บทที่ 204.1 ตบหน้า (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 204 ตบหน้า (1)
“อย่าขยับ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” กู้เจียวกำลังล้างแผลให้ผู้บาดเจ็บคนหนึ่ง

เขาคือนายช่างคนแรกที่พบความผิดปกติของเตา แล้วรีบให้คนวิ่งกันออกไปข้างนอก

หากไม่ได้เขา พวกช่างที่กำลังเป่าลมอยู่ตอนนั้นคงโดนระเบิดตายกันหมดแน่

ทว่าแม้ว่าเขาจะหลบหนีได้เร็วแล้ว แต่เตาก็ระเบิดไวเช่นกัน จึงมีผู้คนไม่น้อยที่โดนระเบิดบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเตาระเบิดแล้ว เตาที่เหลือก็พังตามมาหมดเลย เปลวเพลิงลุกโหมท่วมทั่วทั้งโรงงานจนมอดไหม้

ความเสียหายของราชสำนักมหาศาล

“หมอ…ขาของข้าจะใช้การได้หรือไม่” ขาของนายช่างสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดกลัว

กู้เจียวเย็บแผลให้เขาพลางเอ่ย “ไม่หรอก แค่ฉีดยาชาให้เจ้าเฉยๆ จะไม่รู้สึกไปสักพักเท่านั้น พอฤทธิ์ยาหมด เจ้าก็จะรู้สึกเจ็บขึ้นมาแล้ว”

นายช่างจึงได้เบาใจลง ก่อนจะมองกู้เจียวอย่างซาบซึ้ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “แม่นาง…ข้าไม่เป็นไร…ไปรักษาคนอื่นเถิด…”

“อืม” กู้เจียวพยักหน้า นางเย็บเข็มสุดท้ายแล้วพันแผลให้แก่เขา ก่อนจะเดินไปหาผู้บาดเจ็บรายต่อไป

แผ่นหลังของผู้บาดเจ็บอีกคนถูกไฟคลอกเป็นบริเวณกว้าง หมอซ่งกำลังใช้น้ำเกลือที่กู้เจียวให้มาล้างแผลให้เบื้องต้น แต่แผลใหญ่เกินไป หมอซ่งเพิ่งเจอผู้บาดเจ็บถึงขั้นนี้เป็นครั้งแรก จึงค่อนข้างประหม่า

“ข้าทำเอง” กู้เจียวเอ่ยกับเขา “เจ้าไปคนบาดเจ็บทางนั้นที”

“ได้!” หมอซ่งหลีกทางให้กู้เจียว แล้วไปดูผู้บาดเจ็บอีกสองรายที่โดนคาดผ้าสีเหลืองไว้

ผู้บาดเจ็บรายนี้คาดผ้าสีแดง อาการสาหัสอยู่ในช่วงอันตราย แต่ยังคงสามารถช่วยชีวิตให้พ้นขีดอันตรายได้

กู้เจียวนั่งย่อตัวลงมา ก่อนจะถือกรรไกรตัดเสื้อผ้าที่เหลือตรงแผ่นหลังเขาออก

เขาไม่ได้หมดสติไปเสียทีเดียว ซึ่งหมายความว่าเขายังทนความเจ็บปวดรุนแรงนี้ได้

กู้เจียวหยิบเข็มฉีดยาแก้ปวดออกมาจากกล่องยาใบเล็ก กำลังจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อเขา ขณะนั้นเอง กู้จิ่นอวี๋ก็พุ่งพรวดเข้ามาราวกับคนเสียสติ มือหนึ่งคว้าข้อมือของกู้เจียวเอาไว้ แล้วตวาดสุดเสียง “ข้าเรียกตั้งนาน เจ้าไม่ได้ยินหรือไร ทางนั้นมีคนใกล้จะตายแล้ว! เจ้ารีบไปช่วยเขาสิ!”

เมื่อก่อนในใจกู้จิ่นอวี๋นั้น กู้เจียวเป็นเพียงแค่เด็กจัดยาต่ำต้อยคนหนึ่ง ทว่าเมื่อถึงยามวิกฤติ นึกไม่ถึงว่านางจะเริ่มคาดหวังกับเด็กจัดยาคนนี้ขึ้นมา

กู้เจียวมองมือที่จับข้อมือตัวเองอย่างรำคาญ “ปล่อย”

ยิ่งพูดมากความก็ยิ่งน่ารำคาญ

กู้จิ่นอวี๋เอ่ยอย่างหนักแน่น “เจ้าไม่ใช่หมอหรือไร เหตุใดเจ้าจึงไม่ช่วยเหลือทั้งๆ ที่คนกำลังตายแล้ว” นางชี้ไปที่ผู้บาดเจ็บที่หมอบอยู่ข้างกู้เจียวแล้วเอ่ย “คนคนนั้นอาการสาหัสกว่าเขามากนัก! หากยังไม่ไปช่วยเขาได้ตายแน่!”

แน่นอนว่ากู้เจียวทราบถึงอาการของคนผู้นั้นดี ผ้าแถบดำผืนนั้นนางเป็นคนเอาไปพันไว้เอง หมายถึงผู้ป่วยใกล้ตาย ไม่มีทางช่วยเหลือได้แล้ว ระยะเวลาที่ใช้ช่วยเหลือเขาจะทำให้ผู้บาดเจ็บที่คาดผ้าแถบแดงตายกันเป็นจำนวนมาก

กู้จิ่นอวี๋เห็นกู้เจียวไม่สนใจตัวเองก็เดือดดาลขึ้นมาทันที “เจ้าจะมองดูเขาตายเฉยๆ รึ เจ้ามีมโนธรรมบ้างหรือไม่”

กู้เจียวปัดมือกู้จิ่นอวี๋ออกแล้วจิ้มเข็มลงบนแขนของผู้บาดเจ็บ พร้อมกับยื่นมืออีกข้างออกไปสะบัดตบหน้ากู้จิ่นอวี๋ด้วยหลังมือ!

นี่ไม่ใช่การทะเลาะเล็กน้อย เหมือนกับตอนที่ทะเลาะกับจวงเมิ่งเตี๋ยเหมือนที่หมู่บ้าน

กู้จิ่นอวี๋ถูกตบจนล้มฟุบกับพื้น ข้างหูด้านขวาอื้ออึงไปหมด มุมปากนางก็ปริแตกเช่นกัน หน้าผากกระแทกโดนเศษแผ่นไม้แผ่นหนึ่งเข้า เลือดจึงไหลออกมาในทันที

กู้จิ่นอวี๋มองกู้เจียวอย่างเหลือเชื่อ

กู้เจียวฉีดยาแก้ปวดให้คนเจ็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็หยิบผ้าปิดแผลปลอดเชื้อออกมาปิดแผลให้ผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างระมัดระวัง

เมื่อทำเสร็จ นางก็ลุกขึ้นแล้วมองกู้จิ่นอวี๋อย่างเย็นชา “ยามนี้คงรู้แล้วกระมังว่าคนกำลังจะตายกันแล้ว ก่อนหน้านี้ไปไหนเสียแล้วล่ะ เตาใบหนึ่งสามารถทนรับแรงลมและปริมาณลมได้เท่าใดก็ยังคำนวณไม่ได้ชัดเจน เจ้าเอาความกล้าจากไหนมาแตะต้องเครื่องสูบลม”

กู้จิ่นอวี๋หน้าถอดสีทันที!

กู้เจียวเอ่ยเสียงเย็นชา “ตัวเองไม่รู้อะไรก็ไปหาที่ตายโง่ๆ ตรงนู้น อย่ามาวุ่นวายสร้างปัญหาให้คนอื่น!”

เมื่อครู่กู้เจียวได้พบกับช่างตีเหล็กชราแล้ว และทราบต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดแล้วเช่นกัน

เดิมทีนี่เป็นอุบัติเหตุที่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ชายหนุ่มเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างกู้เจียวกับกู้จิ่นอวี๋เอาไว้ในสายตา “ตรวจสอบทีว่าแม่นางคนนั้นเป็นใคร”

จ้าวซ่างซูกำลังจะขานรับกลับมีองครักษ์ลับคนหนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ ประสานมือคำนับให้ “ขอรับ!”

จ้าวซ่างซูปาดเหงื่อเย็นยะเยือกออก สมกับที่เป็นฝ่าบาทจริงๆ องครักษ์ลับยังลึกลับเช่นนี้ด้วย!

เปลวเพลิงลุกโหมขึ้นเรื่อยๆ จึงรั้งอยู่ในที่เกิดเหตุนานไม่ได้ จ้าวซ่างซูก็เข้าร่วมการขนย้ายผู้บาดเจ็บด้วยเช่นกัน

เพียงไม่นาน กู้ฉังชิงก็พาเหล่าองครักษ์มาถึง

กรมทั้งหกกับสภาความลับทหารอยู่กันคนละสังกัด หากว่ากันอย่างจริงจังแล้ว อุบัติเหตุของกรมโยธาไม่เกี่ยวกับเรื่องในกองทัพ แต่เขาได้ยินว่ากรมโยธาใช้งานหมอของเมี่ยวโส่วถังอยู่ จึงได้นำองครักษ์ของตัวเองเร่งรุดมาที่นี่

“พี่ใหญ่!” กู้จิ่นอวี๋เห็นเขาก็ราวกับเห็นหญ้าช่วยชีวิตอีกกอหนึ่ง นางน้ำตาคลอเบ้าวิ่งไปหากู้ฉังชิง

กู้ฉังชิงกลับไม่มองนางสักนิด เขาควบม้าผ่านข้างกายนางไปหยุดอยู่ไม่ไกลจากกู้เจียว แล้วพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินไปหากู้เจียวอย่างวิตก “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

กู้เจียวกำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ผู้บาดเจ็บอยู่ เขาบาดเจ็บสาหัสมาก ผ้าพันแผลชิ้นเดียวไม่ทันไรก็ถูกเลือดอาบย้อมจนชุ่มแล้ว

สถานการณ์เช่นนี้กู้ฉังชิงที่เป็นชายชาตรีคนหนึ่งเห็นแล้วยังแอบไม่สบายใจ เขาจึงยื่นมือไปหา “เอามาให้ข้า”

กู้เจียวส่ายหน้า แล้วเอ่ยกับเขา “ทางนั้นยังมีคนเจ็บอีกหลายคน เจ้าช่วยเคลื่อนย้ายที”

“ไปส่งโรงหมอรึ” กู้ฉังชิงถาม

“อืม” กู้เจียวพยักหน้า

กู้ฉังชิงรีบสั่งลูกน้องให้หาแผ่นไม้มายกคนออกไป

นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยที่แค่ขาแพลงและบาดเจ็บภายนอกนิดหน่อยอยู่คนหนึ่ง กู้ฉังชิงจึงเอาเขาแบกขึ้นหลังทันที

เขาแบกคนเดินมาแค่ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสายตาที่ไม่มีใครสังเกตเห็นกำลังจดจ้องมาที่เขา เขาพลันมองตามไปก็เห็นนอกประตูหลังมีรถม้าจอดอยู่คันหนึ่ง

นั่นคล้ายว่าจะเป็น…

ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดนั้นก็มีเสียงดังกึกก้องจากอีกด้านหนึ่งของซากปรักหักพัง

กู้ฉังชิงพลันใจกระตุกวูบ

ยามนี้ช่างเหล็กชราร้องตะโกนขึ้นทันใด “แย่แล้ว! เตาจะระเบิดอีกแล้ว!”

สถานการณ์เพลิงไหม้ไม่อาจควบคุมไว้ได้ จนลุกลามมาถึงเตาในห้องหม้อน้ำอีกห้องแล้ว ทำให้เตาที่อยู่ตรงนั้นระเบิดไปด้วย

กู้จิ่นอวี๋หน้าซีดเผือด นางออกตัววิ่งหนีทันที!

นางไหนเลยยังจะมาสนใจผู้บาดเจ็บสาหัสอะไรอีก รักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อนสำคัญที่สุด

กู้เจียวแบกผู้บาดเจ็บตรงหน้าขึ้นมา แล้ววิ่งออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

น่าเสียดายที่ช้าไปก้าวเดียว ในชั่วขณะที่นางสาวเท้าก้าวนั้น เตาก็ระเบิดขึ้นมา!

วินาทีที่เปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นนั้น กู้ฉังชิงชะงักฝีเท้า แล้ววิ่งทะยานไปด้านหลังนาง ใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะต้านทานแรงระเบิดจากไฟให้นาง

กู้ฉังชิงโดนไฟคลอกท่วมร่าง

กู้เจียวหันไปมองเขา “กลิ้งไป!”

ทุกคนต่างตกตะลึงนิ่งงัน ใต้เท้าอุตส่าห์ช่วยเจ้า เจ้ายังมาไล่ให้เขาไสหัวไปอีก

กู้เจียวเอ่ยว่า “รีบกลิ้งไปสิ!”

ทว่ากู้ฉังชิงกลับกลิ้งตัวกับพื้น เปลวไฟบนตัวจึงถูกดับด้วยความรวดเร็ว

ทุกคนต่างพรูลมหายใจโล่งอกยาวเหยียด ในขณะเดียวกันก็ปากอ้าตาค้าง ดังนั้นคำว่าไสหัวกลิ้งไปของเจ้ามีความหมายตรงตัวว่าให้กลิ้งนี่เอง…

กู้ฉังชิงดับไฟอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่ากู้เจียวยังคงพาเขาและผู้บาดเจ็บกลับโรงหมอด้วยกันอยู่ดี

โรงหมอที่มาช่วยเหลือครานี้มีมากมาย หนึ่งในนั้นรวมถึงเหล่าเฉาที่เป็นเถ้าแก่รองของหุยชุนถังด้วย

หุยชุนถังเป็นโรงหมออันดับต้นๆ ของเมืองหลวง ครั้งนี้พวกเขามีหมอมากันหกคน ทว่าผู้บาดเจ็บที่พวกเขาช่วยชีวิตไว้ยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งของเมี่ยวโส่วถังเลยด้วยซ้ำ

ที่น่าตกใจก็คือ ผู้บาดเจ็บเหล่านั้นต่างพากันร้องขอว่าจะไปรักษาตัวต่อที่เมี่ยวโส่วถัง

“ผู้ดูแลเหอ เจ้ารู้สึกว่าแม่นางคนนั้นคุ้นตาบ้างหรือไม่” หมอสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

ผู้ดูแลเหอมองแผ่นหลังของกู้เจียว

เขาเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายไม่ชัด ทว่าคุ้นเคยกับตะกร้าใบดีนั้นเป็นอย่างดี

นี่มันเด็กจัดยาที่ติดตามไปหมู่บ้านเวินเฉวียนซานด้วยกันกับเถ้าแก่รองมิใช่รึ

นางมาได้อย่างไรกัน

หมอสูงวัยเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่เถ้าแก่รองออกจากตระกูลหู ก็เปิดโรงหมอใหม่ที่เมืองหลวง คล้ายว่าจะชื่อเมี่ยวโส่วถังนะขอรับ คงจะไม่ใช่เมี่ยวโส่วถังเมื่อสักครู่นี้หรอกกระมัง”

ผู้ดูแลเหอเอ่ย “ไม่มีทางหรอกกระมัง หมอของเมี่ยวโส่วถังแห่งนี้เก่งกาจกว่าหมอของพวกเราอีก เขาจะไปเชิญหมอเก่งๆ เช่นนี้มาจากไหน”

ผู้ดูแลเหอรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลย หากเมี่ยวโส่วถังแย่งกิจการของหุยชุนถังของพวกเขาไปจริงๆ อีกเดี๋ยวเขาต้องรายงานเถ้าแก่ใหญ่ ให้เถ้าแก่ใหญ่จับตาดูเมี่ยวโส่วถังให้ดี!