บทที่ 339 การตระหนักรู้

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 339 การตระหนักรู้

บทที่ 339 การตระหนักรู้

ท้าทายสวรรค์ การเป็นผู้ท้าทายนั้นจะต้องไม่กลัววิญญาณของตนเองแตกสลาย รวมไปถึงกายเนื้อทั้งหมดก็จะถูกกำจัดทิ้ง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง

คำว่าอิสระคือไม่มีผู้ใดมาผูกมัดเส้นทางของตนเอง ไม่มีใครยุ่งว่าคุณจะทำอะไรจึงจะเรียกว่าอิสระ อิสระยังรวมไปถึงวิญญาณที่เป็นอิสระจะต้องไม่ถูกบีบบังคับ ความรู้สึกนึกคิดสามารถแสดงออกมาได้นี้ก็คืออิสระ

ทันทีที่เขาคิดถึงคำว่าอิสระ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองความเข้าใจคำ ๆ มากขึ้น เขาต้องการมัน เขาต้องท้าทายสวรรค์เพื่อที่จะได้เป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ของโลก แต่ในเวลาเดียวกันนี้เองเขาก็สัมผัสได้ว่าระหว่างตัวเขากับสวรรค์ มีความสัมพันธ์ลึกลับที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่

อีกทั้งในร่างกายของเขาก็มีโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นอยู่นับไม่ถ้วน โซ่ตรวนทุกเส้นโยงใยเขาเอาไว้กับดวงดาวแห่งนี้ โซ่ตรวจเหล่านี้ก็คืออารมณ์และความรู้สึก ทั้งอำนาจ ทั้งคนที่เขารัก ถ้าหากเขาต้องการท้าทายสวรรค์จริงก็จำเป็นต้องกำจัดโซ่ตรวนเหล่านี้ซะ!

หากว่าเป็นเมื่อก่อนฉู่เหินคงไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่คาดไม่ถึงว่ามาบัดนี้เขากลับไม่สามารถปล่อยวางคนที่รัก และไม่อาจปล่อยวางเพื่อนฝูง ไม่อาจปล่อยวางทุกสิ่งได้ ทว่าฉู่เหินก็ยังไม่ลังเลที่จะตัดโซ่ตรวนเหล่านี้ทิ้งไป ไม่ได้หมายความว่าฉู่เหินไม่นึกถึงคนอื่น แต่หลังจากที่เขาจิตใจมั่นคงแล้ว เขาก็มองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ตัวเองไม่สามารถปล่อยวางคนรักได้งั้นเขาก็จะเอาคนรักไปด้วย ตัวเองไม่สามารถปล่อยวางอะไรได้เขาก็จะเอาไปด้วยเช่นกัน เมื่อคิดแบบนี้เขาก็สามารถตัดโซ่ตรวนที่รัดเขาเอาไว้ได้เยอะเลยไม่ใช่เหรอ เขาพร้อมที่จะปกป้องทุกคนตลอดไปและแต่ก็ไม่ต้องการเป็นโซ่ตรวนของพวกเขา

ชีวิตของคนเราก็เหมือนทางสามแพร่ง บ้างครั้งก็จำเป็นต้องเลือก แต่ทุกครั้งที่เลือกมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ชีวิตคนเราไม่มีโอกาสครั้งที่สอง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกจงเลือกอย่างระมัดระวัง!

วันนี้ฉู่เหินเลือกความอิสระ ไม่เพียงแต่ตัวเองที่อิสระ แต่ยังต้องทำให้คนรักและสำคัญมีอิสระด้วย ฉู่เหินมีความปรารถนาหนึ่งอย่าง คือปรารถนาให้คนสำคัญได้เดินอยู่บนทะเลดวงดาวแบบนี้เช่นกัน

ในชั่วพริบตา ทะเลดวงดาวก็สั่นไหวไม่หยุด จากนั้นฉู่เหินก็มองดวงดาวที่เต็มอวกาศ คาดไม่ถึงว่าแต่ละดวงดวงกำลังส่องประกายแสงลอยเข้าไปในร่างของฉู่เหินพร้อม ๆ กับการตระหนักรู้กฎเกณฑ์แห่งสวรรค์

ในเวลาเดียวกันที่หุบเขากิเลนพลังดวงดาวก็ทะลักออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง เหล่าผู้อาวุโสขั้นสูงหลายคนที่หลายปีมานี้ไม่สามารถเลื่อนขั้นและถอดใจไปแล้ว พวกเขาคาดไม่ถึงเพียงครู่เดียวก็สามารถทะลวงขั้นได้ทันที

พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่ลังเลที่จะนั่งขัดสมาธิเริ่มทะลวงพลังอย่างบ้าคลั่งโป๋อีกู่เองก็ทำตามคนเหล่านี้เช่นกัน เขาจะเลื่อนขั้นสู่ขั้นจักรพรรดิดารา

ตอนนี้นั้นโป๋อีกู่ตระหนักรู้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ว่าในเวลานี้ตัวเองเลื่อนขั้นได้อย่างแน่นอน!

ฉู่เหินทำให้ในตอนนี้ทั่วทั้งนิกายกิเลนเกิดความกระสับกระส่าย เรื่องที่เกิดขึ้นมันแปลกเกินไป ตอนแรกมันเกิดแค่กับพวกผู้อาวุโส แต่ผ่านไปไม่นานศิษย์คนอื่น ๆ ก็ตระหนักรู้ด้วยเช่นกันว่าพวกเขาสามารถทะลวงขั้นพลังได้

การทะลวงพลังไม่มีกฏตายตัว มันคล้ายกับหมอกควันหรือภาพมายาที่มองไม่เห็น! ทว่าวันนี้ราวกับว่ามีมือขนาดใหญ่เอือมมือลงมาตัดเส้นปิดกั้นขาดออกเป็นสองท่อน ทำให้พวกเขามองเห็นก้าวต่อไปได้อย่างชัดเจน

ท่ามกลางพลังดวงดาวที่บ้าคลั่งทั้งคนในนิกายกิเลนรวมทั้งเหล่าสัตว์ป่าเองก็ตระหนักรู้เช่นกัน การตระหนักรู้ของพวกมันก็คือรับรู้ถึงจิตใต้สำนึกของตนเอง

หยูเหวินเชิงเฟิงรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน ขณะที่เขานั่งอยู่ในตำหนักใหญ่เขาก็รีบโคจรพลังและรับรู้เหมือนคนอื่น ๆ ขั้นพลังระดับเขาการจะทะลวงพลังได้นับยากเย็นยิ่ง! หลายปีมานี้เขาไม่สามารถเลื่อนขั้นพลังได้เลย ซึ่งถ้าหากเขาสามารถเลื่อนขั้นพลังได้สักหนึ่งขั้นล่ะก็ เขาก็จะกลายเป็นปรมาจารย์ผู้ทรงพลังเหนือผู้ใด

น่าเสียดายที่ความฝันนี้ผ่านมาหลายปีเขาก็ยังทำไม่เสร็จที่จริงแล้วไม่เพียงแค่เขาคนเดียว แต่ผู้อาวุโสที่วรยุทธสูงส่งเองก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อฝึกจนถึงระดับที่เท่าเทียมกับเขาแล้วแต่ละคนก็คล้ายกับคอขวดไม่สามารถเลื่อนขั้นพลังต่อไปได้อีก ดังนั้นปรมาจารย์หลายคนจึงค่อย ๆ เข้าไปกักตัวอยู่อย่างสงบสุขในหุบเขาทีละคนสองคน

มีน้อยคนที่สามารถทะลวงพลังได้ เพราะว่าเมื่อทะลวงพลังได้แล้วพวกเขาก็สามารถยื่นชีวิตให้ยืนยาวขึ้นได้ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินเลยทีเดียว

คนทั้งนิกายพอทะลวงพลังมาถึงขั้นเดียวกับเขาแล้ว ส่วนมากก็เลือกจะเก็บตัวฝึกวิชา แต่พอเก็บตัวเข้าฌานหลายร้อยปีเข้า ก็ไม่เคยเห็นพวกเขาจะสมดังหวังเลย ตอนนี้คนเหล่านั้นก็กำลังฝึกฝนอยู่ที่ใดสักแห่งภายในเกาะมีอย่างน้อยที่สุดก็นับร้อยคน

แน่นอนว่ามีไม่น้อยอยากแข็งแกร่งเหนือหยูเหวินเชิงเฟิง แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะมีวันนั้น แต่การจะทะลวงระดับพลังขั้นปราชญ์ระดับสูงไปเป็นขั้นจอมปราชญ์ดาราอาจเป็นไปได้ แต่หากอยากเลื่อนขั้นเป็นขั้นเทพดารา ก็คงต้องพึ่งโชคชะตาฟ้าลิขิตอย่างเดียว ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

การเปลี่ยนแปลงในนิกายกิเลนวันนี้ทำให้พวกที่เก็บตัวอยู่เหมือนได้รับสมบัติล้ำค่า พวกเขาคาดไม่ถึงว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาที่พวกเขาตามหามานับร้อยปีได้เสร็จ! ตอนนี้พวกเขามองเห็นหนทางที่สะดวกในการทะลวงพลังอย่างชัดเจน

มีหลายคนเป็นพวกที่หมดอะไรตายอยาก พวกเขาคิดว่าชีวิตนี้ไม่คงไม่มีทางได้เลื่อนขั้นพลังอีกแล้ว แต่เมื่อพวกเขาได้รับการตระหนักรู้ ดวงตาของพวกเขาก็กลับมีแสงแห่งชีวิตอีกครั้ง ดั่งคำกล่าวที่ว่าหากตอนเช้ารู้แจ้งเห็นสัจธรรมแล้ว คืนนั้นแม้ตายก็นอนตายตาหลับ! ยิ่งไปกว่านั้นสัจธรรมครั้งนี้กลับไม่ใช่ความตาย แต่เป็นการทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไป!

หลังจากพวกเขารู้วิธีฝึกก็ทำให้พวกเขาติบโตขึ้นมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้คนเหล่านี้พัฒนาบนเส้นทางนี้มากกว่าหนึ่งก้าว

เรื่องทั้งหมดที่เกิดเป็นลางมงคล ลางมงคลนี้เกิดจากการที่มีคนสามารถทะลวงขั้นพลังได้เสร็จ มันเป็นสัญลักษณ์จากสวรรค์ทั่วทั้งหุบเขากิเลนไม่ว่าจะเป็นดอกบัวบาน เสียงพิณสวรรค์ ดอกไม้นับไม่ถ้วนล้วนเบ่งบานและ เหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นไม่หยุด

ฉู่เหินไม่รู้เลยว่าตัวเองที่ตระหนักรู้ได้หนึ่งเรื่องทำให้ทุกคนในหุบเขากิเลนทะลวงพลังกันไปคนละ 2-3 ขั้นแต่คนที่มีโอกาสทะลวงพลังสำเร็จทุกคนมีความรู้สึกเดียวกันคือ ปกป้องสิ่งสำคัญ

แต่สิ่งสำคัญคืออะไร? ถ้าคิดดี ๆ เรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างไร้ความหมาย ผู้อาวุโสทุกคนรู้และหยูเหวินเชิงเฟิงก็รู้ดี ประมุขเช่นเขารู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพราะอะไร และพวกเขาต้องปกป้องใคร พวกเขาล้วนทราบกันดีกันอยู่แล้ว

ในขณะนี้หุบเขากิเลนปรากฏสัญลักษณ์แปลก ๆ เป็นแสงที่พุ่งออกมาจากหุบเขากิเลนสูงทะลุก้อนเมฆ! เหล่าศิษย์เมื่อเห็นเช่นนี้ก็นึกว่ามีผู้มีบุญมีจุติ จึงพากันกราบไหว้แสงสว่าง

แต่สำหรับเหล่าผู้แข็งแกร่งทั่วโลกพวกเขามองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและพากันขมวดคิ้ว ผู้แข็งแกร่งเช่นพวกเขามีหรือจะไม่รู้ พวกเขาที่ทะลวงพลังถึงขั้นเทพดาราประจักษ์ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่เพราะ ผู้แข็งแกร่งจนสามารถทะลวงพลังเป็นขั้นเทพดารามีไม่มากนัก แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าใครกันที่ทะลวงพลังอยู่

สำหรับนิกายบ้างแห่งถือว่าขั้นเทพดาราเป็นเทพเจ้า นับเป็นเสาหลักของนิกายที่เก็บซ่อนไว้เป็นความลับ ในหนึ่งนิกายมีหนึ่งถึงสองคนก็น่าเหลือเชื่อมากแล้ว ทว่าเหตุการณ์เมื่อกครู่ที่พวกเขาสังเกตุเห็นคล้ายกับว่ามีถึง 10 คน หรือว่าถึงหลาย 10 คนเลยที่กำลังทะลวงพลังเป็น ขั้นเทพดารา!