บทที่ 266 จูโก่วฉง มีเอกลักษณ์จริง!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 266 จูโก่วฉง? มีเอกลักษณ์จริง!
บทที่ 266 จูโก่วฉง? มีเอกลักษณ์จริง!

โหลวจวินเหยาเพียงมองผ่านอีกฝ่ายไปไร้อารมณ์ ต่างกับจูเก่อฉงที่ตกตะลึงโดยสิ้นเชิง สายตาเขามองผ่านเลยไปพลางเดินไปนั่งอีกด้านหนึ่ง

ท่าทางเย่อหยิ่งสูงส่งเช่นทำราวกับว่าอีกฝ่ายไม่อยู่ในสายตาแม้แต่นิด ไม่ควรค่าแม้แต่จะมองสักแวบหนึ่ง ท่าทางดูถูกเช่นนั้นส่งผลให้มือบนโต๊ะของจูเก่อฉงกำแน่น ภายในพลันรู้สึกโกรธขึ้นมา

ชิงลั่วเยี่ยนนั่งมองปฏิกิริยาของบุรุษทั้งสองอยู่บนแท่นยกสูง เล็บทาสีแดงของนางม้วนผมตนเองตรงหน้าอกเล่น นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกระจ่างเป็นระยับฉายแววขบขัน

นางพลันหันไปมองทางโหลวจวินเหยา เอ่ยเสียงอ่อนโยนขึ้น “ไม่ได้เจอกันร้อยปี จอมมารยังมีเสน่ห์น่ามองเหมือนเคย ข้าชอบท่าทางหยิ่งยโสของเจ้าที่มองทุกอย่างต่ำต้อยกว่าตนเช่นนี้จริง ๆ”

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วกับประโยคความนัย แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เอ่ยเสียงเรียบขึ้น “ท่านเจ้าอารามช่างรู้จักอารมณ์ขันเสียจริง ทั้งฐานะหน้าตาไร้ที่ติเช่นท่าน คงมีคนที่ภาวนาให้ท่านมองเขาสักคราหนึ่งอยู่เต็มดินแดนเมฆาสวรรค์แล้วกระมัง ข้าว่าข้าไม่ขอเข้าร่วมจะดีกว่า มีแต่จะทำให้พวกท่านหัวเราะเยาะเอา”

“ฮ่า ๆ จอมมารยังเย็นชาไร้หัวใจ วาจาตัดเยื่อใยข้าเหมือนเดิม”

ชิงลั่วเยี่ยนหรี่ตาลง ยกมือขึ้นเท้าคาง นางจ้องมองเขาแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “คนอย่างจอมมาร ไม่รู้ว่าต้องเป็นสตรีประเภทใดถึงจะทำให้เจ้าชายตามองได้”

โหลวจวินเหยายิ้มแต่ไม่เอ่ยคำ จงใจเมินคำถามนั้นของนาง

ด้วยเจอกันเมื่อไรนางก็จะเอ่ยหยอกล้อเขาเช่นนี้ เขาจึงไม่เห็นว่าแปลกอะไร

เพราะอย่างไร นางอายุปูนนี้ยังอยู่ตัวคนเดียว บุรุษหนึ่งเดียวในใจนางก็ไม่เคยตอบรับรัก นางก็คงพูดไปเรื่อยเพื่อทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น ดังนั้นเขาจะคิดแค้นสตรีน่าสงสารและน่าสมเพชผู้นี้ให้มากความด้วยเหตุใด

อีกทั้งนางจะยิ้มเช่นนี้ต่อไปได้อีกไม่นานหรอก

“จะพบหน้าพวกเจ้าสองคนนี่มันยากจริง บังเอิญนักที่ครั้งนี้มาพบกันได้”

ชิงลั่วเยี่ยนก้มหน้าลงปิดปาก หัวเราะเบา ๆ ออกมา จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเรียบเฉยของบุรุษทั้งสอง “แต่ก่อน พวกเจ้าเคยเป็นเจ้านายลูกน้อง แต่ตอนนี้ต่างเป็นเจ้าครองขุมอำนาจทรงพลังแห่งแดนเมฆาสวรรค์ สองคนไม่ได้พบกันนาน เหตุใดจึงดูเหินห่างกันเช่นนั้นได้?”

จูเก่อฉงกดความรู้สึกโกรธในอกลงไป เหลือบมองอีกฝ่ายสายตาไม่ไยดี “ไม่แปลกที่จะเหินห่างกัน แต่ก่อนเขาดูถูกข้าไว้มาก ตอนนี้ข้าประสบความสำเร็จมากเช่นนี้ เขาอาจรู้สึกว่าตนคิดผิด ในใจจึงไม่รู้สึกดีเท่าไหร่กระมัง”

ปีศาจน้อยที่นั่งอยู่ข้างโหลวจวินเหยามีใบหน้าเย็นชาเรียบเฉยตลอด ทว่าคำจากปากจูเก่อฉงกลับทำให้ปีศาจน้อยเลิกคิ้วขึ้นอย่างหาได้ยาก เจ้านี่กำลังบอกว่านายท่านตาบอด มองไม่เห็นคนมีความสามารถ พอตอนนี้เสียไปก็เลยเสียใจงั้นหรือ?

จินตนาการมากไปหน่อยกระมัง?

เท่าที่เขารู้จักนายท่าน เขาว่านายท่านคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเสียใจหรือไม่เลย

และปีศาจน้อยก็เดาถูกเสียด้วย

โหลวจวินเหยาถือจอกเหล้างดงามเล่นอยู่ในมือ ได้ยินคำจึงเงยหน้าขึ้นมองไม่ใส่ใจ เมื่อมองเห็นจูเก่อฉงก็ประหลาดใจ มองอีกฝ่ายสายตาประเมิน จากนั้นก็มุ่นคิ้วแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “สีชุดเจ้าช่างไม่น่ามองเลย”

จูเก่อฉงชะงักค้างไปทั้งยังคงท่าทางหยิ่งทระนงตัว

ปีศาจน้อยริมฝีปากกระตุก แต่ก็เป็นไปตามคาดจริง ๆ จึงรีบเก็บสีหน้ากลับมาเป็นปกติโดยเร็ว

นี้เป็นสิ่งที่จูเก่อฉงภูมิใจมาก ชุดที่เขาคิดว่าสามารถส่งให้เขาดูสูงส่งสง่างามคล้ายราชัน นับเป็นสีที่เขาชอบที่สุด

ดังนั้นไม่ใช่เพียงชุดเขาที่มีสีทอง กระทั่งชุดของคนสมาพันธ์นักล่าคนอื่น ๆ ก็มีสีทองด้วย ใช้เพียงตราที่ไหล่เป็นตัวบ่งบอกฐานะเท่านั้น

สุดท้ายกลับเป็นจูเก่อฉงที่ถูกพูดให้อับอาย

นับตั้งแต่ขึ้นครองตำแหน่ง ไม่เคยมีใครกล้าทำเช่นนี้กับเขามาก่อน ทว่าชายตรงหน้าที่กุมอำนาจแบบเดียวกัน กลับเหยียบย้ำศักดิ์ศรีของเขาเสียจมดินอีกคราหนึ่ง

แต่จูเก่อฉงขึ้นครองอำนาจมาได้หลายปีแล้ว เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอารมณ์ร้อนอีกต่อไป

ใบหน้าเขาทะมึนลงชั่วขณะ ก่อนจะส่งเสียงเหยียดออกมา “หลายปีผ่านไป จอมมารไม่เปลี่ยนไปสักนิด ยังปากจัดดังเดิม ได้ยินว่าเจ้าลงไปอยู่ที่แดนต่ำมา ทำให้ข้าอดนึกขึ้นไม่ได้ เจ้าเกลียดชังพวกแดนต่ำพวกนั้นมากไม่ใช่หรือ? แต่เดี๋ยวนี้ดูจะชื่นชอบพวกนั้นเสียเหลือเกิน?”

จูเก่อฉงมั่นใจว่าโหลวจวินเหยาคงไม่อาจตอกกลับคำเสียดสีนี่ได้ เขารู้ดีว่าโหลวจวินเหยาไม่ใช่คนชอบเก็บซ่อนความรู้สึก ทั้งยังปากคอเราะรายไม่เบา

แต่ที่นี่ไม่ใช่แคว้นมาร โหลวจวินเหยาไม่อาจทำตามใจโดยไม่ยับยั้งอารมณ์ได้ พวกเขาอยู่ในอารามจันทร์กระจ่าง หากโหลวจวินเหยาทำเกินเหตุ ชิงลั่วเยี่ยนคงไม่นั่งมองเฉย ๆ ดังนั้นหากโหลวจวินเหยาเอาแต่ใจ สุดท้ายก็มีแต่จะขายขี้หน้า

แต่เขากลับคิดผิดอีกแล้ว

เป็นเพราะโหลวจวินเหยานั้นไม่เคยทำตามกฎเกณฑ์ การกระทำจึงไม่อาจคาดการณ์ได้เลย

เขาไม่ได้โพล่งคำด่าออกมาอย่างที่คิด แต่กลับหัวเราะเบา ๆ “เพราะตอนนั้นสายตาข้าไม่กว้างไกล คิดเอาเองว่าทิวทัศน์ที่ยังไม่เคยเห็นคงจะไม่งดงาม แต่พอได้เห็นเข้าจริง ๆ ก็รู้ว่าความคิดข้าตื้นเขินเกินไปจริง ๆ”

พูดถึงตรงนี้ โหลวจวินเหยาก็คล้ายกับทอดสายตาไปทิศทางหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ สีหน้าอ่อนโยนขึ้นเรื่อย ๆ “ทิวทัศน์แตกต่างที่ข้าได้เห็นนั้น งามมากจนข้าลืมไม่ลง”

ชิงอวี่ที่ยืนนิ่งเป็นเด็กดีอยู่ข้างลั่วเยี่ยน เหมือนจะจับความนัยได้ นางเงยหน้าขึ้นมอง สบกับนัยน์ตายิ้ม ๆ ของโหลวจวินเหยากำลังมองตรงมาทางนาง

นางจึงกะพริบตาราวกับคนไม่รู้เรื่องรู้ราว นางตวัดสายตาดุมองเขา ไอ้ทิวทัศน์งดงามลืมไม่ลงนี่คงหมายถึงนางกระมัง

คนผู้นี้น่าโมโหจนนางอยากหัวเราะ ชอบใช้คำหวานมากวนใจคนเช่นนี้

แต่แน่นอนว่าคนอื่นได้ยินแล้วมีแต่สับสน จูเก่อฉงคิดว่าอีกฝ่ายคงมีอุบายอะไรอีก จึงพ่นลมหายใจเหยียดออกมา

ทว่ามันยังไม่จบเท่านั้น

หลังจากพูดเรื่องน่าขันจบ เขาก็หันหน้าไปถามชายชุดขาวเสียงเบา “คนผู้นั้นเหมือนจะรู้จักข้า เขาเป็นใครหรือ?”

พริบตานั้น บรรยากาศก็เงียบสนิทจนน่ากลัว

ปีศาจน้อยมีสีหน้าประหลาดใจครู่หนึ่ง จากนั้นมองหน้าอีกฝ่าย เป็นไปอย่างที่คิดไว้เลย เขาพลันเอ่ยเสียงอ่อนออกมา “ท่านจอมมารจำไม่ได้หรือว่าเขาเคยเป็นผู้ปกป้องฝ่ายขวาของแคว้นมารมาก่อน? แต่เพราะเขาหัวสูง ชอบกอบโกยความดีความชอบ กระทั่งคนฝ่ายเดียวกันยังใช้วิธีสกปรกชั่วร้าย ชื่อเสียงในแคว้นมารจึงไม่ดีเท่าไร”

ปีศาจน้อยหยุดไปเล็กน้อย ไม่สนใจสีหน้าจูเก่อฉงที่ทะมึนลง “และเพราะไม่อาจทำให้ท่านจอมมารเห็นความดีและมอบตำแหน่งสำคัญให้ได้ เขาจึงรู้สึกถูกทอดทิ้ง คิดว่ารั้งอยู่ในแคว้นมารไปก็เสียดายความสามารถตน ดังนั้นจึงจากแคว้นมารมา พร้อมกับเอาสมบัติและยาล้ำค่าออกไปไม่น้อย”

ปีศาจน้อยอธิบายเช่นนี้ โหลวจวินเหยาก็เลิกคิ้ว ดูเหมือนจะเริ่มจำคนผู้นั้นขึ้นมาได้เล็กน้อย

เขาเหมือนจะจำได้ว่าเคยมีใครพูดถึงคนผู้นี้มาก่อน แต่เพราะเขาไม่เคยจำคนไม่สำคัญ จึงไม่อาจนึกออกได้ในทันที กลายเป็นว่าคนผู้นี้คือคนทรยศของแคว้นมารนี่เอง

“เช่นนั้นคนที่เจ้าเคยพูดถึงก็คือหัวหน้าสมาพันธ์นักล่านี่เอง”

โหลวจวินเหยาพลันหันไปมองจูเก่อฉง ก่อนพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม “ดูท่าเราจะมีวาสนาต่อกันไม่น้อยเลยนะ? แต่เจ้าต้องขอบคุณที่ข้าทอดทิ้งเจ้า ทำให้วันนี้เจ้าประสบความสำเร็จขึ้นมากระมัง? เจ้าคงมองข้าเป็นแรงบันดาลอันยิ่งใหญ่เลยล่ะสิ!”

จูเก่อฉงเกือบกระอักเลือดด้วยความโกรธขึ้นมา อีกฝ่ายหน้าไม่อายมากจริง ๆ

แต่อีกฝ่ายพูดมาก็เหมือนจะมีเหตุผล จูเก่อฉงได้แต่กัดฟันแน่น ก่อนจะเค้นคำออกมา “ก็คงต้องของคุณจอมมารจริง ๆ”

“ไม่เป็นไร”

โหลวจวินเหยายกยิ้มมุมปาก พลันนึกบางอย่างออก “อา ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าจะเรียกเจ้าอย่างไรดี ได้ยินจากลูกน้องมาก่อนว่าเจ้าชื่อ จู (หมู) อะไรสักอย่าง แล้วก็ โก่วฉง (แปลว่าขี้ขลาด ตรงตัวคือหมีดำ) ขออภัยด้วย ข้าความจำไม่ดี แต่มีชื่อเช่นนี้คงใช้ชีวิตยากนัก ถูกเรียกเป็นทั้งหมูทั้งขี้ขลาด (คำว่าหมู มักใช่ด่าคนโง่) จะเรียกอย่างไรก็ดูไม่เหมาะสมอยู่ดี”

“พรืด!”

ชิงอวี่ถึงกับอดกลั้นเสียงหัวเราะไม่ได้

บรรยากาศเงียบสงัด ถูกเสียงหลุดหัวเราะของนางทำลายลง สายตาทั้งหลายจึงตวัดมามองทางนางทันที

ชิงลั่วเยี่ยนมีสายตาล้ำลึกครุ่นคิด ส่วนจูเก่อฉงนั้นสายตาโกรธเกรี้ยว ราวกับจะจ้องให้นางตายไปเสีย โหลวจวินเหยาส่งสายตาออกจะเอ็นดูนาง ส่วนชายชุดขาวด้านข้างก็มองประเมินนางด้วยความสงสัย

พริบตาที่หลุดหัวเราะออกมา ชิงอวี่ก็รู้ทันทีว่าตนทำเรื่องขายขี้หน้าเข้าให้แล้ว นางรีบก้มหน้า ทำท่าแหย ๆ และประหม่า ดูกลายเป็นคนขี้อายไปทันใด

จูเก่อฉงที่ใบหน้าค่อนข้างดูดีโกรธจนหน้าเขียว เหมือนกดความโกรธไว้ คล้ายกับจะระเบิดได้ทุกเมื่อ แต่ก็ไร้ทางเลือกต้องข่มมันไว้

เพราะเขารู้ดีว่า แม้ตอนนี้เขาจะมีฐานะสูงส่ง แต่อยู่ต่อหน้าบุรุษผู้นี้แล้ว เขาก็ราวกับไม่กล้าเงยหน้า ต้องอยู่ต่ำต้อยกว่าอีกฝ่ายไปตลอด

โหลวจวินเหยาทรงพลังมากจริง ๆ

แม้จะไม่เคยมีใครจัดอันดับจอมยุทธ์บนแดนเมฆาสวรรค์ เขาก็รู้ว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่กระทั่งพวกตาแก่พิลึกทั้งหลายที่มีอายุนับพันปี ยังต้องไว้หน้าเขาสามส่วน

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครหรือมาจากไหน แต่นัยน์ตาสีม่วงน่าตกตะลึงคู่นั้น พร้อมทั้งพลังบำเพ็ญลึกล้ำ ยิ่งทำให้ดูออกว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่

คนที่แผ่กลิ่นอายอันตรายทั่วร่าง จะมีใครรนหาที่ตาย กล้าไปล่วงเกินเขาเล่า?

แม้คนจากสมาพันธ์นักล่าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับแคว้นมารมาหลายครั้ง จูเก่อฉงก็รู้ว่าโหลวจวินเหยาไม่คิดใส่ใจสักนิด ไม่เช่นนั้นสมาพันธ์นักล่าคงได้ถูกกวาดล้างไปแล้ว

แต่ในใจเขาก็ยังรู้สึกขมขื่นเสียใจอย่างมาก เพราะตนเองไม่อาจเงยหน้ามองอีกฝ่ายได้เลย

เมื่อเอ่ยมาจาล้อเลียนอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว โหลวจวินเหยาจึงเก็บรอยยิ้มเกียจคร้านไม่ใส่ใจ เสียงทุ้มน่าดึงดูดดังขึ้น “เราย้อนความหลังกันแล้ว คงถึงเวลาคุยเรื่องจริงจังบ้าง”

“อ้อ? เช่นนั้นจอมมารไม่ได้มาที่อารามศักดิ์สิทธิ์เพื่อพบหน้าข้าหรือ?” ชิงลั่วเยี่ยนว่าพลางยกยิ้มมุมปาก น้ำเสียงติดจะผิดหวังอยู่บ้าง