บทที่ 203 ที่มาที่ไป

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 203 ที่มาที่ไป
ทั้งตำหนักจินหลวนไม่มีผู้ใดกล้าพูดจาต่อหน้าฝ่าบาทเช่นนี้

เว่ยกงกงหน้าถอดสี

สีหน้าของกู้จิ่นอวี๋ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

ทว่านางไม่ได้มีท่าทีลนลานเพียงเพราะคำพูดของอีกฝ่าย

นางบังคับให้ตัวเองสงบนิ่ง

ฝ่าบาทมองกู้จิ่นอวี๋ด้วยสายตาแปลกประหลาด พลางเอ่ยกับช่างเหล็กชราและช่างไม้ “นางคือแม่นางกู้”

ช่างไม้ไม่เคยเจอกู้จิ่นอวี๋มาก่อน จึงไม่กล้าพูดออกไป

ทว่าช่างเหล็กชรานั้นจำได้แม่น เขายกมือขึ้นโบก “ไม่ใช่นางพ่ะย่ะค่ะ! แม่นางกู้มิได้หน้าตาเช่นนี้!”

เว่ยกงกงยิ้มพลางเอ่ย “ไม่ใช่ว่าเจ้าจำผิดหรอกหรือ เจ้าลองดูอีกที”

ช่างเหล็กชราตีเหล็กมาทั้งชีวิต เขาไม่เก่งเรื่องเข้าสังคมสักเท่าไหร่ ทำการใดไม่เคยอ้อมค้อม ยามโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ยังลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองกับพูดอยู่กับฮ่องเต้ “ไม่ต้องดูแล้ว! แม่นางกู้อยู่ที่ร้านข้าทั้งบ่าย มีหรือข้าจะจำไม่ได้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร อีกอย่าง เสียงพูดของนางก็ไม่ใช่แบบนี้! ไม่ใช่! ไม่ใช่! พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว!”

เว่ยกงกงเอ่ยยิ้มเจื่อน “พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าแม่นางผู้นั้นแซ่กู้ เป็นลูกสาวของจวนโหว”

“แน่ใจ แน่ใจ!” ช่างเหล็กชราไม่ลืมที่จะพยักหน้า

ตอนนั้นเสี่ยวซานจื่อไปที่ร้านเหล็กเพื่อช่วยกู้เจียวขนเครื่องมือการเกษตร ช่างเหล็กชราดึงดันจะแบ่งกำไรให้กับแม่นางกู้ เสี่ยวซานจื่อถูกรบเร้าจนทนไม่ไหว จึงเผลอหลุดปากออกไปว่า ‘แม่นางกู้เป็นถึงลูกสาวจวนโหว เงินน้อยนิดเพียงเท่านั้นของเจ้า นางจะเอาไปทำอะไร’

เสี่ยวซานจื่อพลั้งปากออกไป จากนั้นถึงได้สติขึ้นมา แล้วก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย

เว่ยกงกง “แต่นางเป็นลูกสาวของจวนโหว ทั้งยังแซ่กู้ด้วย แผ่นดินนี้ไม่มีลูกสาวจวนโหวแซ่กู้คนที่สองแล้ว…”

เขาพูดถึงเพียงเท่านั้น ก่อนจะชะงักไป

ไม่ มีคนที่สองอยู่

ครอบครัวของท่านโหวกู้มีลูกสาวสองคน

คนหนึ่งคือลูกสาวแท้ๆ ที่เติบโตในชนบท อีกคนที่หนึ่งคือลูกเลี้ยงที่เติบใหญ่ข้างกายเขา แม้จะอุ้มผิดตัว แต่ท่านโหวกู้ก็เห็นลูกเลี้ยงคนนี้เหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขของตน แถมนางยังมากความสามารถอีกต่างหาก

หากเรื่องอุ้มผิดตัวไม่แดงขึ้น เกรงว่าคงไม่มีใครสงสัยว่านางไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของตระกูล

หากเว่ยกงกงเดาออก ฝ่าบาทก็ย่อมเดาออกเช่นกัน

แต่ท่านโหวกู้เคยเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า ลูกสาวแท้ๆ นั้นไม่รู้หนังสือแม้สักตัว

เช่นนี้ใครกันแน่ที่โกหก

ช่างเหล็กชราสีหน้าราบเรียบ ทว่ากู้เจียวกลับใบหน้าซีดเผือด

แววตาดุดันของฝ่าบาทหยุดลงบนดวงหน้าของกู้จิ่นอวี๋ “เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”

กู้จิ่นอวี๋บีบนิ้วมือแน่น เก็บอาการของตัวเองเอาไว้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นผู้คิดค้นเครื่องสูบลมจริงๆ เพคะ”

ช่างเหล็กชราเดือดดาลในทันใจ “ไอ้หยา แม่หนูนางนี้ เหตุใดถึงได้โกหก เจ้าไม่เคยไปที่ร้านข้าเสียหน่อย! หากไม่เชื่อก็เรียกพวกเขามาให้หมด!”

วันนั้นที่ร้านตีเหล็กไม่ได้มีแค่ช่างเหล็กชราเพียงคนเดียว ช่างฝีมือคนอื่นก็เคยเห็นกู้เจียวเช่นกัน

“สามหาวนัก นี่คือท่านหญิงนะ!” เว่ยกงกงเอ่ยเตือนขึงขังด้วยเสียงหวีดแหลม

ช่างเหล็กชราไม่สนว่านางจะเป็นท่านหญิงหรือไม่ เขารู้เพียงแค่ว่านางไม่ใช่คนที่เขาตามหา นางจะมาได้หน้าจากคุณงามความดีนี้ไปไม่ได้!

“ฝ่าบาทเพคะ!” กู้จิ่นอวี๋คำนับพลางเอ่ย “หม่อมฉันไม่เคยไปที่ร้านตีเหล็กก็จริง แต่เครื่องสูบลมนั้นหม่อมฉันเป็นคนออกแบบอย่างแน่นอน”

ฝ่าบาทขมวดคิ้ว “แล้วเหตุใดตอนแรกเจ้าถึงพูดเช่นนั้น”

กู้จิ่นอวี๋หลบตาลง เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาทถามหม่อมฉันเพียงแค่ว่า หม่อมฉันเป็นผู้คิดค้นเครื่องสูบลมใช่หรือไม่ แต่ไม่ได้ถามว่าหม่อมฉันเคยไปที่ร้านตีเหล็กหรือไม่”

ฝ่าบาทขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม “เช่นนั้นเจ้าไม่สงสัยหรือว่าเหตุใดสิ่งที่เจ้าคิดค้นถึงถูกคนอื่นสร้างขึ้นมาได้”

กู้จิ่นอวี๋ตอบ “เคยสงสัยเพคะ แต่ก็ไม่นับว่าประหลาดใจนัก ในเมื่อหม่อมฉันเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับคนมากมาย แม้แต่สาวใช้ข้างกายของหม่อมฉันเองก็ยังรู้”

แววตาของฮ่องเต้เริ่มแฝงไปด้วยความสงสัย “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่ามีคนขโมยผลงานของเจ้าอย่างนั้นหรือ”

“ไม่จริง ไม่ใช่เช่นนั้น!” ช่างเหล็กชราโต้แย้ง “แม่นางกู้ไม่มีทางขโมยของของคนอื่น!”

กู้จิ่นอวี๋ส่ายหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่เคยพูดว่านางขโมย เป็นไปได้ว่านางอาจจะหวังดี อยากจะช่วยพวกเจ้าเพียงเท่านั้น ข้าจึงไม่โทษใคร”

“เอ่อ…” ช่างเหล็กชรานิ่งงันไป

ฉลาดเฉลียว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ทั้งหมดล้วนแต่ถูกนางแย่งชิงไปหมดแล้ว

ทว่าช่างเหล็กชรายังคงรู้สึกตงิดใจ

เขาไม่มีหลักฐานยืนยัน มีเพียงสัญชาตญาณที่ติดตัวมากว่าครึ่งชีวิตของตน

กู้จิ่นอวี๋ตั้งมั่นแน่วแน่ เอ่ยออกไปด้วยไหวพริบว่าเป็นของตน หากฮ่องเต้จะตรวจสอบก็ทำได้เพียงไปสืบถามจากคนรอบตัวนาง นางนัดแนะกับเหล่าสาวใช้ไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว พวกนางจะให้ปากคำที่เป็นคุณต่อนางแน่นอน และที่สำคัญที่สุดก็คือทางฝั่งท่านพ่อจะต้องเข้าข้างนางเป็นแน่

ส่วนนางผู้นั้นน่ะหรือ จะงัดหลักฐานอะไรมาสู้!

แบบร่างอย่างนั้นหรือ

เหอะ ข้าก็มีเหมือนกัน

หลักการทำงานของเครื่องสูบลมนั้น ตนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว หากนำมาเทียบว่าของใครเหมือนกว่า นางจะสู้นางผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เชียวหรือ!

ทว่าสิ่งที่กู้จิ่นอวี๋ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขณะที่นางกำลังคิดว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือกว่านั้น กรมโยธาก็ได้ส่งข่าวร้ายมา…เตาเผาเหล็กระเบิดแล้ว!

และเตาที่ระเบิดนั้นคือเตาเผาที่กู้จิ่นอวี๋ดัดแปลงเสียด้วย

เพิ่งจะใช้ได้สามวัน หากจะพูดให้ถูก ยังไม่ถึงสามวันเสียด้วยซ้ำ เช้าวันนี้เตาเผาก็ระเบิดแล้ว

แรงระเบิดของเตาเผานั้นรุนแรงนัก ทำเอาเตาเผาที่กรมโยธาเพิ่งจะสร้างเสร็จพังเละเทะ

นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุด ส่วนเรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็คือในตอนนั้นช่างฝีมือชื่อดังของราชสำนักหลายคนก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ทุกคนล้วนบาดเจ็บสาหัสเพราะแรงระเบิด!

ผู้ที่เข้ามารายงานในคือรองผู้คุมของกรมโยธา เขารีบตรงมาจากมาที่เกิดเหตุ ในตอนนั้นเขาไปปลดทุกข์พอดี ไม่ได้อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุระเบิด ไม่อย่างนั้นเขาคงเจ็บหนักไปแล้ว

“เรียกเขาเข้ามา” ฝ่าบาทเอ่ยเสียงขรึม

เพียงเสี้ยววินาที ความปิติยินดีบนใบหน้าของเขาก็จางหายไปจนสิ้น ช่างเหล็กชราและช่างไม้ได้รู้จักแล้วว่าสิ่งใดคือความน่าเกรงขามของโอรสแห่งสวรรค์

เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ รังสีอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านไปทั่ว สองสองอึดอัดจนแทบไม่กล้าหายใจ

รองผู้คุมเข้ามาในตำหนักปีกข้างด้วยสภาพสะบักสะบอม ขาข้างหนึ่งทรุดลง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยสังเขป ยามเอ่ยถึงเตาที่กู้จิ่นอวี๋เป็นคนดัดแปลง แววตาซับซ้อนของเขาก็กวาดมองไปที่กู้จิ่นอวี๋ที่อยู่อีกฝั่ง

ใบหน้าของกู้จิ่นอวี๋ซีดเผือด

ช่างเหล็กชราเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “ระเบิดได้อย่างไรกัน พวกเจ้าใช้เตาเผาใหญ่แค่ไหน ใช้เครื่องสูบลมกี่ตัว”

รองผู้คุมไม่รู้จักสามัญชนผู้นี้มาก่อน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัวอยู่ในหออาลักษณ์หลวงของฝ่าบาทได้ แถมฝ่าบาทยังไม่ห้ามปรามเขา เขาจึงบอกไปตามตรง

ช่างเหล็กชราเอ่ยด้วยเสียงปวดใจ “ไอ้หยา! แม่นางกู้เคยกำชับไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เตาเผาใหญ่ขนาดนั้นใช้เครื่องสูบลมได้มากที่สุดเพียงสองตัว! ใครใช้ให้พวกเจ้าใช้ตั้งหกตัวกัน นี่มันหาเรื่องตายชัดๆ”

ตอนที่กู้เจียวถ่ายทอดวิชาให้กับช่างเหล็กชรา แน่นอนว่าได้กำชับข้อควรระวังเอาไว้ ช่างเหล็กชราพูดต่อหน้าคนทั้งชราสำนักอย่างไม่มีปกปิด

“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้อวดดีคิดเองเช่นนั้น” ช่างเหล็กชราโมโหจนแทบทนไม่ไหว!

รองผู้คุมเองก็ลำบากใจนัก เพราะนั่นเป็นความคิดริเริ่มของท่านหญิง เครื่องสูบลมก็มีท่านผู้เป็นผู้คิดค้น พอนางดัดแปลงปรับปรุงใหม่ ผู้ใดจะสงสัยในตัวนางกันเล่า

แววตาที่ฝ่าบาทหันไปมองกู้จิ่นอวี๋เปลี่ยนเป็นเย็นชาในพริบตา!

เหงื่อเย็นผุดซึมไปทั่วทั้งร่างของกู้จิ่นอวี๋ นางกัดฟันพูดออกไป “แบบร่างของข้าไม่มีทางมีปัญหา…ต้องมีอะไรผิดพลาดในสักขั้นตอนอย่างแน่นอน…”

รองผู้คุมเอ่ย “ไม่มีขอรับ พวกข้าทำตามแบบร่างของท่านหญิงอย่างเคร่งครัด!”

แถมการทำงานของเครื่องสูบลมนั้นช่างแสนเรียบง่าย แต่ต่อท่อให้ถูก ก็ไม่มีขั้นตอนใดที่สามารถบกพร่องได้

ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยากรับผิดหรอก

ฝ่าบาทหันไปมองช่างเหล็กชราและช่างไม้ “ท่านผู้อาวุโส รบกวนพวกท่านทั้งสองไปดูที่เกิดเหตุที”

ช่างเหล็กชราและช่างไม้ตามรองผู้คุมไปยังกรมโยธา กู้จิ่นอวี๋เองก็ตามไปเช่นกัน

ตอนนี้เปลวเพลิงลุกลามไปทั่ว ควันดำลอยขโมง ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง

เหล่าช่างฝีมือที่ได้รับบาดเจ็บถูกองครักษ์หามใส่แคร่ไม้ออกไป สภาพเลือดเนื้อเหวะหวะแทบดูไม่ได้ กู้จิ่นอวี๋สัมผัสได้ถึงอาการมวนท้อง นางยกมือขึ้นกุมหน้าอก ก่อนจะหันไปสำรอกอีกทาง

วันนี้เป็นวันพักผ่อนของกู้เจียว

ชายหนุ่มทั้งสี่คนในบ้านต่างออกไปเรียนกันหมดแล้ว หญิงชราพาจี้จิ่วอาวุโสออกไปเล่นไพ่ใบไม้ เหลือนางอยู่ที่เรือนเพียงคนเดียว เดิมทีตั้งใจว่านอนเอื่อยเฉื่อยสักครึ่งวัน ทว่ายังไม่ทันได้พัก เสี่ยวซานจื่อก็มาหาถึงที่เรือนแล้ว

“แม่นางกู้! แม่นางกู้! แย่แล้ว! แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”

กู้เจียวเอ่ยเสียงเนือย “กู้เฉิงหลินไม่ยอมกินข้าวอีกแล้วรึ หรือว่ากู้เฉิงเฟิงติดค้างค่ายาอีกล่ะ”

“ไม่ใช่ทั้งนั้น!” เสี่ยวซานจื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “เตาเผาของที่ทำการกรมโยธาระเบิดขอรับ!”

ในแคว้นเจาแห่งนี้ ไม่มีโรงพยาบาลเอกชนเหมือนในชาติก่อนของกู้เจียว หมอของราชสำนักนั้นมีจำนวนจำกัด องค์กรขนาดใหญ่ที่สุดคงจะเป็นสำนักหมอหลวง ทว่าก็ไม่ได้มีคนมากนัก รองลงมาก็คงเป็นหมอประจำค่ายทหาร ทว่าพวกเขาอยู่ไกลคงมาช่วยไม่ได้ทันเวลา

ปกติแล้วยามเกิดเหตุคับขันเช่นนี้ ราชสำนักจะยืมตัวหมอจากโรงหมอชื่อดังของเมืองหลวงมาช่วยงาน

เมี่ยวโส่วถังเองก็เป็นหนึ่งในโรงหมอที่ถูกยืมตัว

กู้เจียวคว้ากล่องยาติดตัว มุ่งหน้าไปยังจุดเกิดเหตุพร้อมกับหมอซ่งและหมอสองคนจากโรงหมอชื่อดัง

ที่เกิดเหตุนั้นวุ่นวายกว่าที่กู้เจียวคาดการณ์ไว้ ผู้ได้รับบาดเจ็บคนแล้วคนเล่าถูกองครักษ์หามออกมาท่ามกลางควันหนาทึบจากซากปรักหักพังของโรงหลอมเหล็ก หมอจากโรงหมออื่นๆ ก็มาถึงแล้วเช่นกัน กำลังทำแผลให้กับเหล่าผู้ได้รับบาดเจ็บ

กู้เจียวไม่ได้รีบร้อนเข้าไปช่วยทำแผล แต่กลับหยิบแถบผ้าหลากสีที่เตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าออกมาก แล้วยื่นให้กับหมอทั้งสามคนจากเมี่ยวโส่วถัง “ทำตามที่ข้าบอกก่อนหน้า”

“ขอรับ!”

ทั้งสามพยักหน้า

เดิมทีจ้าวซ่างซูออกตรวจแนวปราการใต้น้ำของแคว้น พอได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นที่กรมโยธาก็รีบกลับมาในทันที ข้างกายเขายังมีชายหนุ่มท่าทางสง่างามคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย

ชายหนุ่มผู้นั้นสวมอาภรณ์ประณีต รูปร่างสูงใหญ่ สีหน้าแสนเย็นชา แววตาทรงอำนาจน่าเกรงขาม

ตอนนี้ผู้ได้รับบาดถูกลำเลียงออกมาจนเกือบหมดแล้ว ทั้งคนเจ็บหนักทั้งคนเจ็บเล็กน้อยรวมกันแล้วหลายสิบคน

บรรดาหมอจากโรงหมอชื่อดังต่างกำลังรักษาบาดแผลให้กับผู้ได้รับบาดเจ็บ ทว่าท่ามกลางเหล่าหมอทั้งหมด มีหมออยู่สองสามคนที่ทำอะไรแตกต่างไปจากคนอื่น

พวกเขาไม่ได้รีบร้อนเข้าไปช่วยชีวิตคนเจ็บ แต่กลับถามอาการเบื้องต้นของผู้ได้รับบาดเจ็บก่อน จากนั้นก็แปะแถบผ้าสีแตกต่างกันระดับความรุนแรงของอาการ

ผ้าสีแดงคือผู้บาดเจ็บสาหัส

ผ้าสีเหลืองคือผู้ที่บาดเจ็บรุนแรง แต่ยังพอมีสติอยู่

ผ้าสีเขียวคือผู้ที่บาดเจ็บเล็กน้อย

พวกเขารักษาคนเจ็บแถบผ้าแดงเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เป็นผู้บาดเจ็บแถบผ้าสีเหลือง และสุดท้ายถึงจะเป็นคนเจ็บแถบผ้าสีเขียว

หากเทียบกับโรงหมออื่นที่กำลังชุลมุนวุ่นวาย การทำงานของพวกเขาดูมีระเบียบเป็นขั้นเป็นตอนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มหรี่ตามอง ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นผู้ได้รับบาดเจ็บที่คาดแถบผ้าสีดำ

เขานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น หมอที่อยู่บริเวณนั้นเดินผ่านไปมา ไม่มีใครสนใจอาการของเขา

“ตายแล้วหรือ” ชายหนุ่มถาม

จ้าวซ่างซูรีบวิ่งเข้าไปดู ในฝ่ามือตรวจดูลมหายใจของเขา ก่อนจะกลับมารายงาน “ดูเหมือนว่าจะยังมีลมหายใจอยู่ แต่ทำไมถึงไม่รักษาเล่า”

จ้าวซ่างซูไม่เข้าใจ

ช่างเหล็กชราและช่างไม้ก็เข้าไปช่วยกู้ชีพ แม้ทั้งสองจะไม่รู้เรื่องการแพทย์ แต่ก็พอจะช่วยคนออกมาจากซากปรักหักพังได้

ท่ามกลางกลุ่มควันหนาแน่น มีเงาร่างเล็กร่างหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ คนผู้นั้นสวมชุดเรียบง่าย รูปร่างผอมบาง แขนเสื้อของนางถูกถลกม้วนขึ้น เผยให้เห็นข้อมือเกลี้ยงเกลา

ใบหน้าด้านข้างของนางงดงามดุจหยก ทว่าซีกซ้ายของดวงหน้านั้นกลับมีปานสีแดง

ฝ่ามือของนางอาบไปด้วยเลือด แต่นางยังคงสงบนิ่ง ในแววตาไม่มีความลนลานหรือรังเกียจเดียดฉันแต่อย่างใด

ชายหนุ่มจ้องมองไปที่นาง “นั่นคือใคร”

จ้าวซ่างซูตอบ “ทูลฝ่าบาท เหมือนว่าจะเป็นหมอหญิงของเมี่ยวโส่วถังพ่ะย่ะค่ะ”

ชายหนุ่มพึมพำ “เมี่ยว โส่ว ถัง”

ณ ที่เกิดเหตุโกลาหลวุ่นวาย ฟากกู้จิ่นอวี๋เองก็สับสนไปหมดเช่นกัน

นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเตาเผาที่ตนดัดแปลงจะกลายเป็นอุบัติเหตุใหญ่โตถึงเพียงนี้ มีคนได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน ทั้งยังมีคนที่ถูกช่วยออกมาจากซากที่ถล่มลงมาไม่หยุดหย่อน

วินาทีนั้นนางสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวอย่างแท้จริง

นางไม่กล้าคิดเลยว่าฝ่าบาทจะไต่สวนความรับผิดชอบของนางอย่างไร

นางรู้สึกราวกับตนเองยืนอยู่หน้ากำแพงอันยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้จะถล่มลงมาเมื่อใด!

ทั้งร่างของนางสั่นเครือ

ด้วยปฏิภาณไหวพริบของนาง นางสังเกตเห็นคนเจ็บคาดแถบผ้าดำคนหนึ่ง

นางเหมือนมองเห็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตของนางได้ จึงรีบถลาตัวเข้าไปช่วยคนเจ็บคนนั้น นางไม่สนใจเถ้าถ่านหรือคราบเลือดบนพื้น ทั้งยังไม่สนใจว่าบาดแผลของคนเจ็บจะเละเทะแค่ไหน ก่อนจะทรุดเข่าลงข้างคนเจ็บ

“ใครก็ได้ช่วยที! ไม่มีหมอมาช่วยเขาเลยหรือ”

นางร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง แม้แต่ก้นบึ้งของหัวใจนางก็ร่ำร้องออกไปพร้อมกัน เสื้อผ้าอาภรณ์ผืนงามของนางเปรอะคราบเลือด นางหยิบผ้าแพรสะอาดสีขาวขึ้นมากำไว้ในมือ พลางก้มหน้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับคนเจ็บคนนั้น

“หมอ! หมอ!” นางตะโกนร้องเสียงสะอื้น

นางเป็นคนดี ไม่เคยเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา นางจิตใจงดงาม มีเมตตาต่อทุกชีวิต!

นางกัดฟันแน่นแล้วร้องตะโกนออกมา “ข้าเป็นท่านหญิง! ข้าสั่งให้พวกเจ้าช่วยชีวิตเขา!”

แถบนั้นเป็นบริเวณที่เมี่ยวโส่วถังรักษา หมอจากเมี่ยวโส่วถังก้มหน้าก้มตารักษาคนบาดเจ็บ ไม่มีใครสนใจนางแม้แต่น้อย