บทที่ 338 ลางมงคลเหนือฟ้า
บทที่ 338 ลางมงคลเหนือฟ้า
หลังจากรีบร้อนวิ่งออกมา เพื่อนำเรื่องข้างในมาบอกแก่หยูเหวินเชิงเฟิง แม้ว่าหยูเหวินเชิงเฟิงจะตกใจแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปดูเพราะว่าการเป็นประมุขมีเรื่องมากมายที่จะให้คนนอกรู้ไม่ได้ ถ้าคนที่ผู้เฒ่าคนนี้บอกผิดปกติถึงเพียงนั้น หากเข้าไปต้องคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ทว่าเขาก็ยังส่งสี่ราชาเข้าไปตรวจสอบอยู่ดี หลังจากสี่ราชาเดินเข้าไปภายในก็กลับออกมาก็มีอาการเหมือนผู้เต่าคนนั้นเปี๊ยบ พูดไปก็ไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้เป็นความจริง
หยูเหวินเชิงเฟิงได้ยินก็พึมพำกับตัวเองสักพัก ถึงค่อยให้พวกเขาเข้าไปอีกครั้งและสั่งให้ภายในรัศมีร้อยไมล์จากสระอมฤตปิดเป็นเขตหวงห้าม ทั้งยังบอกให้เขียนปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นลงในหนังสือประวัติศาสตร์ของนิกายด้วย ในความคิดของเขาเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ฉู่เหินทำให้มันเกิดปฏิกิริยาแบบนี้ได้ยังไงไม่มีใครรู้ แต่เขารู้ว่ามันต้องเป็นข่าวดีต่อนิกายกิเลนอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า แค่คิดว่ามีศิษย์อัจฉริยะอย่างฉู่เหินในนิกาย ก็ทำให้ประมุขอย่างเขาฝันหวานแล้ว
ทว่าเขาก็ยังกังวลใจ กลัวว่าวันที่ฉู่เหินฟื้นฟูร่างกายเสร็จแล้วจะไม่ยอมรับเข้านิกายกิเลนของพวกเขา ในขณะที่ประมุขคนนี้กำลังคิดว้าวุ่นอยู่นั้น ทั่วนิกายกิเลนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น
รูปปั้นกิเลนเก่า อันเป็นที่สักการะของผู้ก่อตั้งนิกาย ต้องเข้าใจว่าตั้งแต่สร้างรูปปั้นจนถึงบัดนี้ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น แต่มาว่าวันนี้ดวงตาของรูปปั้นกิเลนดำกลับส่องแสงออกมา!
“ท่านบรรพบุรุษปรากฏ! ท่านบรรพบุรุษได้ปรากฏตัวแล้ว!” ฉากอันน่าประหลาดใจนี้สร้างความตกใจให้กับนิกายกิเลนเป็นอย่างมาก ฝูงคนวิ่งเข้าไปสักการะ แต่พวกเขาก็พบว่ากิเลนดำที่กำลังส่องแสงอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับสระน้ำอมฤต พวกเขาเห็นว่าที่สระน้ำอมฤตเปร่งแสงสว่างออกมาก่อนที่สุดท้ายจะเห็นเงากิเลนดำขนาดใหญ่อยู่บนอากาศ!
“ส่งคำสั่งลงไป เรื่องที่เกิดขึ้นห้ามให้รั่วไหลเด็ดขาด ใครกล้าแพร่งพรายต้องโดนกฎของนิกายลงโทษ!” หยูเหวินเชิงเฟิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ถ้าเขาเดาไม่ผิดเรื่องนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉู่เหินเป็นแน่
เขาเรียกเฉิงกู่กับหลิวหลิงซานเข้ามาสอบถาม เรื่องราวของฉู่เหินทั้งหมด
“เรียนประมุขที่จริง พวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราพึ่งจะรู้จักน้องฉู่ที่เกาะซาถัว อ้อ จริงสิวันที่น้องฉู่อยู่บนเกาะ มันเป็นวันที่เขาทะลวงพลังและเกิดปรากฏการณ์ขึ้นด้วยครับ” จากนั้นเฉิงกู่ก็นึกถึงเรื่องในวันนั้นแล้วเล่าออกมาอย่างละเอียด
หยูเหวินเชิงเฟิงได้ฟังก็ถอนหายใจออกมา การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินในวันนั้น เขาเองก็สัมผัสได้เช่นกันแต่คาดไม่ถึงว่ามันจะเกี่ยวข้องกับฉู่เหินอีกแล้วหลังจากรู้เรื่องนี้หยูเหวินเชิงเฟิงก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด
ตามที่เฉิงกู่กล่าว ตอนนี้ฉู่เหินคงกำลังท้าทายกฎสวรรค์ แต่การท้าทายกฎสวรรค์ไม่น่าจะทำให้เกิดลำแสงบนท้องฟ้าได้! ถ้าไม่ใช่การท้าทายสวรรค์ละก็มันก็ต้องเป็นการยอมรับจากสวรรค์ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง?
ขณะที่ยังขมวดคิ้วคิดไม่ตกอยู่นั้น ฉับพลันเขาก็นึกถึงตำนานของนิกายกิเลนขึ้นมา ตามตำนานกิเลนดำคือผู้ก่อตั้งนิกายของพวกเขา ในปีนั้นก็มีการท้าทายสวรรค์เกิดขึ้นครั้งหนึ่งจนกิเลนดำสามารถตีตัวเสมอสวรรค์ หลังจากต่อสู้กับสวรรค์จนถูกกักขังเอาไว้ สุดท้ายกิเลนดำก็หนีออกมาได้หลายปีต่อมาท่านผู้ก่อตั้งกิเลนดำก็มองโลกทั้งใบอย่างเย้ยหยัน
ประกอบกับตอนนั้นทั้งโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั่วทั้งโลกถูกทำลายจนพังพินาศ ท่านผู้ก่อตั้งพอทราบเรื่องก็รีบลงมาช่วยเหลือโลกใบนี้ดังนั้นโลกใบนี้จึงถือว่าเป็นหนีบุญคุณของท่านผู้ก่อตั้ง แถมตอนนั้นสวรรค์ยังให้คำมั่นสัญญาว่า หากภายภาคหน้าผู้สืบทอดของผู้ก่อตั้งนิกายปรากฏ แม้ว่าผู้สืบทอดจะไปท้าทายสวรรค์ สวรรค์ก็จะยอมถอยให้!
พอคิดถึงตรงนี้ หยูเหวินเชิงเฟิงก็ตกตะลึงอย่างอดไม่อยู่หรือว่าฉู่เหินจะเป็นผู้สืบทองของผู้ก่อตั้งนิกาย? ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง นิกายกิเลนของพวกเขาก็กำลังจะได้รับโชคลาภครั้งใหญ่แล้วจริง ๆ ไม่น่าแปลกที่เขาจะคิดเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ในสระน้ำอมฤตเลย แค่เรื่องลางสังหรณ์ของรูปปั้นที่กำลังส่องแสงก็พอจะเดาได้แล้วว่ามันเกี่ยวของกับฉู่เหินอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็รีบเดินไปตำหนักใหญ่ ทว่าเขาที่เพิ่งเดินมาได้ไม่ทันไร ทั่วบริเวณท้องฟ้าของหุบเขากิเลนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง หมอกควันที่มีกลิ่นอายแห่งสวรรค์ห่อหุ้มหุบเขากิเลนเอาไว้ราวกับกลายเป็นแดนสวรรค์เสียเอง
เหล่านกกระสาต่างร่ำร้อง แต่เสียงที่ได้ยินกลับไม่ใช่เสียงร้องเดิมที่เคยฟัง พลังดวงดาวทั้งหุบเขากิเลนเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็ส่งกลิ่งหอมกรุ่นออกมาเป็นเท่าตัว พืชพันธุ์ดอกไม้ใบหญ้าคล้ายกับว่ากำลังตื่นตัวอย่างบ้าคลั่ง
ปรากฏการณ์มงคลทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิกายกิเลน ถ้าถูกคนนอกรู้เข้าต้องสร้างความตกใจเป็นแน่!
ผู้อาวุโสที่ปกป้องนิกายกิเลนต่างพากันตกตะลึงและส่งเสียงต่อสวรรค์ไม่หยุดว่า “ปาฏิหาริย์ นี้คือปาฏิหาริย์!”
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขากิเลน หยูเหวินเชิงเฟิงก็เชื่อมั่นเกิน 100% แล้วว่าฉู่เหินคือผู้สืบทอดของท่านผู้ก่อตั้งนิกายคนนั้นจริง ๆ
“ดูเหมือนสวรรค์จะเห็นใจนิกายกิเลนของเรา! ในที่สุดพวกเรานิกายกิเลนก็มีโอกาสเลื่อนจากนิกายระดับสองเป็นนิกายระดับหนึ่งแล้ว! ทว่าเรื่องนี้ต้องปิดไว้เป็นความลับ ถ้าถูกพวกนิกายระดับหนึ่งรู้เข้าล่ะ นิกายกิเลนจะต้องโดนทำลายล้างแน่!”
หยูเหวินเชิงเฟิงพูดพึมพำกับตัวเอง ระหว่างนั้นก็กลอกสายตาวางแผนเอาไว้หลากหลายแผนในหัวสมอง ทันใดนั้นใบหน้าของหยูเหวินเชิงเฟิงก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอย่างช้า ๆ
ขณะที่นิกายกิเลนกำลังวุ่นวาย ฉู่เหินไม่รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้ฉู่เหินกำลังเดินอยู่ในทางที่แปลกประหลาด เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเบาหวิว คล้ายกับว่ากำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศ กลุ่มดาวนับไม่ถ้วนพาดผ่านร่างกายของเขาไป กลุ่มดาวพวกนี้บ้างก็เล็กบ้างก็ใหญ่ บ้างก็มีบรรยากาศความเข้มข้นกระจายอยู่รอบ ๆ บ่งบอกว่าภายในดาวดวงนี้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่!
มีหลายดวงดูเย็นชืดไร้ชีวิตชีวา ไม่รู้ว่าดาวดวงนี้สิ้นอายุขัยไปแล้วหรือยัง! พอเขาผ่านดาวที่ไร้ชีวิตมา เขาก็พบว่าดาวเหล่านั้นกลับค่อย ๆ เปล่งแสงแห่งชีวิตออกมา คล้ายกับเด็กทารกเพิ่งเกิด ทั่วอวกาศแห่งนี้เป็นเหมือนปริศนาชิ้นใหญ่ปริศนาหนึ่ง ตอนนี้เขาคล้ายกับว่าเป็นศูนย์กลางของปริศนาที่ล่องลอยเข้ามา
เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเดินทางมาไกลเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร คล้ายกับว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว หลังผ่านกลุ่มดาวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า พร้อมกับมองดาวที่เกิดและก็ดับสูญดวงแล้วดวงเหล่า
เขาก็ค่อย ๆ ให้ความสนใจดวงดาวที่คล้ายหัวใจของคนบนโลก คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เขามองเห็นในวันนี้คือดวงสามารถเกิดใหม่หรือดับสูญได้! ขนาดดวงดาวยังมีชีวิตแล้วมนุษย์ล่ะ? ในเวลาเดียวกันนี้เอง เขาก็คล้ายจะคิดหา บ้างสิ่งนั่นก็คือชีวิตอันเป็นนิรันดร์
แต่แค่พูดน่ะมันง่ายตั้งแต่โบราณจนปัจจุบันมีสักกี่คนที่ทำสำเร็จบ้าง แม้แต่สัตว์วิเศษในตำนานก็ยังหนีความตายไม่พ้น แล้วมนุษย์ที่ไหนจะทำได้! ฉู่เหินยังคงล่องลอยในอวกาศนี้ต่อไป ขณะเดียวนั้นฉู่เหินก็ค่อย ๆ เรียนรู้หลักการหนึ่งอย่างขึ้นมา คนชอบพูดถึงข้อจำกัดของโลกแต่ไม่มีใครพูดถึงข้อจำกัดเมื่อออกมานอกโลกแล้ว
ต่อให้มีชีวิตที่ยืนยาวบนโลก แต่วิญญาณและร่างกายก็จะยังคงอยู่บนโลก ถ้ามีวันหนึ่งที่โลกอวสาน ต่อให้ตอนนั้นแข็งแกร่งแค่ไหนก็ย่อมแหลกสลายตามโลกไปอยู่ดี หลักการนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อรู้ดังนั้นเขาก็เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนมากมายต้องการท้าทายสวรรค์!