บทที่ 204 ตบหน้า (2)
ผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถึงโรงหมอ คนที่ควรจะผ่าตัดก็ผ่าตัด คนที่ควรรักษาก็รักษา กู้เจียวยุ่งจนหัวหมุน ไม่มีเวลามาสนใจไปหาเรื่องกู้จิ่นอวี๋ในตอนนี้
หลังจากที่กู้จิ่นอวี๋หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ ก็ขึ้นรถม้าอย่างตื่นตระหนก จนลื่นล้มลงไป
“คุณหนู…” สาวใช้ตกอกตกใจกับสภาพอเนจอนาถของนาง
กู้จิ่นอวี๋เอ่ยด้วยใบหน้าซีดเผือด “ระ…รีบไปหาท่านพ่อ!”
ท่านโหวกู้วันนี้ไม่อยู่ที่กรมโยธา เมื่อคืนเขาถูกส่งตัวไปตรวจสอบการชลประทานที่ชานเมืองตะวันตก อีกสามวันถึงจะกลับ
เขายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในกรมโยธา
เนื่องจากกู้จิ่นอวี๋สร้างคุณูปการใหญ่หลวง จึงทำให้เขาพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย กลายเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ของกรมโยธาที่คนไม่กล้าเข้าใกล้ ทุกคนต่างจ้องจะฆ่า…เอ้ย ไม่สิ ประจบเอาใจต่างหากเล่า!
เขาถูกเพื่อนร่วมงานห้อมล้อมสรรเสริญด้วยความเบิกบานใจ จู่ๆ องครักษ์ก็วิ่งมารายงานว่า “ท่านหญิงมาขอรับ!”
ท่านโหวกู้ไปรับลูกสาวจากด้านนอกด้วยตัวเอง “เด็กดี วันนี้เจ้ามาได้อย่างไรรึ มาหาพ่อโดยเฉพาะเลยหรือ โอ๊ะ!”
เขาถูกใบหน้าบวมตุ่ยเหมือนหมูของกู้จิ่นอวี๋ทำเอาตกอกตกใจยกใหญ่!
คนไม่รู้คงได้นึกว่าเห็นผีเข้า!
“ท่านพ่อ…”
หลังจากที่ท่านโหวกู้ขึ้นรถม้า กู้จิ่นอวี๋ก็เล่าเรื่องที่กรมโยธาให้เขาฟัง “…ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ข้าไม่รู้ว่ามันจะเกิดเรื่องขึ้นกับเครื่องสูบลม…พวกเขาต่างว่ากันว่าเป็นเพราะข้าออกแบบมีปัญหา…แต่ตอนแรกเหตุใดมันยังดีๆ อยู่เลย…พอสองคนนั้นมาก็เกิดเรื่องขึ้น…”
ประโยคนี้พูดเหมือนกับว่าที่เครื่องสูบลมมีปัญหามันเกี่ยวข้องกับนายช่างเหล็กชราและช่างไม้
กู้จิ่นอวี๋ร้องไห้สะอึกสะอื้น “พวกเขายังบอกอีกว่า ข้าไม่ได้เป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลม แต่เป็นพี่สาวต่างหาก…”
“เด็กนั่นจะไปมีปัญญาสร้างเครื่องสูบลมได้อย่างไรกัน” ท่านโหวกู้สีหน้ารังเกียจ
กู้จิ่นอวี๋เอ่ยเสียงเบา “ไม่รู้ว่าพี่สาวไปเห็นภาพของข้าเข้าหรือไม่…”
ท่านโหวกู้ขมวดคิ้ว
เขาแอบคิดว่าเด็กคนนั้นไม่เหมือนคนที่จะทำเรื่องพรรค์นี้ได้ แต่นอกจากนี้แล้ว เขาก็คิดไม่ออกเลยว่านางจะทำเครื่องสูบลมออกมาได้อย่างไร “ช่างเหล็กชราบอกว่าพี่สาวเจ้าเป็นคนบอกเขาจริงๆ น่ะรึ”
“เจ้าค่ะ” กู้จิ่นอวี๋พยักหน้า
“เป็นไปไม่ได้” ท่านโหวกู้ครุ่นคิด “นางจะมาแอบดูของของเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อนางยังไม่รู้เลยว่าของของเจ้าวางไว้ที่ไหน”
กู้เจียวเคยไปที่จวนและหมู่บ้านเวินเฉวียนซานหลายครั้ง แต่ไม่เคยเข้าไปที่เรือนของกู้จิ่นอวี๋เลยสักครั้ง
กู้จิ่นอวี๋คิดไม่ถึงว่ายามนี้พ่อจะเชื่อกู้เจียวขึ้นมาแล้ว
นางชะงักไป แล้วเอ่ย “เช่นนั้นก็อาจจะเป็นท่านพี่ที่คิดถึงวิธีการทำเครื่องสูบลมขึ้นมาได้ พวกเราต่างคิดกันได้…”
สติปัญญาของท่านโหวกู้ทำงานเพียงแค่ชั่วครู่ เขาถอนหายใจแล้วเอ่ย “พวกเจ้าสองคนพี่น้องอาจจะสื่อใจถึงกันได้จริงๆ ก็เป็นได้ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไปตรวจสอบอุบัติเหตุเรื่องเครื่องสูบลมแน่นอน อาจจะไม่ได้เกิดปัญหาที่เครื่องสูบลมก็ได้ อาจจะเพราะเตามันเก่าแล้วไม่ได้ซ่อมแซม ส่วนเรื่องใครเป็นคนประดิษฐ์นั้น ข้าก็จะทูลกับฝ่าบาทไปตามความจริง”
กู้จิ่นอวี๋กอดแขนเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยอย่างออดอ้อน “ท่านพ่อ ท่านเป็นคนที่รักลูกมากที่สุดในโลกแล้ว”
ท่านโหวสุขใจยิ่งนัก นางช่างเป็นเหมือนเสื้อกันหนาวผืนนุ่มของพ่อแม่จริงๆ!
ไม่เหมือนเด็กนั่น ไม่ว่าตรงไหนก็ขาดวิ่น เป็นเหมือนเกราะเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง!
ท่านโหวกู้ทิ้งงานไว้ชั่วคราว แล้วเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท
ฝ่าบาทกำลังฟังจ้าวซ่างซูรายงานสถานการณ์อุบัติเหตุอยู่พอดี ความเสียหายเท่าใด บาดเจ็บเท่าใด อารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินท่านโหวกู้บอกว่าที่เตาระเบิดอาจเกิดปัญหาที่ตัวเตา ไม่ใช่เครื่องสูบลม พระองค์ก็แทบอยากจะไล่ตะเพิดท่านโหวกู้ให้ออกไป!
ท่านโหวกู้ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้จุดชนวนโทสะจากก้นบึ้งในพระทัยของฝ่าบาทเข้าให้แล้ว เขาเอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะสืบหาความจริงออกมาให้ได้! อีกทั้งเรื่องเครื่องสูบลม ความจริงแล้วลูกสาวทั้งสองคนของกระหม่อมต่างเป็นผู้คิดค้น…”
หลังจากที่ท่านโหวกู้จากไปแล้ว ฝ่าบาทก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า แล้วยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วอย่างเมื่อยล้า
ฟากฟ้ามืดมิดลงแล้ว รอบด้านเงียบสงัด ห้องหนังสือขนาดใหญ่มืดมิดไร้จุดหมาย ราวกับสัตว์ยักษ์ที่อ้าปากกว้างอันดำมืดกลืนกินพระองค์ลงท้องไปทั้งตัว
เนิ่นนานทีเดียว ฮ่องเต้จึงถอนหายใจออกมา “เว่ยเซิน”
“ฝ่าบาท” เว่ยกงกงสาวเท้าเดินเข้ามา “ให้จุดไฟหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทพยักหน้า
เว่ยกงกงจุดตะเกียงน้ำมมันดวงหนึ่ง
ใบหน้าของฝ่าบาทภายใต้ตะเกียงน้ำมันห่อเหี่ยวและเหนื่อยล้า
เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ คนที่เสียใจที่สุดคงไม่พ้นกษัตริย์ของแคว้น
เขาเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท ท่านระวังสุขภาพด้วย”
ฝ่าบาทถามขึ้น “เจ้าว่าเครื่องสูบลมเป็นคุณูปการของใครกันแน่”
เว่ยกงกงยิ้มเจื่อน “ในใจฝ่าบาทมีคำตอบแล้ว เหตุใดจึงต้องถามกระหม่อมอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทตรัส “ท่านเหล่าโหวรับใช้เรามาชั่วชีวิต ก่อนตายยังต้องแบกรับโทษเหยียดหยามกษัตริย์อีก ถูกเรายึดอำนาจและถอดยศ ไล่กลับบ้านเกิดไป”
เว่ยกงกงปรับไส้ตะเกียงให้สว่างขึ้น “นั่นล้วนเพื่อแผ่นดินทั้งสิ้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทคว้าเอาฎีกาบนโต๊ะขึ้นมา “ติ้งอันโหวต้องการยกคุณงามความดีให้แก่ลูกเลี้ยงของเขา”
ต้องแยกเป็นทีละเรื่อง ต้องตรวจสอบความรับผิดชอบในอุบัติเหตุ และไม่ควรมองข้ามคุณูปการของเครื่องสูบลมเช่นกัน ที่ควรลงโทษก็ลงโทษ ที่ควรให้รางวัลก็ให้
เว่ยกงกงยิ้มแห้งเอ่ย “กระหม่อมขอพูดในสิ่งที่ไม่ควรสักคำเถิดพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าใครจะเป็นคนประดิษฐ์เครื่องสูบลมขึ้นมานั้นล้วนดีทั้งสิ้น สุดท้ายก็เป็นคุณูปการของจวนโหวอยู่ดี ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่กู้คนนั้นแต่งงานตั้งแต่ตอนอยู่ที่ชนบทแล้ว ส่วนท่านหญิงฮุ่ยยังไม่ได้ออกเรือน”
เรื่องนี้ควรพิจารณาอย่างยิ่ง
คนหนึ่งเป็นสตรีออกเรือนแล้ว หากแต่งให้กับคนชนบทธรรมดาคนหนึ่ง ความช่วยเหลือจากนางที่ให้ครอบครัวก็มีจำกัด
หากกู้จิ่นอวี๋ได้แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ ฝ่าบาทก็จะเหมือนเสือติดปีก
ดูจากประโยชน์แล้วก็ควรยกคุณูปการให้แก่กู้จิ่นอวี๋
ส่วนเรื่องอุบัติเหตุ รอให้หลักฐานปรากฏ จวนติ้งอันโหวต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว
ฝ่าบาทตรัสอย่างลังเล “แต่แบบนี้จะไม่เป็นธรรมต่อคุณหนูใหญ่คนนั้นเกินไปหรือ”
เว่ยกงกงเอ่ยด้วยใจจริง “พ่อแท้ๆ ของนางยังไม่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมเลย ฝ่าบาทจะไปรู้สึกแทนนางทำไมเล่าพ่ะย่ะค่ะ นางถูกกำหนดไว้เป็นลูกผู้ถูกทอดทิ้งของจวนโหว นางไม่มีแรงกำลังใดช่วยเหลือจวนโหวได้ ทั้งยังไร้ประโยชน์ต่อฝ่าบาทด้วย”
ฝ่าบาทหัวเราะเยาะตัวเอง “แบบนั้นเราจะยังเป็นกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องอีกรึ”
เว่ยกงกงเอ่ยต่อ “ฝ่าบาทละทิ้งไปคนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือปวงชนนับหมื่น จะไม่ปราดเปรื่องได้อย่างไร จะไม่ดีได้อย่างไร”
“ฝ่าบาท!” เด็กปรุงยาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นตรงหน้าประตู “ได้เวลาเสวยยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทส่งสายตาให้เว่ยกงกง
เว่ยกงกงเข้าใจทันที เขาสะบัดแขนเสื้อเดินไปหน้าประตู แล้วยื่นมือผอมแห้งออกไป พร้อมกับตะเบ็งเสียงเล็กแหลม “เอามาให้ข้า”
“ขอรับ” เด็กปรุงยาคุกเข่าลงกับพื้น สองมือส่งกล่องไหมให้เว่ยกงกง
เว่ยกงกงถือยาเข้ามาในห้อง “ฝ่าบาท อย่าเพิ่งตรวจฎีกาเลยพ่ะย่ะค่ะ เสวยยาก่อนดีกว่า”
เด็กปรุงยาชะเง้อคอยืดยาว เขาไม่เห็นเหตุการณ์ด้านใน จำต้องมองจากเงาบนหน้าต่างกระดาษ เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทเสวยยาแล้ว
เขาจึงจากไปด้วยความพอใจ
พอเขาจากไป ฝ่าบาทก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็นเยียบ แล้วโยนยาที่ไม่ได้เสวยลงในกล่องเหมือนเดิม ตรัสด้วยสีพระพักตร์รังเกียจว่า “เอาไปทิ้ง!”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงรีบเอายามาเก็บไว้
“ฝ่าบาท”
ข้างหูฝ่าบาทไม่ได้เงียบลงให้ได้พักเลย เพราะมีเสียงขันทีดังลอยมา “ซูเฟยเอาน้ำแกงบำรุงมาถวายพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำแกงเนื้อกวางบำรุงร่างกายดีเยี่ยม
ดีนัก
พวกประจบสอพลออีกแล้วสินะ
เดิมทีวังหลังมีหญิงสาวมากมาย ทว่าไม่มีตำแหน่งมากพอ จำต้องรอแล้วรอเล่า มีสักหญิงสักกี่นางเชียวที่รอไหว
ทว่าฝ่าบาทก็หมดหนทางเช่นกัน!
เว่ยกงกงอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า กลั้นเอาไว้อย่างยากลำบาก “ฝ่าบาทอดทนต่ออีกนิดนะพ่ะย่ะค่ะ หมอเทวดาตัวน้อยคนนั้นบอกว่าหากภายในสองปีนี้อาการไม่กำเริบก็สามารถขึ้นเตียงได้อย่างไร้กังวลแล้วมิใช่หรือ นี่ก็ใกล้จะครบปีแล้ว”
เอ่ยถึงหมอเทวดาแล้ว สีพระพักตร์ของฝ่าบาทจึงคลายลง
ในวังหลวงน่าอึดอัด พระองค์จึงตัดสินใจออกจากวังไปเดินเล่น
พระองค์ปลอมตัวเป็นสามัญชนและพาไปแค่เว่ยกงกงคนเดียว
นายกับบ่าวสวมชุดนายท่านและผู้ดูแลธรรมดาๆ เดินอยู่บนถนนใหญ่กันอย่างโจ่งแจ้ง
คนทั้งแผ่นดินนี้มีคนที่เคยเห็นฮ่องเต้ไม่มาก ทั้งคู่จึงไม่กังวลว่าจะถูกใครจำได้
พวกเขาเดินอยู่บนถนนที่ผู้คนคับคั่งหลั่งไหล มองโคมไฟตามบ้านเรือนมากมาย ดูปวงชนอิ่มหนำสำราญ ความทุกข์ในพระทัยของฝ่าบาทก็มลายลงไม่น้อย
“ไอ้หยา!”
ฝ่าบาทเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เจ้าหนูน้อยตัวอวบอ้วนคนหนึ่งก็กลิ้งหลุนๆ มาชนตรงข้างเท้าพระองค์
เว่ยกงกงตกอกตกใจยกใหญ่ เขากางแขนออกทั้งสองข้าง “คุ้มกันฝ่าบาท!”
ฝ่าบาทมองเว่ยกงกงอย่างหมดคำจะเอ่ย “แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง”
เจ้าหนูตัวอ้วนกลมดึงชายเสื้อที่อยู่ตรงหน้าพยุงตัวลุกขึ้น แล้วปัดๆ ก้น พอก้มหน้าลงมอง “ไอ้หยา! รองเท้าข้า!”
รองเท้าหัวเสือของเขาหายวับไปแล้ว!
นั่นเป็นรองเท้าน้อยๆ ที่เขารักมากที่สุดเชียวนะ!
เขาวิ่งตึกตักๆ เป็นวงกลมก็หารองเท้าตัวเองไม่เจอ จึงโมโหเท้าเอวกระทืบเท้า!
ฝ่าบาทถูกท่าทางน่ารักของเขาทำเอาอารมณ์ดี ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เสี่ยวจิ้งคงสังเกตเห็นผู้ใหญ่ตรงหน้าตัวเอง เขาแหงนหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านลุงสุดหล่อ เห็นรองเท้าข้าหรือไม่”