็นอยู่รำไรบนผิวหนัง ทว่ามิได้ส่งผลต่อรูปลักษณ์อันงามสง่าของเขาแต่อย่างใด กลับให้ความรู้สึกหล่อเหลาระคนดิบเถื่อน

เกศายาวสีดำขลับสยายลงข้างเตียงอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา เครื่องหน้าหล่อเหลาคมคายบัดนี้แลดูอบอุ่น นัยน์ตาสีนิลสะท้อนเงาร่างน้อย ๆ ของบุตรสาวที่แฝงด้วยความรักอันเปี่ยมล้น

นิ้วมือเรียวยาวที่มองเห็นกระดูกข้อต่ออย่างเด่นชัดบีบจมูกของเจ้าตัวน้อยเบา ๆ จากนั้นก็ปล่อยเมื่อเสี่ยวเป่าส่งเสียงงึมงำ

“เจ้าเป็นใครกันแน่”

หนานกงสือเยวียนพึมพำเสียงเบาที่มีเพียงตนเองเท่านั้นที่ได้ยิน

เขาเป็นคนฉลาด เสี่ยวเป่ามักจะแสดงความพิเศษออกมาให้เห็นอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้เจ้าตัวน้อยยังพอมีไหวพริบจึงปิดบังซ่อนเร้นอยู่บ้าง แม้ว่าการอำพรางเพียงเล็กน้อยพวกนั้นจะดูเงอะงะถึงขั้นโง่งมไปบ้าง แต่เขาก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นมาตลอด

ทว่าตอนนี้เจ้าตัวน้อยอาจรู้สึกปลอดภัยและเชื่อใจพวกเขามากขึ้นกว่าเดิม นางจึงเลิกปิดบังการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้นอีกต่อไป

เมล็ดพันธ์ุแปลก ๆ ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏให้เห็น ไหนจะเรื่องบ่มเหล้าผลไม้พวกนั้น เด็กแค่สามสี่ขวบ ต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีทางบ่มเหล้าโดยไร้ผู้ชี้แนะทั้งยังไร้ประสบการณ์เช่นนี้ได้ หากว่าการบ่มเหล้าเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นจริง มีหรือที่สิ่งนี้จะอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน

นอกจากนี้ นางยังมีความคิดแปลกประหลาดและชอบพูดอะไรแปลก ๆ ออกมาอยู่เสมอ นี่ยังไม่นับรวมการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว

“เหตุใดถึงโง่งมเช่นนี้นะ”

หนานกงสือเยวียนถอนหายใจเบา ๆ ขณะที่กำลังจะชักมือกลับ จู่ ๆ เจ้าตัวน้อยก็คว้ามือของเขาไปกอดไว้

มือคู่น้อยกอดฝ่ามือของบิดาที่ยังไม่ทันได้ดึงกลับไป ใบหน้าสีแดงระเรื่อขณะหลับใหลราวกับลูกแมวตัวน้อยนุ่มนิ่มที่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนเจ้าของ

หนานกงสือเยวียนยกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาฉายแววอบอุ่นโดยไม่รู้ตัว

ไม่ว่าเจ้าตัวน้อยจะเป็นเทพธิดาลงมาจุติหรือเป็นภูตผีปีศาจ นางก็ยังคงเป็นลูกสาวของเขา หนานกงสือเยวียนผู้นี้ตลอดไป

แต่จะว่าไปแล้ว หากว่ามีภูตตัวน้อยที่โง่ทึ่มเช่นนี้อยู่จริง แล้วราชสำนักมิได้รับตัวนางเข้าวัง ปล่อยให้ระเหเร่ร่อนอยู่ภายนอกก็มิรู้เลยว่านางจะถูกหลอกจนน่าอนาถเพียงใด

เสี่ยวเป่าที่ยังคงหลับสนิทดูท่าทางซื่อบื้อ มิได้รู้ตัวเลยว่าเผลอเปิดเผยตัวตนไปมากเพียงใด ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แต่นางก็ยังคิดว่าตนเองนั้นฉลาดและปกปิดความลับไว้ได้เป็นอย่างดี โดยหารู้ไม่ว่าหางน้อย ๆ ของตนเองถูกจับได้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว*[1]

เพียงแต่ทุกคนเห็นตรงกัน เลือกที่จะปกป้องเจ้าตัวน้อยผู้โง่เขลาที่ใช้ชีวิตมาหลายร้อยปีโดยมิรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักนิดเดียว

หนานกงสือเยวียนไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียงความลับของเสี่ยวเป่าแต่อย่างใด แน่นอนว่าหากเจ้าตัวน้อยยินดีจะบอกเขาเองนั่นก็เป็นอีกเรื่อง

เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เสี่ยวเป่าก็จัดการล้างหน้าสีฟันด้วยตัวเอง แล้วสั่งให้นางกำนัลสางผมจนเรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มงานสำคัญแรกของวัน

กินอาหารเช้า!

เสี่ยวเป่านั่งบนตั่งพลางเคาะชามข้าว นัยน์ตาคู่โตทอประกายมองออกไปด้านนอก

“วันนี้มีอะไรกินหรือ”

เสียงนุ่มนิ่มคล้ายกำลังออดอ้อน ครั้นได้ฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ็นดู

“สำรับเช้าวันนี้เป็นซาลาเปาไส้หวาน เกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวนึ่ง โจ๊กข้าวฟ่าง ไข่ตุ๋น แล้วก็นมแกะที่องค์หญิงชอบเพคะ”

สายตาของเจ้าตัวน้อยเปล่งประกายวาววับทันทีที่ได้ยินรายการอาหาร

“เป็นของที่เสี่ยวเป่าชอบกินทั้งนั้นเลย!”

เหล่านางกำนัลก้มหน้าหัวเราะอย่างอดไม่ได้ นอกจากรสขม มีอะไรที่ท่านไม่ชอบกินด้วยหรือ

เอาเถิด องค์หญิงน้อยของพวกนางกินเยอะ ๆ ก็ดี ร่างกายมีน้ำมีนวลล้วนแต่มีข้อดี เด็กน้อยรูปร่างซูบผอมในวันนั้นเติบโตจนมีร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ในวันนี้ ต่อให้กินเยอะแค่ไหนก็ไม่มีทางอ้วนไปมากกว่านี้ได้อีก

ช่างเป็นเรื่องที่น่าอิจฉาสำหรับใครหลาย ๆ คน

สำรับอาหารเช้าถูกนำขึ้นโต๊ะ เสี่ยวเป่าจ้องมองอาหารเช้าแสนน่ากินซึ่งกำลังร้อนได้ที่จนน้ำลายสอ แต่กลับอดใจเอาไว้ไม่ลงมือกินในทันที

นางต้องรอให้ท่านพ่อกลับมากินพร้อมกัน

เสี่ยวเป่าแกว่งขาไปมา พลางยืดคอชะเง้อมองไปข้างนอกอย่างรอคอย

ยังอีกสักพักกว่าฮ่องเต้จะเลิกว่าราชกิจ ขณะที่ชุนสี่กำลังเกลี้ยกล่อมให้นางกินอาหาร หูของเจ้าตัวน้อยก็กระดิกไปมา ก่อนจะกระโดดผลุบลงจากตั่งแล้วรีบวิ่งไปข้างนอกในทันที

เหล่านางกำนัลตกใจจนพากันสะดุ้งโหยง เมื่อไล่ตามไปถึงหน้าประตูก็พบว่าเกี้ยวพระที่นั่งของฮ่องเต้กำลังมาทางนี้ ตามด้วยเหล่าองครักษ์รักษาพระองค์ท่าทางขึงขังล้อมหน้าหลัง

“ท่านพ่อ!”

เสี่ยวเป่าวิ่งเข้าไป หนานกงสือเยวียนโบกมือสั่งให้วางเกี้ยวลง คนที่อยู่ด้านหน้าแหวกทางอย่างรู้งาน เสี่ยวเป่าจึงวิ่งเข้าไปโดยไร้สิ่งกีดขวาง

“เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อ คิดถึงที่สุดเลย”

เจ้าตัวน้อยพุ่งเข้าใส่อ้อมแขนบิดา ใบหน้านุ่มนิ่มคลอเคลียไปมาและเริ่มพูดจาอ่อนหวานราวกับปากเล็ก ๆ ถูกแต้มด้วยน้ำผึ้งก็มิปาน

ทุกคนไม่ได้ละสายตาทั้งยังมิรู้สึกแปลกใจ เพราะเห็นจนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

แม้ว่าองค์หญิงน้อยจะพูดเช่นนี้กับฝ่าบาทอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่พวกนางกลับไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด

อย่างไรเสียก็ไม่มีใครปฏิเสธองค์หญิงน้อยที่ทั้งอ่อนหวานว่านอนสอนง่าย ซ้ำยังปากหวานปานน้ำผึ้งเช่นนี้ได้ลง

“ท่านพ่อกินข้าวด้วยกันสิ เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดีรอท่านพ่อเลยนะ”

เจ้าตัวน้อยจูงมือหนานกงสือเยวียนพลางเดินเข้าไปในห้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ ปากน้อย ๆ มิวายส่งเสียงเจื้อยแจ้ว

“ทำไมวันนี้ท่านพ่อถึงกลับมาเร็ว”

“ท่านพ่อเหนื่อยหรือไม่ กระหายน้ำหรือไม่ เสี่ยวเป่ารินชาให้นะ”

“ท่านพ่อหนาวหรือไม่ แก้มเสี่ยวเป่าอุ่นมาก เสี่ยวเป่าให้ท่านพ่อยืมไว้อุ่นมือนะ”

“ท่านพ่อหิวหรือไม่ รีบกินซาลาเปาไส้หวานเร็ว เสี่ยวเป่าเป็นคนสอนวิธีทำให้ห้องเครื่องเองเลยนะ”

แม้นางจะให้เพียงคำแนะนำด้วยวาจาก็ตาม

หนานกงสือเยวียนฟังนางอย่างไม่รู้สึกรำคาญ มองดูเจ้าตัวน้อยชี้มือชี้ไม้ไปมา จากนั้นก็ยัดไข่ตุ๋นหนึ่งช้อนเข้าปากของนาง

“ตั้งใจกิน”

เสี่ยวเป่านั่งลงเคียงข้างท่านพ่ออย่างว่านอนสอนง่าย “เพคะ”

[1] ถูกจับหาง หมายถึง ถูกผู้อื่นรู้ความลับของตน