บทที่ 276 หุ่นเชิด
อาชิงปิดปากเอาไว้ ก่อนจะลืมตามองไปทางหานฉี
ผู้ชายที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางชั่วร้าย เวลานี้กลับยืนนิ่ง ๆ อยู่ที่เดิมพร้อมดวงตาที่เบิกโพลง
เยว่พั่วหลัวกระโดดไปด้านหน้าและมองไปที่หานฉี จากนั้นก็โยนหนอนกู่ออกไปหนึ่งตัว ก่อนจะดีดนิ้วแล้วเอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าเป็นใคร? ชื่ออะไร?”
หัวของหานฉีหมุนอย่างแข็งทื่อหนึ่งรอบ “หานฉี คนข้างกายของหานเหล่ย”
เยว่พั่วหลัวก้มหน้าลงมองอาชิง “นี่คือหุ่นเชิดที่ราชากู่มอบให้เจ้า ต่อไปเจ้าอยากให้เขาทำอะไร เขาจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า”
อาชิงลูบท้องน้อย ๆ “แต่ข้าไม่ชอบคนผู้นี้”
เยว่พั่วหลัวเข้าใจได้เป็นอย่างดี นางก็ไม่ชอบเจ้าคนคิ้วไม่เท่ากันนี่เหมือนกัน
ดังนั้นนางจึงหยิบมีดเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าของนาง ทำบางอย่างบนใบหน้าของหานฉีอยู่สักพัก หลังจากกันคิ้วให้เท่ากันแล้วจึงถอนหายใจออกมา
“ค่อยดูเจริญตาขึ้นมาหน่อย พอดูได้แล้วกระมัง” เยว่พั่วหลัวปัดตัวของอาชิงเบา ๆ
“อีกอย่าง วรยุทธ์ของเขาดีมาก เราไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน หุ่นเชิดเช่นนี้ถ้าเป็นที่นู่นสามารถขายได้ราคาไม่น้อยเลยทีเดียว”
เมื่อได้ยินเรื่องเงิน อาชิงก็ดวงตาเป็นประกาย “เช่นนั้นพวกเราเอาเขาไปขายกันเถอะ”
จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดต่ออีก “ขายเท่าไรดี! ห้าสิบตำลึงเป็นอย่างไร! แพงไปหรือไม่?”
หานฉียอดฝีมือระดับสูงที่อยู่ข้างกายอัครมหาเสนาบดีหาน ที่ค่าตัวปีละหนึ่งหมื่นตำลึงเงินยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง น่าเสียดายที่เขานึกคิดอะไรไม่ได้อีกแล้ว มิฉะนั้นหากเขารู้ว่าค่าตัวของเขาเหลือแค่ห้าสิบตำลึง ไม่รู้ว่าเขาจะคิดเช่นไรบ้าง
…
เดิมทีองค์ชายสิบต้องการมาเล่นกับอาชิงและคนอื่น ๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนี้ทุกคนจะอยู่ช่วยงานที่บ้าน เขาเล่นกระดานลื่นคนเดียวก็ไม่สนุก จึงไปเล่นพ่อแม่ลูกกับพวกหย่งหนิง โดยที่เขารับบทเป็นองครักษ์
ตอนที่องค์ชายห้าเซี่ยซั่วให้คนมาตาม เขากำลังช่วยรินน้ำอยู่เลย
องค์ชายสิบถูกพากลับไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก ทันทีที่กลับไปถึงกระโจมเขาก็เตรียมที่จะงอแง แต่กลับเห็นพี่ห้าของตัวเองนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
องค์ชายสิบไม่ได้นึกชอบใด ๆ ในพี่ชายร่วมสายเลือดคนนี้เลย ประกอบกับอายุที่ต่างกันมาก ปกติก็ไม่พูดคุยกันอยู่แล้ว
“คารวะพี่ห้า”
เซี่ยซั่วตบโต๊ะ “เจ้าจำได้ด้วยหรือว่าข้าคือพี่ห้าของเจ้า? ข้าคิดว่าวิญญาณของเจ้าไปอยู่กับคนหมู่บ้านตระกูลเฉินแล้วเสียอีก”
องค์ชายสิบก็อยากทำเช่นนั้นเหมือนกัน อย่าว่าแต่วิญญาณเลย แม้แต่ตัวเขาก็อยากไปอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินแล้ว
“ท่านมาเพื่อด่าข้าหรือ?” องค์ชายสิบถลึงตาใส่เขา เขาไม่ได้ทำอะไรผิด มาตะคอกใส่เขาทำไมกัน
เซี่ยซั่วเคาะโต๊ะ “เจ้าบอกข้ามาสิ เจ้าเอาแต่คิดที่จะไปหมู่บ้านตระกูลเฉิน เจ้าไปคารวะไท่ซ่างหวงมาบ้างหรือยัง? เวลาส่วนใหญ่เจ้าทำอะไร?”
“เล่นน่ะสิ กว่าข้าจะแย่งบทองครักษ์มาได้ ท่านก็เรียกตัวข้ากลับมา ตำแหน่งนั้นก็หายไปแล้ว”
เซี่ยซั่วสูดลมหายใจเข้าด้วยความโมโห “เจ้าเป็นองค์ชาย! เจ้ารู้ตัวหรือไม่?!”
ต่อไปเมื่อเขาเป็นฮ่องเต้ เจ้าเด็กนี่ก็จะได้เป็นท่านอ๋อง เป็นพี่น้องเพียงคนเดียวที่สามารถพึ่งพิงได้ สุดท้ายเจ้าเด็กนี่โตป่านนี้แล้วก็ยังคิดแต่จะเล่น ยังจะหวังอะไรจากเขาได้อีก!
หากไม่ใช่เพราะออกมาจากท้องแม่เดียวกัน องค์ชายห้าไม่อยากจะมีน้องชายเช่นนี้เลยจริง ๆ
องค์ชายสิบมุ่ยปากแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าเพียงแค่เล่นพ่อแม่ลูก ท่านมาดุข้าทำไม มีอะไรใหญ่โตกัน”
เขายังเป็นเด็กอยู่เลย!
“ต่อไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปที่หมู่บ้านตระกูลเฉินอีก และไม่อนุญาตให้เจ้าไปคลุกคลีกับลูกชาวนาพวกนั้นด้วย ตั้งแต่นี้ไปให้เจ้าอยู่ท่องตำราที่นี่”
“ไม่ พวกเรายังไม่กลับนี่นา กลับวังไปก็ไม่มีคนเล่นเป็นเพื่อนข้าแล้ว เหตุใดข้าถึงไปเล่นกับพวกเขาไม่ได้กัน!”
เซี่ยซั่วดึงเขาเข้ามา “เจ้าถามข้าว่าทำไม ดี ข้าจะบอกเจ้าว่าทำไม!”
เซี่ยซั่วจ้ององค์ชายสิบเขม็ง ก่อนจะเอ่ยออกมาทีละคำ “เพราะคนของตระกูลเฉินจะต้องตาย”
องค์ชายสิบดวงตาเบิกโพลง “เพราะเหตุใด?”
“เพราะพวกเขาเห็นด้านที่อัปยศที่สุดของฮ่องเต้ เข้าใจหรือไม่? หลังจากนี้อีกไม่กี่เดือนพวกเขาทั้งหมดจะกลายเป็นกลุ่มคนที่ตายแล้ว เหตุใดเจ้าต้องเสียเวลาด้วย ถ้าชอบสิ่งของเหล่านั้นก็สั่งให้คนทำให้ก็ได้แล้ว เจ้าสิบ เด็กในราชวงศ์มีเพื่อนที่ใดกัน?”
หลังจากที่เซี่ยซั่วจากไป องค์ชายสิบก็เอาแต่กอดหมอนของเขา จะร้องก็ไม่กล้าร้อง เขาอยากไปหมู่บ้านตระกูลเฉินจริง ๆ แต่ก็กลัวว่าไปแล้วจะถูกจับกลับมาอีก
เขาไม่อยากให้พวกเขาตาย เขาไม่ต้องการ!
…
ตอนเย็นฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ตัดสินใจได้ ในเมื่อไท่ซ่างหวงไม่กลับและเขาก็อยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว ข่าวที่เผยยวนบุกเข้าเมืองหลวงสังหารสี่ขุนศึกคาดว่าคงจะแพร่สะพัดออกไปแล้ว นี่น่าตื่นตระหนกกว่าข่าวที่ไท่ซ่างหวงถูกลักพาตัวไปเสียอีก
คิดว่าตอนนี้ชื่อเสียงของเผยยวนก็ถูกตัวเขาเองเหยียบจนป่นปี้ไปเกือบหมดแล้ว ยิ่งกว่านั้นฮ่องเต้เซี่ยเจินยังลำบากตรากตรำออกจากเมืองหลวงมารับไท่ซ่างหวงด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถทิ้งราชกิจโดยไม่สนใจได้
แต่เขาหารู้ไม่ว่าหลังจากเขากลับไปถึงเมืองหลวง จะมีเสียงวิจารณ์ระลอกใหญ่รอเขาอยู่
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลัว
เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่จนถึงรุ่งสางได้ เขากลัวว่าเผยยวนจะมาฆ่าเขาในคืนนี้
บรรดาขุนนางที่คาดเดาสถานการณ์ได้ต่างก็รีบเก็บเสื้อผ้าของพวกเขารออยู่นานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงค่อย ๆ ไปอาบน้ำอย่างใจเย็น ส่วนเรื่องการเปลี่ยนแผ่นดิน จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปสิ อย่างไรเสียก็ยังมีไท่ซ่างหวงอยู่ ไม่มีทางที่พวกเขาจะพลอยลำบากไปด้วยอยู่แล้ว
ส่วนอัครมหาเสนาบดีหานก็รอแล้วรอเล่ากว่าหานฉีจะกลับมา
หลังจากกลับมาก็ดูไม่ปกติและเย็นชายิ่งกว่าเดิม ใบหน้าเรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
“องค์ชายรองบัดนี้ข้างกายจะขาดคนไม่ได้ อย่าลืมปกป้องตัวเองอย่างระมัดระวังด้วย”
พูดยังไม่ทันจบ หานฉีก็จากไปทันที
แม้ว่าหานเหล่ยจะไม่พอใจ แต่เมื่อคิดว่าบางทีคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งล้วนมีบางอย่างที่คนธรรมดาเข้าไม่ถึง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เก็บมาคิดมากแต่อย่างใด
…
ในค่ายพักแรมเสียงดังเพียงนี้ หมู่บ้านตระกูลเฉินจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
จี้จือฮวนกำลังปรึกษากับเผยยวนอยู่ “โรงงานเวชสำอางใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว หากเรายังไม่กลับซีเป่ยล่ะก็ ข้าคิดว่าจะให้บรรดาครอบครัวทหารไปช่วยงานที่โรงงานเวชสำอางก่อน เมื่อเป็นไปตามแผนก็จะสามารถเปิดที่ซีเป่ยได้ด้วย และให้ค่าจ้างกับพวกนาง
นอกจากนี้คนที่ไม่ได้มีสำมะโนครัวเป็นคนซีเป่ย ข้าอยากจ้างสำนักคุ้มภัยส่งเบี้ยหวัดและเสบียงให้ครอบครัวของพวกเขา จะได้รับรู้ความเป็นไปได้ด้วย ไม่ใช่สายตามืดบอดไม่รู้สถานการณ์รอบตัวเลย คนเขาเสี่ยงอันตรายเพื่อพวกเรา พวกเราก็ควรช่วยดูแลหลังบ้านให้พวกเขา”
เผยยวนกุมมือของนาง “ทุกอย่างเจ้าตัดสินใจได้เลย”
ด้านเบี้ยหวัดและเสบียงเผยยวนเองก็คิดเอาไว้นานแล้วว่าเซี่ยเจินไม่มีทางให้
ปีก่อน ๆ ด้านกรมโยธาก็เข้มงวดอยู่แล้ว ซีเป่ยล้วนพึ่งพาเงินอุดหนุนของตัวเอง แต่อย่างไรเสียก็มีของที่ยึดมาจากเชลยศึกจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่จี้จือฮวนไม่มีทางปล่อยให้คนที่ติดตามตนเองต้องลำบากอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นเผยเกอเป็นพ่อแท้ ๆ ของเจ้าของร่างนี้ และยังเป็นชายชาตรีอีกด้วย จี้จือฮวนเคารพคนเช่นนี้มาก ไม่เพียงกองทัพทหารเกราะเหล็กจะไม่ถูกทำลายไปเท่านั้น แต่นางจะทำให้กองทัพนี้แข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
นางจะเฝ้าดูเผยยวนทำตามความปรารถนาสุดท้ายของเผยเกอ และหวังว่าเขาจะสามารถเจอพ่อกับแม่ที่แท้จริงของตัวเอง ยังมีเด็กทั้งสามคนอีก รวมถึงทุกคนที่นางห่วงใยล้วนต้องอยู่อย่างมีความสุข
…
พวกอาฝูรู้ว่าองค์ชายสิบจะไปแล้ว จึงเก็บของเล็ก ๆ น้อย ๆ พากันวิ่งไปที่ค่ายพักแรม
เนื่องจากเป็นคนที่ออกมาจากหมู่บ้านตระกูลเฉิน ทหารองครักษ์จึงไม่กล้าดุด่า ก่อนจะให้คนไปทูลองค์ชายสิบ
ประกอบกับทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของ จึงไม่มีการคุ้มกันเข้มงวดนัก องค์ชายสิบจึงวิ่งออกมาได้ เมื่อเห็นพวกเขาก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย “พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน?”
อาฝูส่งตะกร้าให้เขา “เจ้าเอาไปเถอะ ต่อไปไม่แน่ว่าพวกเราอาจไม่ได้เจอกันอีก เจ้าต้องทำตัวดี ๆ ล่ะ อย่าไปรังแกคนอื่นมากนัก”
องค์ชายสิบซาบซึ้งใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา เขาเปิดตะกร้าดูเล็กน้อย ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วพูดขึ้น “พวกเจ้ารอก่อน”
เขาวิ่งกลับไปที่กระโจม ให้คนรับใช้ย้ายหีบของตัวเองออกมาให้พวกเขา “พวกเจ้าเอากลับไปเถอะ เป็นของที่ข้าเล่นในวัง พวกเจ้าอย่ารังเกียจเลยนะ”
พวกอาฝูถอนหายใจออกมา “ลาก่อน”
องค์ชายสิบหันหลังให้และร้องไห้ออกมา “อืม!”
เขาไม่ต้องการให้ผู้คนในหมู่บ้านตระกูลเฉินตาย ตอนที่พวกอาฝูกำลังจะจากไป องค์ชายสิบจึงหันหน้ามาและดึงพวกเขาเข้ามากระซิบกระซาบ “พวกเจ้าต้องระวังตัวนะ”
.
.
.