บทที่ 241 เป็นเจ้าสำนักที่แตกต่าง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 241 เป็นเจ้าสำนักที่แตกต่าง

ครู่ต่อมา!

เสียงวิงวอนที่โอนอ่อนของเสี่ยวเอ้อ(บริกรสมัยโบราณ)ดังขึ้นอีกครั้ง:

“ได้โปรด ได้โปรดท่าน ฆ่า…ข้า ข้า…”

ส่วนเถ้าแก่ที่หวาดกลัวจนหัวหด ก็อ้าปากจะพูดแต่กลับพูดไม่ออก

เมื่อเห็นเช่นนั้น!

ป่ายเม่ยเซิงที่เปลือยแผ่นอกครึ่ง ก็ได้จัดเสื้อผ้าของตน พลางพูดปลอบประโลมว่า:

“ตอนนี้เจ้าเชื่อแล้วกระมัง! ยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี วางใจเสีย เจ็บเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น!”

ในขณะที่เขาพูดไปเพียงครึ่งเดียว เขาก็ได้ลงมือ เมื่อเขาพูดจบ เถ้าแก่ก็ล้มลงไปกองกับพื้น……

ส่วนชายชุดเขียวที่ทรมานเสี่ยวเอ้อ(บริกรสมัยโบราณ)จนสิ้นใจแล้ว เมื่อเดินออกมาก็ได้เห็นภาพป่ายเม่ยเซิงที่กำลังสังหารเถ้าแก่

ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย:

“เจ้าฆ่าเขาให้ตายอย่างรวดเร็ว เขาตายไปก็หาได้รับรู้ถึงคุณงามความดีของเจ้าไม่ คนที่จะฆ่าเจ้าในอนาคต ก็ใช่ว่าจะฆ่าเจ้าให้ตายอย่างรวดเร็วเสียเมื่อไหร่กัน เจ้าจะทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใด?”

ในมุมมองของชายชุดเขียว

หากไม่สนุกกับความหวาดกลัวและความสิ้นหวังของผู้อื่นในเพลานี้ งั้นจะรอให้คนอื่นมาสนุกกับความหวาดกลัวของตนทีหลังรึยังไง?

“ก็ไม่เชิง แค่ไม่อยากจะทำให้เป็นเรื่องเป็นราว”

จะกี่ครั้งป่ายเม่ยเซิงก็ตอบเช่นนี้

หากมีสักวัน ที่เขาจะโดนคนอื่นทรมานให้ตาย เขาชิ่งฆ่าตัวเองตายก่อนเสียดีกว่า

“หึ! ไอ้ผู้ดีจอมปลอม!”

“อ่าห้ะ มันก็ดีกว่าความโหดร้ายของเจ้าก็แล้วกัน”

หลังจากที่ทั้งสองออกมาจากโรงเตี๊ยม ก็ได้จุดไฟเผาโรงเตี๊ยมจนสิ้นซาก

……

วันที่สองหลังออกจากโรงเตี๊ยมหยิงไหล

หลานเยาเยาได้ห่างหายไปจากสายตาของหานแส โดยไปหมกมุ่นอยู่กับการดัดแปลงกลไกของรถม้า

ช่วงสองปีมานี้ นางเดินทางท่องไปทุกหนทุกแห่ง พบเจอกับสิ่งต่างๆมากมาย ทั้งยังผูกสัมพันธ์กับเพื่อนพ้องที่ควรค่าแก่การผูกมิตร

ในบรรดาเพื่อนพ้องเหล่านั้น ต่างมีฝีมือการทำงานที่ไร้ที่ติ

อีกทั้ง!

นางยังแอบซุ่มสร้างกองกำลังของตนอีกด้วย

มิเช่นนั้น การที่เอาแต่พึ่งจื่อซีและจื่อเฟิง นางจะเลี่ยงการลอบสังหารมาได้อย่างไรตั้งหลายครั้งหลายครา อีกทั้งจะทำเรื่องราวเหล่านั้นให้ลุล่วงอย่างชาญฉลาดได้อย่างไรกัน

ก่อนหน้านี้!

เหตุที่มิให้พวกเขาปรากฏตัวตั้งแต่แรก ก็เพราะคำนึงถึงหานแส

หานแสเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน ก็ได้ครอบครองทั้งเรือแห่งความสิ้นหวังและยิงจวนไว้อีกด้วย ส่วนตัวนางในเพลานี้ ก็เป็นดั่งลูกเรือของเรือแห่งความสิ้นหวัง

มีความสัมพันธ์ฉันท์เจ้านายและลูกน้องกับหานแส ทั้งยังเป็นดั่งหุ้นส่วนร่วมคิดร่วมทำอีกด้วย

ซึ่งเขาก็ไม่ได้เชื่อใจนางมากเท่าไหร่!

แล้วคิดว่านางเชื่อใจเขามากนักรึไง?

หากให้เขารู้ว่านางแอบซุ่มสร้างกองกำลังของตนอยู่ละก็ ถึงตอนนั้น ทุกอย่างก็คงจะเหนือการควบคุม

ในป่าทึบ ถัดจากบ้านไม้ไผ่หลังหนึ่ง

หลานเยาเยานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เตี้ยตัวหนึ่ง โดยสวมชุดสีแดงฉาน ซึ่งเห็นอยู่แจ่มแจ้งว่าทั้งน่าหลงใหลทั้งยโสโอหัง แต่กลับกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงโม ทำลายภาพลักษณ์อันงดงามไปหมดสิ้น

ส่วนฝั่งตรงข้ามของนาง ก็เห็นเป็นตาเฒ่าคนหนึ่งที่แต่งตัวอย่างกับขอทาน กำลังดูแลจัดการรถม้าอยู่

ที่ปากก็บ่นมุบมิบไปเรื่อยเปื่อย

“เห็นกันอยู่ทนโท่ว่าเป็นถึงเทพธิดา แต่ละอย่างที่ทำก็มีแต่เรื่องทรามๆ”

“กิน กิน กิน กินอยู่นั่นทั้งวี่ทั้งวัน ใยไม่กินจนติดคอตายไปเสีย?”

“เป็นหนี้เขาอยู่ตั้งสิบกว่าตำลึง คิดว่ามาช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วก็ให้ยารักษามาอีกสองสามเม็ดก็จะถือว่าหายกันแล้วรึไง?”

เขาพูดพล่ามไปเรื่อย ในขณะที่กำลังดูภาพร่างของรถม้าปรับโฉม

อย่างไรก็ตาม ทั้งปากทั้งมือของเขาก็ถูกใช้งานไม่หยุดไม่หย่อน

ชายผู้นี้เป็นคนแปลกประหลาด หลานเยาเยามักจะเรียกเขาว่าตาแก่

นางหมกมุ่นอยู่กับกลเม็ดกลไก ส่วนเขาก็เชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นอย่างมาก

ได้ยินมาว่าเขาในวัยเยาว์ เคยโด่งดังไปทั่วสารทิศเพราะได้ประดิษฐ์อาวุธลับแห่งกลไกขึ้นมา จากนั้นก็ได้เจอกับคนขี้อิจฉา ที่ได้มาสร้างความร้าวฉานให้กับครอบครัว จนบ้านแตกสาแหรกขาด

เขาจึงใช้สิ่งประดิษฐ์ของตนในการล้างแค้น และไม่สนใจสิ่งใดในโลก ดังนั้นเขาจึงได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอย่างไร้ตัวตน ให้ผ่านพ้นไปวันๆ

ทว่า!

ก็ยังมีคนโลภมากในกลเม็ดลับกลไกของเขา เสาะหาเบาะแสของเขาอย่างไม่ลดละ

หากหลานเยาเยาไม่เข้ามาช่วยเอาไว้ เขาก็คงตายเพราะถูกรุมโจมตีจากคนพวกนั้นไปตั้งนานแล้ว

ในตอนแรกก็คิดว่าหลานเยาเยานั้นเป็นดั่งเทพธิดา เขาเคารพนับถือเป็นอย่างมาก จะต้องติดตามนางเพื่อไปทำกิจอันยิ่งใหญ่ให้จงได้ อีกทั้งยังตั้งสำนักหงอีขึ้นมาเพื่อนางโดยเฉพาะ

แต่หลังจากที่ค่อยๆทำความเข้าใจ

ตาแก่ก็รังเกียจเดียดฉันท์นางเข้าไส้: โดนหลอกเข้าให้แล้ว

หลานเยาเยาก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ซุกซน คดโกงในทุกๆวิธีทาง ไม่เข้ากับภาพลักษณ์เทพธิดาของนางเลยแม้แต่น้อย

“บ่นอะไร? บ่นทำไม? ตาแก่คนนี้นี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ วันๆไม่ทำอะไร บอกให้ท่านดัดแปลงรถม้า ท่านก็ยังจะมาบ่นมุบมิบๆ ด่าข้าอยู่นั่น”

อย่าลืมสิ ว่าข้านั้นเป็นถึงเจ้าสำนักของท่าน ท่านต้องให้เกียรติข้า เชิดชูข้า เคารพข้า ปกป้องข้า และฟังคำของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

ด้วยการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลานเยาเยา

ตาแก่ถึงกับตกใจผงะไป

หลังจากได้สติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองหลานเยาเยา พลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์:

“อย่างไรเสียข้าก็เป็นดั่งปรมาจารย์ด้านกลไก แต่ท่านกลับให้ข้าไปปรับโฉมรถม้า ใช้คนไม่ถูกกับงานเลยจริงๆ”

เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาจะประท้วงให้ถึงที่สุด

ผู้ใดจะรู้ได้ว่า……

หลานเยาเยาจะดึงเคราของเขา พลางแหย่เข้าไปในรูจมูก แล้วส่งเสียงออกมาเหมือนเด็กน้อย:

“ท่านสมองทึบรึยังไงกัน? ข้าให้ท่านปรับโฉมรถม้า ท่านก็จะปรับโฉมแต่รถม้าอย่างเดียวเลย?

ท่านไม่รู้ว่าต้องใส่อาวุธลับแห่งกลไก แล้วก็ปรับโฉมมันไปพร้อมๆกันรึยังไง? แก่เฒ่าปานนี้ละ ยังต้องให้ข้ามาคอยบอกอีกรึ?”

“เจ็บๆๆ เจ้าสำนัก! ท่านก็เบาหน่อย มือจะหนักกระไรถึงเพียงนั้น ไม่อยากจะให้ข้าทำงานต่อแล้วรึไงกัน?”

ตาแก่รีบดึงเคราของตนคืนมา อันที่จริงก็อยากจะพูดกับหลานเยาเยาอีกสักสองสามคำ

แต่ความคิดในชั่วพริบตา!

ก็พบว่าสิ่งที่นางพูดมีเหตุมีผลเป็นอย่างมาก จึงรีบกลับไปงุ่นอยู่กับการปรับโฉมรถม้าอีกครั้ง

สิ่งที่หลานเยาเยาพูดต่อจากนั้น ก็ไม่เข้าหูเลยแม้แต่คำเดียว

“เห้อ…”

เมื่อพูดจนเหนื่อย หลานเยาเยาก็ถอนหายใจ

ทีคนอื่นเขาเป็นเจ้าสำนัก มองเพียงแว๊บเดียวคนก็ตกตะลึงกันไปทั้งบาง ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็ให้ความเคารพนับถือ

แต่กับนาง……

ผู้ใต้บังคับบัญชามักจะตะคอกใส่นางอยู่เป็นประจำ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการดูถูกนาง

เดาว่านางคงจะเป็นเจ้าสำนักที่ใจเย็นที่สุด ใจกว้างที่สุด และไร้ความน่าเกรงขามมากที่สุดแล้วล่ะ

ถ้าเจ้าสำนักแบบที่ว่ามาไม่ใช่นางก็คงจะไม่มีใครอีกแล้ว!

จะอย่างไรก็จนปัญญา

ใครกันที่ให้นางมาเป็นสมาชิกในสำนักหงอี ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นไปด้วยตาแก่ทรามๆคนนี้ไง!

เช่นนั้น!

หลานเยาเยาจึงจำใจเดินไปอยู่อีกฝั่ง พร้อมเอาขาหมูขึ้นมาแทะอย่างโกรธๆ โดยไม่ลืมที่จะกระแหน

“ความสามารถก็บ้านๆ แต่การจัดการแย่กว่าเสียอีก”

จื่อซีที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้ยินเข้า ก็รู้สึกละอายใจ

ความสามารถบ้านๆงั้นรึ?

คุณหนูก็ช่างกล้าพูด

ไม่ต้องพูดถึงตาแก่ที่กำลังปรับโฉมรถม้าอยู่หรอก ตาเฒ่าอีกสองสามคนในสำนักหงอี มีคนไหนเคยเป็นสองรองใครเขากันบ้าง?

โชคดีที่คุณหนูแค่พึมพัมอยู่อีกด้าน หากตาเฒ่าผู้อาวุโสคนนั้นได้ยินเข้า จะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเป็นแน่

อันที่จริง!

ตาเฒ่าเหล่านั้นล้วนดีกับคุณหนูเป็นอย่างมาก บางครั้งก็โกรธกัน ทะเลาะกัน โมโหกันไปโมโหกันมา แต่ในยามวิกฤตต่างก็ปกป้องนางเหมือนดั่งคนในครอบครัว

ผ่านพ้นไปได้สองวัน ในที่สุดรถม้าก็ปรับโฉมเสร็จเป็นที่เรียบร้อย

ตาแก่ดีใจอย่างกับแมวอ้วนสีส้ม เขาดึงดันจะพาหลานเยาเยาไปดูให้ได้ โดยไม่สนเลยว่านางกำลังทำสิ่งใดอยู่

“ปัดโธ่เอ้ย ตาแก่คนนี้นี่ จะมาดึงข้าด้วยเหตุใดกัน? ไม่เห็นรึไงว่าข้ากำลังยุ่งอยู่”

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้

ตาแก่ก็มองหลานเยาเยาที่ปากมันเยิ้ม อีกทั้งในมือก็ยังถือน่องไก่ไว้ ถึงกับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันใด

“ยุ่งอยู่งั้นรึ? เจ้าสำนัก ท่านกำลังยุ่งมากเลยล่ะสิ”

“ก็แน่สิ มีของอร่อยตั้งเยอะตั้งแยะ จะไม่ให้ยุ่งได้ไงเล่า?”