หลี่ฉางโซ่วไม่เคยคิดว่า เซียนหยางบริสุทธ์ บุรุษผู้มากรักจากอนาคตจะมีกรรมของเขาเกิดขึ้นมาในขณะนี้…
คราวนี้แม่ทัพตงมู่มาที่นี่เพื่อขอบคุณต่อหลี่ฉางโซ่ว
แต่ในทันทีที่ทั้งสองคนพบกันบนภูเขาในแผนที่ขุนเขาสายน้ำ แม่ทัพตงมู่ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท ท่าน…ท่านยิ้มให้ข้า!”
ทว่าหลี่ฉางโซ่วรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับผู้สนับสนุนรายใหญ่ในอนาคตคนหนึ่งของเขาอย่างกะทันหัน
หลังจากนั้น แม่ทัพตงมู่ก็ถอนหายใจยาวและพูดถึงความยากลำบากของเขาในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา
เดิมเขาเป็นเพียงเซียนธรรมดา เมื่อสิ้นสุดสงครามจอมเวท-ปีศาจ และการเพิ่มขึ้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็มีผลงานมากมายจากการมีส่วนร่วมอย่างมากในการช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ และได้รับบุญมหาศาล และด้วยเหตุนี้ จอมปราชญ์เทพจึงได้เลือกเขาให้เป็นแม่ทัพตงมู่หรือตงหวังกงผู้ก่อตั้งศาลสวรรค์
ในเวลานั้น องค์เง็กเซียนเป็นเด็กชายที่อยู่หน้าบรรพาจารย์เต๋า เขามีเหล่าจอมปราชญ์เทพเป็นศิษย์พี่ของเขาและไม่เคยเปิดเผยขอบเขตพลังการฝึกฝนของเขา
เขามีกี่ชีวิตกันเล่าจึงกล้าต่อสู้เพื่อชิงอำนาจกับองค์เง็กเซียน
แม่ทัพตงมู่เป็นคนสุขุมรอบคอบและระมัดระวังและมีชีวิตอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ[1] มาเป็นเวลานาน เขาไม่ได้นอนหลับสบายเลยแม้แต่วันเดียว…แม้ว่าเขาจะไม่จำเป็นต้องนอนก็ตาม
เมื่อไม่กี่วันก่อน แม่ทัพตงมู่ได้แต่งงานกับเซียนสตรีผู้หนึ่งที่เขารู้จักมาเป็นเวลานาน และขอให้องค์เง็กเซียนส่งสารให้เขา
“ฝ่าบาท รอยยิ้มของฝ่าบาทช่างแจ่มกระจ่างสดใสจริงๆ…”
ในขณะนั้น แม่ทัพตงมู่พลันถอนหายใจยาวและลุกขึ้นโค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วและกล่าวว่า “ขอบคุณที่ช่วยเหลือ สหายเต๋า หากท่านมีงานใดให้ข้าช่วยได้ ข้าจะพยายามเพื่อท่านอย่างเต็มที่ที่สุด!” หลี่ฉางโซ่ว พลันส่ายศีรษะพลางแย้มยิ้ม แต่เขายังคงกังวลและถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่แม่ทัพตงมู่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้
โชคดีที่เขาถามคำถามนั้น…
ครั้นเมื่อได้ยินคำพูดของแม่ทัพตงมู่ ‘ข้าต้องการทั้งหมด’ ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังอย่างกะทันหัน
“สหายเต๋า ท่านไม่อาจมีมากเกินไป ชื่อเสียงของความซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียวก็สำคัญไม่แพ้กัน สหายเต๋า หากวันนี้ท่านสมรสกับเซียนสตรี แล้วหากพรุ่งนี้มีงานวิวาห์อีก ท่านจะยอมรับอีกหรือไม่”
ทว่าแม่ทัพตงมู่ยิ้มและกล่าวว่า “แน่นอน ข้าจะยอมรับพวกนางทั้งหมด มันจะมีเสถียรภาพมากกว่า หากข้ามีมากกว่านี้”
“หากเป็นเช่นนั้น สารที่องค์เง็กเซียนตอบแทนท่านย่อมจะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไปแล้วหรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวต่อว่า “สำหรับข้าแล้ว การมีอารมณ์อ่อนไหวก็ยังดีกว่ามากรักจนเกินไป แต่ความซื่อสัตย์นั้นยิ่งดีกว่าการมีอารมณ์อ่อนไหวมากเกินไป…สหายเต๋า ท่านกลัวว่าฝ่าบาทจะคิดมากเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดถึงยังวาดงูเติมเท้า[2] และยังทำร้ายตัวท่านเองอีกด้วย”
“นะ-นี่…”
ในขณะนั้น แม่ทัพตงมู่จึงยืนขึ้นและเดินไปมา ด้วยสีหน้าท่าทีกังวลใจแล้วกล่าวว่า “ข้าแค่คิดว่าการมีคนมากขึ้นจะปลอดภัยกว่า”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวกับความมั่นคง” หลี่ฉางโซ่วไตร่ตรองและกล่าวต่อว่า “สหายเต๋า เรื่องนี้ยังแก้ไขได้ แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะให้ความคิดในเรื่องนี้แก่ท่าน ท่านกับข้าไม่ควรพบกันส่วนตัวเช่นนี้ สหายเต๋าเข้าใจใช่หรือไม่”
“แน่นอน ข้าเข้าใจ” แม่ทัพตงมู่กล่าวพลางโค้งคำนับในขณะที่หลี่ฉางโซวก็ลุกขึ้นยืนเพื่อโค้งคำนับกลับเช่นกัน
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วทำได้เพียงช่วยแม่ทัพตงมู่วางแผนดำเนินการในอนาคตของเขาต่อไปเท่านั้น
ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างนิสัยบุคลิกที่ซื่อสัตย์ภักดี คงจะเป็นการดีที่สุดหากเขาสามารถขอตำแหน่งภรรยาของเขาและสร้างเรื่องราวความรักสั้นๆ ที่สามารถเผยแพร่ไปในศาลสวรรค์ได้
ในเวลานี้ แม่ทัพตงมู่ซึ่งเดิมทีสนใจเพียงการฝึกฝนเต๋าและช่วยเหลือองค์เง็กเซียน กำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะซึมซับ ‘ความรู้’ ของหลี่ฉางโซ่ว ผู้เป็นที่ปรึกษาของเขา
จากนั้น แม่ทัพตงมู่ก็ค่อยๆ เริ่มรู้สึก…รู้แจ้ง…
และในตอนท้ายของการสนทนา แม่ทัพตงมู่ก็สามารถทำการสรุปสั้นๆ ได้จากจุดเดียวที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวถึง
บางทีอาจเป็นพรสวรรค์ของการเป็นร่างเซียนหยางบริสุทธิ์ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา…
“ข้าลืมถามไปว่า ในตอนนี้ ท่านแม่ทัพตงมู่กำลังจะแต่งงานกับผู้ใดกัน”
ในกระท่อมมุงจาก ขณะนี้หลี่ฉางโซ่วรวบชายเสื้อคลุมเต๋าขึ้นมาด้านหน้าพลางยืนขึ้นจากเบาะนั่งสมาธิ แล้วยืดเหยียดกายออกเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็เดินทางและมุ่งหน้าไปที่กระท่อมมุงจากของท่านอาจารย์ ซึ่งอยู่ข้างกระท่อมของเขาต่อไป
คำว่ารักส่งผลกรรมขึ้นมากมาย…
แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ตงมู่ เซียนผู้ทรงพลังแห่งศาลสวรรค์ ได้สั่งสมบุญเอาไว้มากมายนับไม่ถ้วนและได้รับแต่งตั้งจากจอมปราชญ์เทพ แต่บัดนี้ เขากลับต้องกังวลใจเพราะความรัก
แน่นอนว่า ความกังวลใจส่วนใหญ่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลมาจากอำนาจของแม่ทัพตงมู่เอง
อาจารย์ของเขาต้องสูญเสียรากฐานที่จะกลายเป็นเซียนเพราะความรัก และในตอนนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจมากขึ้นจนไม่อยากออกจากกระท่อมมุงจากในขณะที่รู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง
หือ?
เหตุใดอาจารย์…จึงผล็อยหลับไปอีกครั้ง…
หลี่ฉางโซ่วปลดค่ายกลด้วยตัวเขาเองก่อนจะกระแอมในลำคอแล้วร้องตะโกนเข้าไปในกระท่อมมุงจากของท่านอาจารย์ของเขา “ท่านอาจารย์ ข้ามีเรื่องสำคัญจะขอหารือกับท่านขอรับ”
“โอ้?”
ทันใดนั้น ฉีหยวนก็เปิดประตูไม้ออกอย่างรวดเร็ว แม้เขาจะเต็มไปด้วยพลังงาน แต่สีหน้าท่าทีและแววตาของเขายังคงหดหู่เล็กน้อย “เข้ามาสิ มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ”
“ท่านอาจารย์ ท่านรู้เรื่องการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าหรือไม่ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วเอ่ยถามพลางยิ้ม
ในที่สุด ฉีหยวนก็เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนหน้านี้หลิงเอ๋อร์ได้รายงานข่าวดีเกี่ยวกับการแข่งขันภายในสำนักมาแล้ว ศิษย์ทั้งสองคนของเขาสนิทสนมกันและฝึกฝนกันมาอย่างหนักทำให้เขามีความสุขมากที่ได้เป็นอาจารย์ของพวกเขา
แน่นอนว่า ฉีหยวนยังเดาได้ว่าความก้าวหน้าต่อเนื่องหกระดับของศิษย์น้อยของเขาน่าจะเป็นการเปิดเผยขอบเขตพลังการฝึกฝนที่แท้จริงของนาง…
“อาจารย์ย่อมรู้เรื่องการประชุมครั้งนี้ หรือว่าผู้อาวุโสแนะนำให้หลิงเอ๋อร์เข้าร่วมด้วย” “เหตุใดต้องให้หลิงเอ๋อร์ไปที่นั่น”
หลี่ฉางโซ่วพลันชี้แจงว่า “ท่านอาจารย์การไปร่วมงานการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋านั้น ความจริงแล้วไม่มีประโยชน์ การเดินทางไปบนก้อนเมฆนั้นยาวไกล และหากไม่ระวังให้ดี ย่อมจะก่อให้เกิดผลกรรมได้ง่าย”
ฉีหยวนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า
“ศิษย์ข้า เจ้าเก่งกาจทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ เจ้าเอาแต่มองเพียงแค่พื้นที่ขนาดเท่าฝ่ามือของยอดเขาหยกน้อยของเราเสมอ การไปร่วมงานการประชุมสามสำนักบำเพ็ญเต๋าจะเป็นการต่อสู้เพื่อความรุ่งโรจน์และสร้างชื่อเสียงเกรียงไกรให้กับสำนักตู้เซียน! มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้เข้าร่วมงานกับเหล่าปรมาจารย์ในสำนัก เจ้าจะพูดถึงเรื่องผลประโยชน์อย่างไรกัน!!”
หลี่ฉางโซ่วจึงเงียบงันทันที
แต่หากมีผู้อาวุโสในสำนักมาแนะนำหลิงเอ๋อร์ เขาก็เพียงแกล้งป่วยและขอให้หลิงเอ๋อร์อยู่ดูแลเขาในเวลานั้น
ความจริงแล้ว การประชุมครั้งนี้ยังห่างไกล ยังไม่มีวันและเวลาที่กำหนดชัดเจน มันอาจเกิดขึ้นในอีกสามสิบถึงห้าสิบปีนับจากนี้ด้วยซ้ำ
“ท่านอาจารย์ อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยขอรับ วันนี้ศิษย์มีเรื่องจะขอถามท่านขอรับ”
เมื่อเห็นว่าอาจารย์ของเขากำลังจะเริ่มพร่ำพูดจู้จี้ หลี่ฉางโซ่วจึงรีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็วและชี้แจงให้ท่านอาจารย์ของเขาฟัง
จากนั้นเขาก็ชี้แจงไปเรื่อยๆ
ครึ่งชั่วโมงยามต่อมา ประตูกระท่อมมุงจากก็เปิดออกพร้อมกับมีสองร่างก้าวเดินออกมา
คนทางซ้ายมีใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างโปร่งเพรียว และเส้นผมยาวสลวยงดงาม แน่นอนว่าเขาคือ หลี่ฉางโซ่ว
คนทางขวามีรูปร่างเล็กและเตี้ยกว่าเล็กน้อย ใบหน้าวัยกลางคน ดวงตาของเขาดูเศร้าสร้อย และหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยรอยย่นที่ดูเหมือนไม่อาจลบออกไปได้…
นักพรตเต๋าชราฉีหยวนกลับมาเป็นชายวัยกลางคนอีกครั้ง เขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน และดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณที่ดี
[1] ชีวิตอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก
[2] วาดงูเติมเท้า เปรียบเหมือนการทำสิ่งที่เกินพอดีที่นอกจากจะไม่สร้างประโยชน์แล้ว ยังอาจทำให้เรื่องเลวร้ายลงไปอีก