บทที่ 240 สักคนก็อย่าเหลือไว้

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 240 สักคนก็อย่าเหลือไว้

เวลาผ่านไปสิบห้านาที

หลานเยาเยาที่อยู่ในห้องใหม่ กำลังขบคิดปัญหาบางอย่าง

“ก๊อกก๊อกก๊อก…..”

เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะดังขึ้น

หลานเยาเยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังลุกขึ้นไปเปิดประตู

ประตูห้องเปิดออก ภาพที่ปรากฏในสายตาคือองครักษ์ผู้หนึ่งที่ร่างกายกำยำ เขาทำความเคารพนาง

“แม่นาง เจ้านายให้ข้าน้อยมาแสดงความขอบคุณต่อท่าน ขอบคุณแม่นางที่……..”

“ปัง……”

องครักษ์ลับนั้นยังไม่ทันจะพูดจบ หลานเยาเยาก็ปิดประตูใส่

ให้เจ้าขอบคุณ

ให้เจ้าอวดดี

เดิมทีนางได้ ลืมเรื่องอำพรางช่วยเหลือศัตรูเรื่องนี้ไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะส่งคนมาเพื่อย้ำเตือนโดยเฉพาะอีก

เย่แจ๋หยิ่งที่สมควรตาย

อย่าให้นางคว้าโอกาสได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติที่นางเป็นอยู่ตอนนี้

องครักษ์ลับที่โดนประตูปิดใส่มีสีหน้างงงัน!

ทำไมแม่นางผู้นี้ถึงได้โกรธ?

เขายังไม่ได้บอกต่อในสิ่งที่เจ้านายให้พูดได้จบเลย! หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไป?

แต่เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนี่?

เมื่อเขาเอาเรื่องที่เผชิญมา รายงานต่อเย่แจ๋หยิ่งอย่างละเอียดแล้ว ยังมีทีท่าความงงงันอยู่

“นางกำลังโกรธ?”

เมื่อได้ยินองครักษ์ลับรายงาน มือที่ถือถ้วยชาของเย่แจ๋หยิ่งชะงัก

หรือว่าเป็นเพราะเรื่องที่อยู่ในห้องก่อนหน้านี้?

แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรนาง ทำไมนางจึงโกรธได้?

“ใช่ขอรับ ข้าน้อยยังพูดไม่จบนางก็ปิดประตูไปแล้วขอรับ”

“อืม รู้แล้ว ไม่ต้องสนใจนาง” เขาให้องครักษ์ลับไปแสดงความขอบคุณ ก็เพียงพูดเป็นมารยาทเท่านั้น

นางยังไม่รับน้ำใจ?

เชอะ!

เขาขี้เกียจจะไปใส่ใจ!

ดังนั้น เย่แจ๋หยิ่งจึงหันไปมองดูค่ำคืนที่มืดสนิท รีบพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา :

“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”

“เรียนเจ้านาย ได้จัดการเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ” พวกเขาองครักษ์ลับจะจัดการเรื่องอย่างเรียบร้อยด้วยความคล่องมาตลอด ด้วยความรวดเร็ว

“รีบไป!”

“ขอรับ!”

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม

หลานเยาเยาที่ยังไม่ได้พักผ่อน นับดูเวลา ก็ถึงเวลาแสดงแล้ว เวลานี้เป็นเวลาที่ผู้คนหลับสนิท

ดังนั้น นางจึงเปิดประตูห้อง จากนั้นก็เรียกจื่อซีกับจื่อเฟิงมา

“พวกเราไปกันเถอะ!”

จื่อซีกับจื่อเฟิงที่จัดการสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็พยักหน้าทันที

“ขอรับ!”

สำหรับการตัดสินใจของคุณหนูของตัวเอง พวกเขาสนับสนุนเต็มที่

แต่ จื่อซีที่พูดมากเป็นปกติ ยังจะถามออกมาด้วยความกล้า : “คุณหนู ที่นี่เป็นที่ที่เจ้าของเรือแห่งความสิ้นหวังจัดเตรียมให้ จากไปเช่นนี้ ทางเจ้าของเรือนั้น……”

จื่อซีและจื่อเฟิงนั้นไม่ได้เข้าร่วมอยู่ในเรือแห่งความสิ้นหลัง แต่ได้ติดตามหลานเยาเยามาโดยตลอด

สำหรับหานแส!

พวกเขาก็ยังคงความระแวดระวังตัวไว้อยู่ตลอด

สามปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาก็ได้เห็นแล้ว หานแสเพื่อที่จะช่วยเหลือคุณหนู ก็ทุ่มเทมาก

แม้จะรู้ว่าพวกเขาเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากกันละกันเท่านั้น

แต่ว่า……

หากว่าจากไปเช่นนี้แล้ว ทำให้หานแสไม่พอใจขึ้นมา ถึงเวลานั้นคุณหนูจะถึงคราวลำบากกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เขา? ไม่ต้องสนใจ”

เพราะเขาทำเรื่องทั้งหมด

ยังจะสนใจเขาอีกทำไม?

เย่แจ๋หยิ่งจะอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้ตั้งนานโดยไร้เหตุผลได้เช่นไร?

ที่พวกเขาเจอกันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นเพราะมีคนเตรียมการไว้ด้วยความตั้งใจ

คนคนนั้นก็คือหานแส!

โรงเตี๊ยมแห่งนี้เดิมทีก็เป็นของหานแส เถ้าแก่ในโรงเตี๊ยมนี้ก็ต้องเป็นคนของเขาเป็นธรรมดา

นางเคยพบเห็นเจอกับวิธีที่โหดเหี้ยมของเขา เขาจัดเตรียมโรงเตี๊ยมให้เป็นพิเศษ จะต้องสั่งการคนข้างในไว้เป็นพิเศษแล้ว เถ้าแก่ไม่มีทางทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆให้คนเข้ามาอยู่ติดต่อกันสองถึงสามครั้งได้

ดังนั้น!

การที่เขาให้คนเข้ามาอยู่

ก็เป็นเพราะมีคนอื่นบงการอยู่ ส่วนคนที่บงการเป็นใคร นางใช้ปลายเท้าคิดก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

เริ่มแรกด้วยสองสามีภรรยาปลอมคู่นั้น เป็นเพียงแค่การทดสอบผิวเผิน และสิ่งที่เขาอยากทดสอบจริง คือหลังจากที่นางพบเจอเย่แจ๋หยิ่งครั้งแรกจะแสดงออกเช่นไร

ตอนนี้การทดสอบจบแล้ว นางจะยังอยู่ที่นี่ไปทำไม?

แน่นอนว่าจะต้องหายตัวไปสักสองสามวัน เตรียมการเรื่องการเข้าเมืองให้ดี

การปรากฏตัวในฐานะเทพธิดา ความประทับใจแรกเป็นสิ่งสำคัญ

ดังนั้น นางจะต้องแสดงสิ่งที่โดดเด่นน่าทึ่งที่สุดออกมาต่อหน้าทุกคน

หลังจากที่หลานเยาเยาพวกเขาจากไป

หานแสที่ใส่ชุดสีม่วงที่ดูลึกลับก็ปรากฏตัวอยู่บนหลังคาของโรงเตี๊ยม ด้านหลังมีป่ายเม่ยเซิงและชายชุดเขียวติดตามอยู่

หลังจากมองส่งหลานเยาเยาที่หายตัวไปในความมืด

เขาก็เหาะลงมาด้านล่าง จากนั้นก็เดินอย่างช้าๆเข้าไปในโรงเตี๊ยม

ทันทีที่เถ้าแก่เห็น!

ก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความสั่นกลัว

“ข้าน้อยคำนับเจ้าของเรือ ลูกค้าคนพิเศษออกไปแล้วขอรับ”

“ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไปแล้ว ดังนั้น ข้ามาเพื่อที่จะปิดปาก” น้ำเสียงที่ฟังดูสบายๆของหานแสดังขึ้น

เมื่อได้ยินคำว่าปิดปากสองคำ ทำให้เถ้าแก่ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด

เจ้าของเรือมาครั้งนี้ จะต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นแน่

ดังนั้น เขารีบ “ปึงปึงปึง” หัวโขกพื้น

“เจ้าของเรือไว้ชีวิต ข้าน้อยได้ทำตามในสิ่งที่ท่านชี้แนะ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆว่าเรื่องของนักฆ่าพวกนั้นเกิดขึ้นได้เช่นไร? ขอเจ้าของเรือได้โปรดเข้าใจ”

หานแสลูบผมสีขาวที่ห้อยลงมาตรงด้านหน้าหน้าอก เหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำที่เถ้าแก่พูด เขามองไปรอบๆด้านอย่างช้าๆด้วยความสบายๆ

แม้ว่าคราบเลือดและศพได้ถูกจัดการได้อย่างสะอาดเรียบร้อยแล้ว แต่ร่องรอยของมีดดาบที่ทิ้งไว้นั้นกลับไม่มีทางลบเลือนไปได้

มองดูร่องรอยเหล่านี้ หานแสก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นแสยะยิ้มเคลือบไปด้วยชั่วร้ายออกมา

“ไม่รู้?” เหลือบมองไปที่เถ้าแก่แวบหนึ่ง หันกลับมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ในเมื่อไม่รู้ งั้นเก็บเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร?”

นักฆ่าหลายสิบคนแอบซ่อนอยู่ใกล้ๆโรงเตี๊ยม

และยังดักซุ่มอยู่เป็นเวลาหลายวันแล้ว เขากลับไม่สังเกตเห็นถึงอะไรเลย

คนไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไม่ควรเก็บไว้

กลิ่นไอแห่งความมรณะที่หนาแน่นได้โอบล้อมตัวของเถ้าแก่ไว้ ทำให้เขาตัวสั่นเหมือนตะแกรง

“เจ้าของเรือ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ได้โปรดให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ข้าน้อยรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นอีก”

“โอกาส? เหอะ ไม่ใช่ว่าใครก็ได้จะมีโอกาสครั้งที่สอง” พูดจบ หานแสก็หมุนตัวเดินออกไป “สักคนก็อย่าเหลือไว้ ทำลายศพทำลายร่องรอย”

คำพูดที่โหดเหี้ยม เอ่ยออกมาอย่างเบาเบา

ราวกับว่าจะเป็นเรื่องปกติที่คุ้นชินของหานแส

หลังจากที่ป่ายเม่ยเซิงและชายชุดเขียวทำมือคำนับเล็กน้อย ร่างกายก็ขยับแล้ว

สองคนแยกย้ายกันไปลงมือ

ป่ายเม่ยเซิงเดินไปถึงด้านหน้าของเถ้าแก่ มองดูเถ้าแก่เฉกเช่นมองดูศพ

เวลานี้เถ้าแก่ตัวอ่อนทรุดอยู่กับพื้น เขาพยายามหนีไปด้านหลังอย่างสุดชีวิต หนีตั้งนานก็กลับไม่ขยับเลยแม้สักนิด ในพริบตาดวงตาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง

“อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า ขอร้องท่านล่ะ ข้าไม่อยากตาย ข้ายอมไปเป็นวัวเป็นม้า ท่านจะให้ข้าทำอะไรก็ได้ ขอร้องท่านแล้ว อย่าฆ่าข้า

……”

เมื่อเผชิญหน้ากับเถ้าแก่ที่อ้อนวอนด้วยความสิ้นหวัง

ป่ายเม่ยเซิงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เจ้าก็รู้ เจ้าของเรืออยากให้ใครตายผู้นั้นก็ต้องตาย หากข้าไม่ฆ่าเจ้า เช่นนั้นตายก็จะเป็นข้า

เจ้าควรจะรู้สึกดีใจ ที่เป็นข้ามาจัดการเจ้า หากเปลี่ยนเป็นท่านนั้นละก็ เจ้าไปเกิดใหม่ชาติหน้าก็ยังจะต้องฝันร้าย”

โดยปกติแล้วป่ายเม่ยเซิงจัดการเรื่องได้ด้วยความคล่องแคล่วเรียบร้อย

เขาไม่ชอบพูดมาก ยิ่งไม่ชอบชื่นชมความสิ้นหวังของผู้อื่น

แต่เขาก็ไม่รีบร้อนที่จะลงมือ

เขาอยากให้เถ้าแก่เข้าใจ สิ่งที่เขาพูดไปทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

แต่ทว่า!

เมื่อเสียงของเขาสิ้นสุดลง ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างน่าสังเวชดังมาจากตรงที่พนักงานร้านอยู่

และนั่นเป็นเสียงแหลมที่ร้องอย่างน่าสังเวช หลังจากเสียงหนึ่งแล้วเสียงก็ไม่ได้หยุดขาดหายไปในทันที แต่กลับมีเสียงร้องหนึ่งแล้วก็อีกเสียงร้องหนึ่งตามมา เสียงร้องหนึ่งก็ยิ่งแหลมกว่าอีกเสียงร้องหนึ่ง….